บทที่ 14 รุ่งอรุณแห่งยุคใหม่
ในแต่ละวัน เจียงอี้จะใช้เวลาถึงสี่ชั่วโมงในการฝึกฝนวรยุทธวารีตระกูลเจียงเพื่อปรับแต่งแก่นแท้พลังสีน้ำเงินและเพิ่มพลังให้กับหม้อปรุงยา
“ผู้เฒ่าหลิ่วช่างใจร้ายยิ่งนัก” เขาแอบพึมพำด้วยเสียงต่ำ “ข้าใช้แก่นแท้พลังไปมาก แต่เขาก็ไม่คิดแม้แต่จะแบ่งเม็ดยาวิญญาณให้ข้าเพื่อฟื้นฟูพลัง…”
แต่จู่ๆเจียงอี้ก็จำได้ว่ายังมีเม็ดยาเสริมกำลังระดับต่ำอยู่ ไม่ใช่ว่าเขามีแก่นแท้พลังสีดำอยู่หรือ? หากเขาใช้มันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซับเม็ดยา ด้วยวิธีนี้เขาจะสามารถฝึกฝนและฟื้นฟูพลังได้เร็วแน่นอน
เขาหยิบขวดยาสีครามออกมาจากเสื้อคลุมและเทเม็ดยาเสริมกำลังสีเขียวออกมาก่อนที่จะกลืนมันลงไป จากนั้นเขาก็นั่งสมาธิและเริ่มเข้าฌาน
เม็ดยาเสริมกำลังระดับต่ำมีส่วนช่วยในการบ่มเพาะพลัง มันมีคุณสมบัติคล้ายกับเม็ดยาโสมเหลืองแต่ความเร็วในการกระจายตัวของมันช้าราวกับหอยทาก
เจียงอี้โคจรวรยุทธวารีตระกูลเจียงเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง พลังงานจากเม็ดยาเสริมกำลังก็กระจายไปทั่วทั้งด้านนอกของตันเทียนซึ่งช่วยให้ตันเทียนเพิ่มความเร็วในการปรับแต่งแก่นแท้พลัง
การใช้ร่างกายเพื่อปรับแต่งแก่นแท้พลังนั้นขึ้นอยู่กับการฝึกฝนวิถีบ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่ง มันหมายถึงการดูดซับกลิ่นอายวิญญาณฟ้าดินเข้ามาในร่างกายซึ่งจะถูกดึงไปยังตันเทียนเพื่อเปลี่ยนให้เป็นแก่นแท้พลัง
ดังนั้นตันเทียนและเส้นลมปราณจึงสำคัญสำหรับผู้ฝึกวรยุทธอย่างมาก หากตันเทียนได้รับความเสียหาย มันจะไม่สามารถรักษาได้หากปราศจากเม็ดยาระดับศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่ผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลังที่สุดก็ยังจนปัญญา
ตันเทียนในร่างกายมนุษย์ก็เปรียบเสมือนหม้อปรุงยา ในขณะที่กลิ่นอายวิญญาณฟ้าดินก็คือสมุนไพร หากว่าหม้อนั้นดี การกลั่นเม็ดยาก็จะราบรื่นและรวดเร็ว
ในทำนองเดียวกัน คนที่มีศักยภาพทางร่างกายสูงก็จะทำให้ตันเทียนสามารถปรับแต่งแก่นแท้พลังได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างกันในการปรังแต่งแก่นแท้พลังด้วยทักษะหรือวิถีบ่มเพาะ ซึ่งจะแตกต่างกันในเชิงคุณภาพตามทักษะที่ฝึกฝน
โดยตามธรรมชาติแล้ว ความเร็วในการปรับแต่งนั้นย่อมต่างกัน นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมระดับการบ่มเพาะพลังของทวีปเทียนชิงจึงมีหลายระดับและระดับแรกถูกเรียกว่า ขอบเขตฉูติ่ง (หล่อขาตั้ง) คำว่า “ขาตั้ง” ตามชื่อของมันนั้นมีความสำคัญอย่างมาก
ท้ายที่สุดแล้วหากปราศจากตันเทียนที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะทักษะหรือวรยุทธใดก็ตาม ก็จะถูกจำกัดพลังเอาไว้ ซึ่งหมายความว่าความสำเร็จในอนาคตของคนๆหนึ่งก็จะถูกจำกัดไว้เช่นกัน
และเป็นที่รู้กันดีว่าตันเทียนของเจียงอี้นั้นเป็นเช่นไร
ตันเทียนของเขาถูกผนึกไว้ ทำให้ความเร็วในการปรับแต่งแก่นแท้พลังของเขาเชื่องช้าราวกับหอยทาก แต่โชคดีที่เขามีแก่นแท้พลังสีดำซึ่งช่วยให้เขาสามารถดูดซับเม็ดยาได้รวดเร็วและเพิ่มความเร็วในการปรับแต่งแก่นแท้พลัง
อย่างไรก็ตาม ปริมาณแก่นแท้พลังจำเป็นต้องได้รับการปรับแต่งให้สูงขึ้นเพื่อทะลวงขอบเขตพลัง ยกเว้นว่าเขาจะสามารถหาเม็ดยาระดับศักดิ์สิทธิ์มาทานได้ราวกับลูกอม มิฉะนั้นสิ่งที่เจียงอี้สามารถทำได้จะถูกจำกัดไว้ในขอบเขตที่น่าเวทนาอย่างมาก
“ใครกันที่มาผนึกตันเทียนของข้า? แล้วข้าต้องทำยังไงถึงจะสามารถทำลายตราประทับนี้ได้?”
เมื่อนึกถึงตันเทียนที่ถูกผนึกไว้นั้น เจียงอี้ก็กัดฟันด้วยความโกรธและเกลียดชัง ตามการคาดการณ์ของผู้อาวุโสใหญ่ แม้ว่าเจียงอี้จะไม่ใช่อัจฉริยะที่เก่งกาจที่สุดในทวีปเทียนชิง แต่เขาก็มีศักยภาพมากกว่าเจียงเฮิ่นซุ่ยซึ่งเป็นอัจฉริยะระดับต้นๆของตระกูลเจียงอย่างแน่นอน
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำไมผู้อาวุโสใหญ่ถึงได้มั่นใจในตัวเขามากนัก แต่ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ มันก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้ศึกโศกเศร้าและผิดหวัง
“อืมม… พลังของเม็ดยากำลังหมุนเวียนไปรอบๆตันเทียน ข้าควรจะใช้แก่นแท้พลังสีดำเพื่อเพิ่มพลังให้กับมันมิฉะนั้นพลังของมันคงจะหายไปในเร็วๆนี้แน่”
เมื่อสังเกตเห็นแสงสีเขียวจางๆที่หมุนรอบตันเทียน เจียงอี้ก็ลบความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดทิ้งไปและจดจ่ออยู่กับการโคจรแก่นแท้พลังสีดำให้ออกมาจากตันเทียนและเคลื่อนย้ายมันผ่านเส้นลมปราณไปยังทิศทางของพลังงานสีเขียวของเม็ดยา
“ผนึก!”
แก่นแท้พลังเพิ่งมาถึงด้านนอกของตันเทียน จิตของเจียงอี้ก็ถูกดูดกลืนโดยตราประทับสีแดงรูปมังกรซึ่งอยู่ที่ด้านนอกของตันเทียน หากเปรียบตันเทียนเป็นลูกวอลนัท ตราประทับมังกรเพลิงก็คงจะเป็นเปลือกของมัน
ตราประทับมังกรเพลิงนั้นไม่ธรรมดา มันดูชัดเจนมากขึ้นราวกับว่ามันมีชีวิตขึ้นมาและกำลังหายใจอยู่เหนือตันเทียนของเขา ตราประทับมังกรถูกสร้างขึ้นจากอักขระสีแดงขนาดเล็ก
ผู้อาวุโสใหญ่ใช้เวลาค้นคว้าอย่างยาวนานแต่ก็ไม่อาจที่จะหาทางทำลายมันได้
จากการสังเกตอยู่ครู่หนึ่ง เจียงอี้เริ่มรู้สึกว่าพลังของเม็ดยากำลังกระจายตัวมากเกินไป เขาจึงตัดสินใจที่จะหยุดการสังเกตตราประทับและโคจรพลังของแก่นแท้พลังสีดำเพื่อหลอมรวมกับพลังงานสีเขียวของเม็ดยาและนำมันเข้ามาในตันเทียน
จากนั้นเขาก็มุ่งความสนใจทั้งหมดไปยังการโคจรวรยุทธวารีตระกูลเจียงเพื่อปรับแต่งแก่นแท้พลัง
“มันได้ผล!”
เป็นอย่างที่คิด แก่นแท้พลังสีดำช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซับเม็ดยาและช่วยให้วรยุทธวารีตระกูลเจียงเพิ่มความเร็วในการกลั่นแก่นแท้พลัง การค้นพบนี้ทำให้เจียงอี้มีความสุขอย่างมาก
หากเขามีเม็ดยาจำนวนมากและยังคงพึ่งพาแก่นแท้พลังสีดำต่อไป แม้ว่าจะมีตราประทับซึ่งคอยลดความเร็วการบ่มเพาะพลัง แต่ความเร็วในการปรับแต่งแก่นแท้พลังก็เพิ่มขึ้นมาก
แม้ว่าความสำเร็จของเขาในอนาคตจะยังคงถูกจำกัด แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะทะลวงสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สี่หรือห้า
น่าเสียดาย…
แก่นแท้พลังสีดำถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว ภายในไม่กี่วินาที เจียงอี้ก็เหลือแก่นแท้พลังสีดำเพียงแค่สองเส้นเท่านั้น
หลังจากที่ปรับแต่งไปได้พักหนึ่ง เขาก็รู้สึกว่ามันช้าเกินไปและตัดสินใจที่จะหยุดโคจรวรยุทธวารีตระกูลเจียงเพื่อหันมาจดจ่อกับบทสวดนิรนามแทน
เขาต้องการที่จะใช้ประโยชน์จากเวลาก่อนที่พลังของเม็ดยาจะสลายไปอย่างสมบูรณ์เพื่อเร่งเร้ากระบวนการปรับแต่งให้รวดเร็วยิ่งขึ้น แม้ว่ามันจะเร็วขึ้นภายในไม่กี่วินาที แต่แก่นแท้พลังสีน้ำเงินก็จะถูกปรับแต่งเร็วกว่าวิธีการปกติถึงสี่ชั่วโมง…
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ผ่านไปสองชั่วโมงเพื่อเพิ่มจำนวนแก่นแท้พลังสีดำ เขาก็ตระหนักได้ว่าพลังของเม็ดยาเสริมกำลังที่อยู่ด้านนอกตันเทียนได้ถูกใช้ไปจนหมดแล้ว
“พลังของเม็ดยาคงไม่ได้มีเพียงเท่านี้หรอกนะ? หืมม..”
เจียงอี้ถึงกับพูดไม่ออกเพราะเขาพบว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับเส้นแก่นแท้พลังเมื่อเขาเตรียมตัวที่จะดึงมันกลับมา
และเมื่อเขาสังเกตอย่างระมัดระวังอีกครั้ง คราวนี้ร่างกายของเขาถึงกับสั่นสะท้าน ดวงตาของเขาเบิกโพลงราวกับเห็นผี
“ไม่มีทาง นี่มัน… มันเป็นไปได้จริงๆหรือ?!” เขาพึมพำกับตัวเองด้วยสติที่แทบจะเหม่อลอย
เจียงอี้ขยี้ตาอีกครั้งแล้วมองเข้าไป ร่างของเขายังคงสั่นขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน จู่ๆขอบตาของเขาก็เริ่มรู้สึกร้อนเล็กน้อยพร้อมกับมีน้ำใสๆไหลออกมา…
ลูกผู้ชายไม่ควรร้องไห้ง่ายๆ!
ตลอดชีวิตของเจียงอี้หายากนักที่เขาจะร้องไห้ ยกเว้นแต่ในคืนที่ผู้อาวุโสใหญ่จากไป แต่นอกจากนั้นแล้ว แม้แต่ตอนที่ถูกทุบตีจนกระดูกหัก เขากลับไม่เคยร้องไห้ออกมาแม้แต่ครั้งเดียว
แต่ในตอนนี้เขากลับร่ำไห้ออกมาราวกับเขื่อนแตก
“นี่มัน.. เป็นความจริงหรือนี่.. ในที่สุดข้าก็มีความหวังที่จะทำลายผนึกบ้าๆนี่แล้ว…” เขายังคงพึมพำราวกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ใบหน้าของเขาถูกแต่งแต้มไปด้วยความปีติยินดีและโดดเดียว
สิ่งที่ทำให้เขามีความสุขได้ขนาดนี้ก็คือ... ในขณะที่กำลังเฝ้าสังเกตผนึกที่อยู่ด้านนอกตันเทียนนั้น เขาก็ค้นพบว่ามีอักขระตัวหนึ่งหายไปจากตราประทับมังกร!
เจียงอี้คุ้นเคยกับผนึกนี้เป็นอย่างดี นับตั้งแต่ที่เขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นแรกและสามารถมองเห็นสภาพภายในของตนเองได้ เขาก็เฝ้ามองตราประทับลายมังกรนี้หนับหมื่นครั้ง
หากพูดให้ชัดก็คือเขาสามารถจดจำทุกซอกทุกมุมของมันได้เป็นอย่างดี มันถูกประกอบขึ้นจากอักขระทั้งหมดแปดหมื่นตัว! แต่ในตอนนี้อักขระตัวหนึ่งได้หายไป…
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวก็คือมารดาของเขาไม่สามารถมองมาที่เขาได้อีกต่อไป แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่หวังดีกับเขาก็หายตัวไป เขาไม่กล้าที่จะคิดว่าเขาจะมีความสุขแค่ไหนหากทั้งสองยังอยู่กับเขาในเวลานี้
แต่มันก็นับเป็นข่าวดีว่าเขามีความหวังที่จะทำลายผนึกบ้าๆนี้ได้แล้ว
ตราประทับมังกรช่างแปลกประหลาดนัก ในเวลานั้น ผู้อาวุโสใหญ่ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งในขอบเขตจื่อฝู่(ตำหนักม่วง)ขั้นที่แปด แต่ด้วยพลังของเขาทั้งหมดกลับไม่สามารถที่จะทำอะไรกับผนึกนี้ได้แม้ว่าจะใช้เวลาถึงสองปีเต็ม
แม้จะใช้ความคิดและทดลองมากมาย แต่ตราประทับมังกรก็ไม่เคยเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ตัวอักขระได้หายไปแล้วหนึ่งตัว แม้จะแค่เพียงหนึ่งตัว แต่มันก็เป็นสิ่งที่อธิบายได้อย่างดีว่าตราประทับมังกรนี้สามารถถูกทำลายได้
“แก่นแท้พลังสีดำ! มันต้องเป็นเพราะแก่นแท้พลังสีดำอย่างแน่นอน!”
เจียงอี้มั่นใจถึงสิบส่วนเลยว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นต้องมาจากแก่นแท้พลังสีดำอย่างแน่นอน! ในอดีต เขาเคยใช้เม็ดยามากมาย แต่ก็ไม่เคยที่จะได้ผลลัพธ์เช่นนี้
คำอธิบายเดียวก็คือแก่นแท้พลังสีดำสามารถลดจำนวนอักขระและเป็นกุญแจไปสู่การทำลายผนึกอย่างสมบูรณ์
เขาระงับความตื่นเต้นไว้ในหัวใจและพยายามโคจรแก่นแท้พลังสีดำที่อยู่ด้านนอกตันเทียนไปรอบๆตราประทับมังกร
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกปลาบปลื้มก็คือเมื่อพลังงานจากแก่นแท้พลังสีดำค่อยๆหมดไป ตัวอักขระบนผนึกก็กำลังจางหายไปเช่นกัน
ในที่สุดเมื่อแก่นแท้พลังสีดำหายไป ตัวอักขระตัวหนึ่งก็จางหายไปอย่างสมบูรณ์!
“ลองอีกครั้ง!”
ยังคงเหลือแก่นแท้พลังสีดำอยู่อีกเส้นที่เขาเพิ่งกลั่นเมื่อเร็วๆนี้อยู่ในตันเทียน เจียงอี้เรียกมันออกมาเพื่อใช้สลายตัวอักขระบนผนึกอีกครั้ง ไม่นานนักเขาก็ประสบความสำเร็จ อักขระอีกหนึ่งตัวก็ได้จางหายไป…
“ฮ่าฮ่าฮ่า! สวรรค์มีตา! พวกท่านไม่ทอดทิ้งข้าจริงๆด้วย!”
เจียงอี้ลืมตาขึ้นและเริ่มหัวเราะเสียงดัง น้ำตาของเขายังคงไหลบ่าไปทั่วใบหน้า การแสดงออกของเขาในตอนนี้ไม่ต่างอะไรไปจากคนเสียสติ การถูกกดขี่ขมเหง ดูถูกเหยียดหยาม ช่วงเวลาโหดร้ายหลายปีที่ผ่านมาทำให้เขาตกอยู่ในความทุกข์ทรมาน แต่ในตอนนี้ในที่สุดเขาก็ได้รับการปลดปล่อย
เขาใช้เวลาครึ่งก้านธูปในการสงบสติอารมณ์ หลังจากที่เช็ดน้ำตาออกจนหมด เขาก็เข้าสู่ห้วงสภาวะความคิดและเริ่มสังเกตตราประทับจากภายนอกตันเทียนอย่างระมัดระวัง
หลังจากที่ยืนยันได้แล้วว่ามีอักขระสามตัวหายไปจากผนึกจริงๆและไม่กลับมาเมื่อเวลาผ่านไป เขาก็หายใจออกมาด้วยความโล่งอกและผ่อนคลายลง
“บ่มเพาะ! บ่มเพาะ! ข้าต้องสร้างแก่นแท้พลังสีดำให้มากกว่านี้เพื่อที่จะได้ทำลายไอ้ผนึกเฮงซวยนี่ได้อย่างสมบูรณ์!”
ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มซึ่งก็หมายความว่ายามเย็นใกล้จะมาเยือน เจียงอี้ในตอนนี้ได้หลงลืมเวลาไปเสียสนิท เขามุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่การปรับแต่งแก่นแท้พลังสีดำ
ในขณะเดียวกันเขาก็ฝันว่าอยากจะสร้างแก่นแท้พลังสีดำให้ได้ทั้งแปดหมื่นเส้นในทันทีเพื่อที่จะทำลายผลึกทั้งหมด จากนั้นเขาก็จะดูความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขานั้นจะยังคงเชื่องช้าเหมือนเดิมอยู่หรือไม่
“ความเร็วในการปรับแต่ง?”
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เจียงอี้ก็เริ่มฟุ้งซ่าน เขาหยุดการบ่มเพาะบทสวดนิรนามและหันไปฝึกวรยุทธวารีตระกูลเจียงแทน
เขาต้องการที่จะยืนยันบางอย่าง ตั้งแต่ที่เศษเสี้ยวของผนึกถูกทำลายไป ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาจะเพิ่มขึ้นหรือไม่?
และก็เป็นครั้งที่สองที่ร่างของเจียงอี้สั่นเทาไปด้วยความตื่นเต้น หลังจากที่เปิดตา แม้ว่าจะไม่มีน้ำตาไหลออกมาแต่ความปีติยินดีก็ไม่อาจที่จะซ่อนเร้นไว้ได้
เขายืนขึ้นและกู่ร้องออกมาด้วยเสียงอันดังก้อง
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!!”
แม้ว่าเขาจะเพิ่งทำลายผนึกไปเพียงเล็กน้อย แต่ความเร็วในการปรับแต่งแก่นแท้พลังสีน้ำเงินของวรยุทธวารีตระกูลเจียงกลับเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
แม้ว่ามันจะยังคงช้าเหมือนเต่าเมื่อเทียบกับคนอื่น แต่ความก้าวหน้านี้ก็คือแสงไปสู่ประตูแห่งความหวังของเจียงอี้…