ตอนที่แล้วRe-new ตอนที่ 80 สร้างปัญหา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปRe-new ตอนที่ 82 รสชาติใหม่

Re-new ตอนที่ 81 สูตรลับ


ตอนที่ 81 สูตรลับ

ทันทีที่นางหลี่โยนหัวหมูออกไปด้วยความตกใจ นางก็รู้สึกว่ามีอะไรยาว ๆ หล่นลงมาบนบ่า หัวและหน้าอกของนางก็มีของนุ่ม ๆ บางอย่างมาโดน ทันใดนั้นกลิ่นเหม็นน่าสยดสยองเหมือนกลิ่นคอกหมูก็พุ่งเข้าโจมตีจมูกของนาง

ในที่สุดนางก็เห็นได้ชัดแล้วว่าสิ่งใดอยู่บนตัวนาง ตอนนี้นางมีท่าทีราวกับเหยียบอยู่บนกองถ่านร้อน ๆ ทั้งกระโดดและกรีดร้องด้วยความตกใจกลัวเหมือนหมูถูกเชือด คำพูดหลั่งไหลออกจากปากของนางไม่หยุด นางรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างระเบิดอยู่ใกล้หูของนางขณะที่ถอยหนีไม่หยุด

“เจ้าต้องตาย ต้องตาย ! ข้าเป็นป้าของเจ้า แต่เจ้ากล้าขว้างของโสโครกเช่นนี้ใส่ข้าได้เยี่ยงไร มิรู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ถ้าเจ้ากล้าทำกับข้าเยี่ยงนี้ คราหน้าเจ้าก็คงทำกับท่านย่าของแกเช่นนี้เหมือนกันใช่หรือไม่ ! ข้าจะทำให้คนทั้งหมู่บ้านได้รู้ว่านางหลิวสอนลูกเยี่ยงไรถึงมีนิสัยเช่นนี้ได้ !”

นางหลี่ก้มหน้ามองเสื้อผ้าที่สกปรกของนาง กลิ่นขี้หมูบนตัวนางโชยเข้าจมูกนางไม่หยุดและทำให้นางรู้สึกคลื่นไส้จนเกือบจะเป็นลม

เสี่ยวเฉายิ้มหวานให้กับนางแล้วเอ่ยว่า “ท่านป้าใหญ่ ข้าจะไม่เคารพท่านป้าได้เยี่ยงไร ?  ก็ท่านป้าบอกว่าอยากเห็นว่ามีสิ่งใดอยู่ในตะกร้ามิใช่รึ ข้าก็แค่กลัวว่าท่านป้าอายุมากแล้วสายตาจะไม่ค่อยดีก็เลย ‘ส่ง’ ของไปตรงหน้า ท่านป้าจะได้เห็นชัด ๆ ไงเจ้าคะ ทีนี้ท่านป้าก็เห็นแล้วว่ามันคือสิ่งใด ยังจะกล้ากล่าวว่าท่านปู่แอบช่วยเหลือพวกเราอีกหรือไม่ ?”

เสี่ยวเฉาเอ่ยต่อโดยไม่รอฟังคำตอบจากนางหลี่และเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น “ท่านป้าใหญ่ มีหนึ่งอย่างที่ท่านป้ากล่าวได้ถูก ที่บ้านของพวกเราแทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว ! วันนี้ข้าพาน้องไปที่ท่าเรือเพราะอยากไปดูตลาดที่นั่น ข้าอยากดูว่าพอจะเก็บผักตามพื้นที่คนอื่นไม่เอาแล้วหรืออาหารอย่างอื่นได้บ้างหรือไม่ ท่านลุงหวังที่เป็นคนขายเนื้อในเมืองเห็นพวกเราน่าสงสารก็เลยให้หัวหมูกับเรามา ส่วนกระเพาะหมูกับไส้หมู ฉีโตวกับข้าก็เก็บขึ้นมาจากพื้น  เราจะดูว่าถ้าเอาไปล้างให้สะอาดแล้วเราจะกินได้หรือไม่ ตราบใดที่กินแล้วไม่ตาย ถึงจะมีกลิ่นนิดหน่อยก็คงมิเป็นไร ยังไงก็ยังดีกว่าต้องอดตาย ถึงขนาดนี้แล้วเหตุใดท่านป้าใหญ่ถึงมากล่าวหาว่าท่านปู่แอบช่วยพวกเรา ? หรืออยากให้พวกเราตายทั้งครอบครัวจริง ๆ ? เยี่ยงนั้นถ้าพวกเราอดตายหรือหนาวตายกันหมดท่านป้าคงมีความสุขมาดใช่หรือไม่เจ้าคะ ?”

หลังจากที่ได้กินซาลาเปาที่เสี่ยวเฉาส่งให้ครอบครัวของนางก่อนหน้านี้ ทัศนคติที่นางเหมาที่มีต่อเสี่ยวเฉากับครอบครัวของนางก็ดีขึ้นมากทีเดียว นางจึงแสดงความเห็นว่า  “นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ได้ยินเรื่องพี่สะใภ้บังคับให้ครอบครัวของน้องสามีไปตายทั้งครอบครัว นางหลี่ถ้าเจ้าต้องการทำเยี่ยงนั้นจริง ๆ เจ้าได้ดังไปทั่วหมู่บ้านเป็นแน่ ! จุ๊ ๆ ๆ...ดูสิ พวกเด็ก ๆ หิวจนถึงขั้นยอมกินของเหม็น ๆ สกปรกแล้วนะ” สีหน้าของนางหลี่เปลี่ยนไปทันที อีก 2 ปีลูกชายของนางก็จะแต่งงานได้แล้ว ถ้าหากชาวบ้านพูดกันไปทั่วว่านางบีบบังคับครอบครัวน้องสามีจนตาย ใครจะยอมให้ลูกสาวมาแต่งงานกับลูกชายของนางกัน ?

นางหลี่อ้าปากแล้วหุบอยู่หลายครั้งราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง นางฟางที่ปกติเป็นคนอ่อนโยนและโน้มน้าวง่ายก็มองนางราวกับเป็นศัตรูที่เลวร้ายที่สุด นางดึงตัวฉีโตวเข้ามากอดแล้วเช็ดน้ำตาตัวเองพร้อมกับเอ่ยว่า “โถ...หลานป้า พวกเจ้ากินของพวกนั้นมิได้นะ เอาทิ้งไปเร็วเข้า ถ้ามิมีอะไรกินประเดี๋ยวป้าจะให้พวกเจ้ายืมธัญพืชสักสองสามชั่ง  เอาไปกินนะลูก”

หยูไห่รู้สึกเจ็บในหัวใจขึ้นมาทันที สีหน้าของเขาซับซ้อนอ่านยาก เขาเงยหน้าขึ้นและปล่อยให้น้ำตาค่อย ๆ แห้งไปจากหางตา หยูไห่มองนางหลี่และเอ่ยว่า “พี่สะใภ้ ข้าสาบานต่อสวรรค์ได้ว่าข้ามิเคยขอเงินท่านพ่อเลยแม้แต่อีแปะเดียว และท่านพ่อก็มิเคยแอบช่วยพวกเราเช่นกัน ! ตอนที่พวกเราแยกบ้าน ข้าก็พูดชัดแล้วนี่ มิว่าพวกเราจะจนแค่ไหนหรือมีชีวิตที่ยากลำบากเยี่ยงไร ต่อให้พวกเราต้องเที่ยวขออาหารคนอื่น พวกเราก็จะมิขอสิ่งใดจากบ้านใหญ่แม้แต่อย่างเดียว ! พี่สะใภ้ก็เห็นของในตะกร้าแล้ว ถ้ามิมีธุระอันใดอีกก็กลับไปเสียเถอะ !”

นางหลี่มาโวยวายทั้งที่ไม่มีอะไรเลย นางจึงโยนผ้าเช็ดหน้าลงพื้นแล้วจากไปอย่างสกปรกตั้งแต่หัวจรดเท้า นางต้องไปหาตัวภรรยาของคนเซ่อซ่าประจำหมู่บ้านเพื่อคิดบัญชีที่ให้ข้อมูลนางมาผิด ๆ

ไม่มีสิ่งใดเป็นความลับในหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ เช่นนี้ ไม่นานเรื่องที่หยูไห่กับครอบครัวของเขาสิ้นหวังขนาดไปเก็บอาหารที่เหม็นเหมือนขี้หมูมากินก็แพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้านตงชาน

หยูลี่ชุน ลุงใหญ่ของหยูไห่ก็ได้ไปที่บ้านใหญ่ตระกูลหยูแล้วตะคอกใส่เฒ่าหยูด้วยความโกรธ “เมียแกเป็นแม่เลี้ยงก็ไม่ได้หมายความว่าแกจะต้องเป็นพ่อเลี้ยงไปด้วย ต้าไห่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของแก พวกแกอยากให้ครอบครัวของต้าไห่ตายรึเยี่ยงไร ? ถ้าเยี่ยงนั้นแกก็มิใช่น้องชายของข้าอีกต่อไปแล้ว !”

นางหลี่โดนเรียกมาด่าเสียยับเยิน จากนั้นเขาจึงบอกให้ลูกสาวคนเล็กเอาข้าวฟ่าง 10 ชั่งกับแป้งมันเทศ 10 ชั่งไปให้ครอบครัวของลูกรอง

หยูไห่ย่อมไม่ยอมรับสิ่งของจากพวกเขาอยู่แล้ว เขาพูดไปแล้วว่าเขาจะไม่เอาอะไรจากตระกูลหยูเลยสักอย่างเดียว และพวกเขาก็ไม่ได้จนถึงขนาดไม่มีอะไรกิน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ใครเรียกพวกเขาว่าเป็นคนพูดอย่างทำอีกอย่างหยูไห่จึงปฏิเสธทั้งหมด ขนาดเฒ่าหยูมาเจรจาด้วยตนเองหยูไห่ก็ยังยืนกรานเช่นเดิม

หลังจากหยูเสี่ยวเฉาใช้หัวหมูและเครื่องในเหม็น ๆ ไล่นางหลี่กลับไปแล้ว นางก็เริ่มทำความสะอาดและเตรียมวัตถุดิบทันที ได้เวลาทำอาหารตุ๋นเพิ่มแล้ว

“อ่า...เสี่ยวเฉา เจ้าแน่ใจรึว่าจะใช้ของพวกนี้ทำอาหารได้ ? อย่าเสียเวลากับเครื่องปรุงเลย” นางฟางเตือน คนอื่น ๆ ในบ้านคุ้นเคยกับความสามารถของนางที่เปลี่ยนขยะให้เป็นสมบัติได้แล้ว พวกเขาจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา

นางเหมาได้แบ่งแป้งมันเทศกับสมุนไพรป่าที่นางไปขุดมาวันนี้มาให้แล้วเอ่ยว่า “อย่าไปลองทำของพวกนั้นเลย เชื่อป้าแล้วทิ้งพวกมันไปเสีย ตกลงหรือไม่ ? วันหน้าถ้ามิมีอะไรกินก็ไปที่บ้านป้าได้ พอเก็บเกี่ยวมันเทศได้เมื่อใดก็ค่อยเอามาคืน ใคร ๆ ก็มีช่วงที่ลำบากกันทั้งนั้น อย่าได้คิดมากไปเลย ทิ้งพวกมันไปเสีย ทิ้งเร็วเข้า” นางเหมาเอ่ยพร้อมกับดึงเอากระเพาะหมูไปจากมือของเสี่ยวเฉาและจะเดินออกไปนอกห้องเพื่อเอาไปทิ้ง

เสี่ยวเฉาเริ่มเหงื่อตก นี่เป็นวิธีหาเงินที่นางเค้นสมองคิดมา ถ้าโยนวัตถุดิบของนางทิ้งไปแล้วพรุ่งนี้นางจะขายอาหารตุ๋นห่อละ 1 อีแปะได้เยี่ยงไร ? นางได้ให้คำมั่นสัญญากับคนที่ท่าเรือเอาไว้แล้วด้วย !

หยูไห่เห็นลูกสาวเริ่มกระวนกระวายจึงรีบเดินกระเผลกเข้ามาเอาเครื่องในหมูไปจากนางเหมาและยิ้ม “ครอบครัวพวกเรายังมิถึงขั้นจะอดตายหรอกขอรับ ขอบคุณในความหวังดี  เสี่ยวเฉามีวิธีใช้กระเพาะหมูพวกนี้ นางได้ยินมาว่าของพวกนี้สามารถเป็นยารักษาขาของข้าได้...”

นางเหมามองขาของเขาแล้วก็เข้าใจขึ้นมาทันที นางจึงเอ่ยว่า “ไอหยา ! ใช้กับขานี่เอง...มิน่าเล่า ! ถ้าหากมันรักษาขาได้จริงเหม็นแค่ไหนก็ต้องทน งั้นข้าจะเอาแป้งมันกลับบ้าน  แต่พวกเจ้าเก็บสมุนไพรเอาไว้เถอะเผื่อจะได้ทำซุปคืนนี้ เสี่ยวเฉา ถ้าพรุ่งนี้อยากไปเก็บสมุนไพรก็มาหาป้านะ ป้ารู้จุดที่มีจี้ช่ายเยอะ ๆ ด้วยล่ะ”

เสี่ยวเฉาสัญญากับนางเหมาที่ภายนอกดูเย็นชาแต่ภายในอบอุ่นพร้อมกับบอกลานาง  ส่วนนางฟางที่ยังอยู่เอ่ยขึ้นว่า “เสี่ยวเฉา ตอนนี้แม่ของเจ้ามิอยู่บ้าน ให้ป้าช่วยเตรียมของพวกนี้เถอะ”

เมื่อเสี่ยวเฉาเห็นว่าไม่มีทางจะเกลี้ยกล่อมนางฟางได้ นางจึงล้างเครื่องในและตัดออกเป็นส่วน ๆ จากนั้นก็สอนนางฟางให้พลิกเอาด้านในออกและใช้เกลือหยาบขัดให้ทั่วอย่างละเอียด นี่จะช่วยกำจัดกลิ่นและไขมันส่วนเกินออกไปได้ นางฟางไม่ได้ทำท่าเหมือนเห็นว่ามันสิ่งของน่ารังเกียจ นางม้วนแขนเสื้อขึ้นและลงมือทำงานทันที

หยูเสี่ยวเฉาสอนวิธีเตรียมและทำความสะอาดไส้หมูให้เสี่ยวเหลียน ส่วนตัวนางเองก็จัดการกับหัวหมู ขั้นตอนแรกคือเอาหัวหมูแช่ในน้ำสะอาด แล้วขัดเอาสิ่งสกปรกด้านนอกออกแล้วกำจัดขนจนเกลี้ยง ต่อมาก็เอาไปต้มในหม้อประมาณ 1 เค่อและตรวจสอบดูว่ายังมีขนเหลืออยู่หรือไม่ พอถึงขั้นตอนนี้ก็เอาแปรงหยาบ ๆ ขัดผิวหนังหมูทั้งหมดจนกว่าจะสะอาดเกลี้ยงเกลา

หยูไห่อาสาทำหน้าที่ขัดหัวหมู ก่อนที่เขาจะได้รับบาดเจ็บที่ขา เวลาที่พวกชาวบ้านฆ่าหมูก็มักจะขอให้เขาช่วย เหตุผลมีสองอย่างคือหนึ่งเขาแข็งแรงและมีพละกำลังมาก อีกอย่างก็คือเขาเรียนรู้วิธีฆ่าหมูด้วยตนเองและรู้วิธีจัดการกับขนสัตว์อย่างแท้จริง เมื่อหยูเสี่ยวเฉาเห็นว่าเขาทำได้ดีเหมือนนาง นางจึงมอบหมายงานนี้ให้เขาได้อย่างมิต้องกังวลใจ

หลังจากแน่ใจว่าหัวหมูสะอาดแล้ว ก็ถึงเวลาผ่าเอาอวัยวะภายในออกมา งานนี้ก็คงต้องมอบให้หยูไห่เช่นกัน ส่วนเสี่ยวเฉาก็คอยชี้ว่าเขาต้องตัดและทำความสะอาดตรงไหนบ้าง อย่างเช่นหู, ส่วนหางตา, ต่อมน้ำเหลือง และติ่งจมูก จากนั้นก็เอาสมองออกมาใส่ในชามอย่างระมัดระวังเพื่อใช้ในคืนนี้ มันสามารถเอามาทำสตูว์ให้ทั้งครอบครัวกินได้ !

หยูไห่เอากระดูกออกจากหัวหมูอย่างชำนาญและแยกพวกมันออกเป็น 5 - 6 ชิ้น จากนั้นก็นำชิ้นส่วนกระดูกใส่ลงไปในน้ำเย็นแล้วล้างอย่างระมัดระวังเพื่อกำจัดเศษซากและคราบเลือด นี่จะช่วยป้องกันไม่ให้รสชาติแปลก ๆ ซึมเข้าหัวหมูตุ๋นและทำให้พังทั้งหม้อได้

หลังจากนั้นหยูเสี่ยวเฉาก็รับช่วงต่อ นางเอาหัวหมูที่สะอาดแล้วใส่ลงไปในน้ำเดือด  หลังจากต้มประมาณ 1 เค่อนางก็เอามันออกมาล้างให้สะอาดอีกครั้ง จากนั้นก็เอาหมูที่ต้มแล้วใส่ลงไปในหม้อใบใหม่พร้อมด้วยน้ำสะอาดและกระดูกจากหัวแล้วต้มรวมกัน  นางคอยปาดฟองที่ผุดขึ้นมาและต้มจนสุกไปได้ประมาณครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็ใส่เนื้อลงไปในซอสที่นางเคี่ยวไว้เมื่อวานนี้และเคี่ยวช้า ๆ จนเนื้อนุ่ม นอกจากนี้ยังใส่หัวเชื้อของซอสเข้าไปอีกเพื่อเสริมรสชาติ

ขณะที่หัวหมูถูกเคี่ยวอย่างช้า ๆ กลิ่นหอมของเนื้อก็ค่อย ๆ กระจายจากลานหญ้าออกไป  จนไปถึงบ้านตระกูลเฉียนที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 1 ลี้ เฉียนหวู่กำลังทำความสะอาดคันเบ็ดอยู่ในลานหญ้า เขาสูดกลิ่นเข้าไปแล้วกลืนน้ำลายลงคอพร้อมกับเอ่ยว่า  “หอมจังเลย ! ท่านแม่ได้กลิ่นหรือไม่ ? มิใช่วันปีใหม่เสียหน่อย แล้วก็มิใช่เทศกาลอะไรด้วย บ้านไหนทำอาหารจานเนื้อตอนนี้กันนะ ?”

นางเหมาก็ได้กลิ่นเช่นกันและคิดว่าเป็นเพื่อนบ้านแถว ๆ นั้น นอกจากบ้านพรานจ้าวที่อยู่เชิงเขาซึ่งกินเนื้อบ่อย ๆ เพราะมีความสามารถในการล่าสัตว์แล้ว ก็มีแค่บ้านของนางฟางที่เข้ากับนางไม่ได้ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นที่มาของกลิ่น หรือว่านางฟางจะมีแขกมาเยี่ยมเลยฆ่าไก่ทำอาหารเลี้ยงพวกเขา ? แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ กลิ่นมันไม่เหมือนเนื้อไก่ ส่วนครอบครัวของเสี่ยวเฉานั้นนางเหมาได้ข้ามไปเลย พวกเขาจนถึงขนาดที่ไม่มีจะกินอยู่แล้ว จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อเนื้อได้อีก ?

“เจ้าเด็กตะกละ ! คราหน้าถ้าพี่ชายลูกกลับมา แม่จะซื้อเนื้อมาต้มให้กิน ! นั่นลูกจะไปไหน ? อย่าดื้อสิ อย่าให้แม่ต้องขายหน้าตระกูลโจวนะ !” พรานจ้าวอาศัยอยู่ไกลจากพวกเขาไปอีก ดังนั้นกลิ่นอาหารของพวกเขาไม่น่าจะลอยมาถึงที่นี่ จึงมีอยู่แค่บ้านเดียวที่กลิ่นจะลอยมาได้

ที่จริงแล้วนางเหมากับครอบครัวโจวก็ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกันใหญ่โตจริง ๆ มันก็เพียงแค่บ้านหนึ่งเลี้ยงเป็ดส่วนอีกบ้านเลี้ยงไก่ และเป็ดกับไข่เป็ดของบ้านเฉียนไม่เป็นที่นิยมเท่าไก่ของบ้านโจว นอกจากนี้หัวหน้าครอบครัวโจวก็ชอบเร่ขายสินค้าในช่วงนอกฤดูเพาะปลูกและทำเงินได้มากมาย นางเหมารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเล็กน้อยและนางระวังคำพูดไม่เป็น หลังจากปะทะกันสองสามครา ความสัมพันธ์ของทั้งสองครอบครัวก็ค่อย ๆ เย็นลงและเลิกแล้วต่อกันไป

เฉียนหวู่ขว้างไม้ในมือทิ้งแล้ววิ่งออกนอกประตูพร้อมกับเอ่ยว่า “ข้ามิได้จะไปบ้านท่านพี่เหวินหัวสักหน่อย ข้าจะไปเล่นกับฉีโตวต่างหากเล่า !”

เมื่อเฉียนหวู่มาถึงประตูบ้านหยู เขาก็พบว่ากลิ่นเนื้อแรงขึ้นที่นี่ แม้แต่หมูตุ๋นน้ำแดงที่ท่านแม่ของเขาทำตอนปีใหม่ก็ไม่ได้หอมยั่วน้ำลายถึงเพียงนี้ เขาสูดหายใจลึก ๆ แล้วก้าวเท้าเข้าไปในสนาม

“ฉีโตว เจ้าได้กลิ่นหรือไม่ ? หอมมาก ๆ เลย !” เฉียนหวู่ตะโกนทันทีที่เข้ามาในบ้าน

ฉีโตวพุ่งออกมาจากครัวและยิ้มกว้าง “ท่านพี่เสี่ยวหวู่จมูกดียิ่งนัก ! หัวหมูเพิ่งต้มเสร็จก็วิ่งมาที่นี่แล้ว มา ๆ ๆ ! พี่สามจะตัดเนื้อหัวหมูตุ๋นร้อน ๆ มาให้ลองชิมด้วยล่ะ”

“ไอหยา ! เยี่ยงนั้นกลิ่นเนื้อก็มาจากบ้านเจ้าน่ะสิ เหตุใดวันนี้บ้านเจ้าถึงทำเนื้อกินล่ะ ?” เฉียนหวู่เกือบปล่อยให้น้ำลายหกลงบนเสื้อ เขาใช้หลังมือเช็ดปากแต่เท้าของเขากลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด