บทที่ 12 จีทิงยวี่
ณ ชั้นบนสุดของหอสมบัติมีพื้นที่กว้างขวางอย่างมากแต่กลับมีเพียงศาลาเล็กๆตั้งอยู่ที่นั่น
พื้นที่ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่ถูกปกคลุมไปด้วยดอกไม้สีเหลืองขนาดเล็ก ในขณะนั้นเมื่อแสงอาทิตย์ส่องลงมากระทบกับดอกไม้ มันก็เปล่งประกายแสงสีทองเฉิดฉายออกมาอย่างน่าอัศจรรย์
สถานที่แห่งนี้ถูกจัดไว้สำหรับบุคลากรของหอสมบัติเท่านั้น อันที่จริงมีไม่เกินห้าคนที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาที่นี่
ปรมาจารย์เฮ่อ นักปรุงยาระดับสองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ปรมาจารย์เฮ่อเดินขึ้นบันไดอย่างเร่งรีบจนมาถึงชั้นบนสุด ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังร่างของหญิงสาวที่สวมชุดสีเหลืองซึ่งกำลังนั่งอยู่ในศาลาอย่างสง่างาม
ภายในดวงตาของชายชราสามารถมองเห็นถึงความเคารพและชื่นชมได้อย่างชัดเจน
หญิงสาวผู้งดงามนางนี้ยังเยาว์วัยนัก ดูเหมือนว่านางจะมีอายุเพียงแค่สิบหกถึงสิบเจ็ดปีเท่านั้น อีกทั้งยังมีใบหน้าที่ละเอียดอ่อนกว่าเสี่ยวนู๋อยู่หลายส่วน
การแต่งกายภายใต้ชุดคลุมยาวสีเหลืองและรูปร่างอันอรชร นางกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในศาลาที่ถูกรายล้อมไปด้วยทุ่งดอกไม้อย่างเงียบๆ
ที่ด้านข้างของนางคือชาร้อนที่มีไอร้อนลอยออกมาอยู่เนืองๆ ภาพลักษณ์ตรงหน้าทำให้นางดูคล้ายกับราชินีที่อยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้ มันช่างเป็นภาพที่สมบูรณ์แบบยิ่งนัก
นางมีดวงตาสีแดงของวิหกเพลิงและม่านตาสีดำซึ่งราวกับว่าสามารถมองทะลุได้ทุกสิ่ง
แต่เมื่อสัมผัสได้ว่ามีใครบางคนกำลังเข้ามา คิ้วเรียวสวยของนางเลิกขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับวางหนังสือที่อ่านลง
นางมองไปข้างหน้าและยิ้มในขณะที่เอ่ย
“ท่านปู่เฮ่อทำไมท่านถึงดูรีบร้อนนักเล่า? เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
ปรมาจารย์เฮ่อเดินเข้าไปในศาลาโดยที่ไม่เอ่ยอันใด เขาทำเพียงแค่ยื่นเม็ดยาสีดำซึ่งได้รับมาจากเจียงอี้ให้กับหญิงสาว
หญิงสาวเยาว์วัยยื่นมือไปรับเม็ดยาและพิจารณามันอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะใช้จมูกเพื่อสูดดมกลิ่นของมัน ทันใดนั้นเองคิ้วของนางถึงกับขมวดเข้าหากัน
“นี่เป็นเพียงยาแค่เม็ดยาทั่วไป อีกทั้งยังเป็นยาที่ถูกให้ความร้อนเพื่อกลั่นขึ้นใหม่ อย่างมากคุณภาพของมันก็เพียงแค่เม็ดยาระดับมนุษย์ขั้นกลางเท่านั้น”
ปรมาจารย์เฮ่อลูบเคราของเขาและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“คุณหนูช่างชาญฉลาดยิ่งนัก ที่ท่านกล่าวนั้นไม่อาจนับได้ว่าผิด แต่ข้าอยากให้ท่านลองสังเกตดูเม็ดยาเม็ดนี้อย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง”
ใบหน้าอันงดงามของหญิงสาวดูเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย แม้นางจะทราบดีว่านักปรุงยาที่ทำงานให้กับตระกูลของนางมักจะมีนิสัยแปลกๆ แต่ไม่มีทางที่พวกเขาจะพูดคุยกับนางด้วยเรื่องไร้เหตุผล
นัยน์ตาสีแดงราวกับวิหกเพลิงของหญิงสาวจ้องมองไปยังเม็ดยาและเริ่มวิเคราะห์มันใหม่อีกครั้ง
ไม่นานนักนางก็พบว่ามีบางสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ความสับสนและตื่นตกใจปรากฏบนใบหน้าเล็กๆของนาง
ม่านตาของนางขยายตัวขึ้นด้วยความประหลาดใจและไม่สามารถที่จะรักษาความสงบไว้ได้
“เส้นสีดำที่รายล้อมอยู่บนเม็ดยาช่างประหลาดยิ่งนัก เอ๊ะ หรือว่ามันคือ…?!”
ปรมาจารย์เฮ่อพยักหน้าและกล่าวด้วยความมั่นใจ “ถูกต้อง มันคือ… ลวดลายเม็ดยาในตำนาน! คุณหนู ท่านคือผู้เฉลียวฉลาดและรอบรู้เหนือผู้อื่น นี่คือลวดลายเม็ดยาซึ่งเป็นสิ่งที่นักปรุงยาระดับต่ำยากจะรู้ที่จะรู้เกี่ยวกับมัน”
ดวงตาอันงดงามของหญิงสาวถูกตราตรึงไว้กับลวดลายบนเม็ดยา นางใช้เวลาเฝ้ามองมันอยู่หลายครั้งพลางส่ายหัวและหัวเราะออกมา
“ท่านปู่เฮ่อ ข้าไม่ใช่นักปรุงยา ข้าเพียงแค่เคยอ่านเกี่ยวกับลวดลายเม็ดยาจากตำราโบราณมาบ้างเท่านั้นเอง”
“ตามที่เขียนเอาไว้… นักปรุงยาที่สามารถปรับแต่งและสร้างเม็ดยาที่มีลวดลายคล้ายกับเส้นโลหิตเช่นนี้ถือว่าเป็นผู้ที่มีทักษะที่น่าทึ่งใช่หรือไม่?”
ปรมาจารย์เฮ่อสูดหายใจเข้าจากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึม
“จะว่าอย่างไรดีล่ะ… ลวดลายเหล่านั้นไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพให้กับเม็ดยา อย่างไรก็ตาม ในประวัติศาสตร์หมื่นปีที่ผ่านมา มีนักปรุงยาระดับปรมาจารย์เพียงหนึ่งร้อยเจ็ดท่านและนักปรุงยาระดับนักบุญอีกเก้าท่าน”
“และมีเพียงหนึ่งร้อยสองคนเท่านั้นที่สามารถกลั่นเม็ดยาให้เกิดลวดลายเช่นนี้ได้!”
“ท่านว่าอะไรนะ?!”
ร่างอันอรชรของหญิงสาวถึงกับสั่นสะท้าน ใบหน้าของนางดูซีดขาวลงพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความตกใจ
“ท่านปู่เฮ่อ ท่านไปได้เม็ดยานี่มาจากที่ไหน?”
ปรมาจารย์เฮ่อยกนิ้วขึ้นและชี้ลงไปด้านล่าง
“จากเด็กหนุ่มที่อยู่ด้านล่าง เขาต้องการที่จะขายยาเม็ดนี้”
“เด็กหนุ่ม?”
หญิงสาวเปิดปากเล็กน้อยด้วยความสับสน จากนั้นก็เอ่ยถามอย่างรวดเร็ว
“เด็กหนุ่มผู้นั้นมีพลังอยู่ระดับใด?”
ปรมาจารย์เฮ่อส่ายหัวและตอบ
“เด็กหนุ่มผู้นี้อ่อนแอนัก เป็นเพียงแค่ผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตฉูติ่งขั้นที่หนึ่งเท่านั้น เม็ดยานี้จะต้องไม่ได้ถูกกลั่นโดยเขาอย่างแน่นอน การที่จะปรุงยาแบบนี้อย่างน้อยก็ต้องมีพลังไม่ต่ำกว่าขอบเขตฉูติ่งขั้นที่ห้า”
“ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะขอคำแนะนำจากคุณหนู พวกเราควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี? พวกเราควรที่จะส่งคนติดตามเขาไปเพื่อที่จะค้นหาปรมาจารย์นักปรุงยาท่านนั้นหรือไม่?”
“ไม่!”
หญิงสาวรีบกล่าวออกมาในทันที จากนั้นนางก็กลับคืนสู่ความสงบอย่างรวดเร็ว จากนั้นนางก็ยืนขึ้นและเดินตรงไปยังบันได
“ข้าจะไปพบกับเขาเป็นการส่วนตัว”
……
บรรยากาศภายในหอสมบัติเต็มไปด้วยเสียงจอแจ บุตรและธิดาของตระกูลที่มีชื่อเสียงและทรงอำนาจชื่นชอบที่จะมาซื้อบางอย่างจากที่แห่งนี้
แน่นอนว่ามันเป็นเพราะว่าหอสมบัติคือแหล่งการค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเทียนอวี่และเป็นการแสดงให้เห็นถึงสถานะทางสังคมของพวกเขา
“ว้าวว!”
ในขณะที่หญิงสาวในชุดคลุมยาวสีเหลืองเดินลงบันได บรรยากาศทั่วทั้งหอสมบัติก็กลายเป็นเงียบงัน มันเงียบเสียจนได้ยินแม้แต่เสียงเข็มหล่น
ดวงตาของบุรุษมากมายซึ่งสวมชุดอันหรูหราต่างจับจ้องไปยังร่างอันบอบบางตรงหน้า ภายในใจของพวกเขาต่างลุกไหม้ไปด้วยความลุ่มหลงและต้องการที่จะวิ่งเข้าไปหานาง
อย่างไรก็ตามพวกเขาทำได้เพียงแค่มองดูเท่านั้น โดยไม่สนใจท่าทีรอบข้าง หญิงสาวเดินตรงไปยังจุดบริการหนึ่งด้วยท่าทีอันสง่างาม
เจียงอี้ผู้ซึ่งกำลังนั่งรออยู่ที่เดิมด้วยความหงุดหงิด นี่เป็นครั้งแรกที่เขามายังสถานที่เช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังต้องรอให้อีกฝ่ายประเมินและพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอของเขา
เขาคงจะโกหกหากบอกว่าแท้จริงแล้วเขาไม่กังวลเกี่ยวกับมัน โชคดีที่ใบหน้าของเจียงอี้ถูกคลุมด้วยเสื้อคลุมสีดำและเขาเองก็มีบุคลิกที่ดูมั่นคงและสุขุมซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ชีวิตภายใต้ความยากลำบากนานาชนิด
อย่างไรก็ตามความสงบของเขาก็หายไปอย่างรวดเร็วหลังจากการปรากฏตัวของหญิงสาวในชุดสีเหลือง การจ้องมองไปที่นางทำให้ดวงตาของเขาแข็งค้างในทันที
ในชีวิตของเจียงอี้เคยเห็นหญิงสาวที่งดงามมามากมาย ทั้งคุณหนูใหญ่และคุณหนูรองต่างก็งดงามราวกับดอกไม้ แต่หากให้เทียบพวกนางกับหญิงสาวตรงหน้าแล้ว มันช่าง… แตกต่างกันเหลือเกิน
“อะแฮ่ม!”
โชคดีที่ปรมาจารย์เฮ่อตามเข้ามาและยืนอยู่ข้างหลังหญิงสาวพร้อมกับส่งสัญญาณให้เจียงอี้เล็กน้อย
เด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นเร่งรีบและก้มศีรษะลงโดยที่ไม่กล้ามองหญิงสาวอีกต่อไป เขามาที่นี่เพื่อที่จะขายเม็ดยาเท่านั้น
เห็นได้ชัดเลยว่าหญิงสาวผู้ที่ไม่ใช่คนธรรมดา มีความเป็นไปได้มากว่าการจ้องมองนางนานๆจะทำให้นางเกิดโทสะได้
หญิงสาวเดินเข้ามาโดยไม่สนใจการแสดงออกของเจียงอี้ นางยกมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อตอบรับการโค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพจากผู้ดูแลและเหล่าคนรับใช้
“ข้ามีนามว่าจีทิงยวี่ ไม่ทราบว่าข้าควรจะเรียกคุณชายว่าอะไรดี?”
จีทิงยวี่? เป็นที่รู้กันดีว่าหอสมบัติเป็นของตระกูลจี เช่นนั้นหญิงสาวผู้นี้จะต้องเป็นธิดาของตระกูลจีอย่างแน่นอน
เสียงของหญิงสาวช่างไพรเราะยิ่งนัก สามารถทำให้จิตใจของเจียงอี้เกิดฟุ้งซ่านได้ชั่วขณะ แต่เขาก็รีบดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กล่าว
“ยินดีที่ได้พบ คุณหนูจี ข้าน้อยมีนามว่า อี้เจียง”
แน่นอนว่าเขาไม่กล้าใช้ชื่อจริงในตอนนี้ เจียงอี้ตระหนักดีว่ามันเป็นเพราะเม็ดยาของเขาที่ทำให้คุณหนูแห่งตระกูลจีถึงกับต้องมาพบเขาด้วยตัวเอง
สมบัติบางอย่างสามารถนำภัยพิบัติมาสู่เจ้าของ เพราะมันสามารถกระตุ้นความโลภของผู้อื่นได้ เขาเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี
ดูท่าข้าคงไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานนัก
คุณหนูตระกูลจีมีทั้งความงดงามและน่าดึงดูด ดวงตาสีแดงราวกับวิหกเพลิงของนางส่องประกายระยิบระยับซึ่งทำให้เขารู้สึกว่านางสามารถมองเขาได้ทะลุปรุโปร่ง
เจียงอี้กลัวว่าหากเขาอยู่นานเกินไปก็มีโอกาสที่ความลับของเขาจะถูกเปิดเผย
โดยไม่ให้เสียเวลาเจียงอี้จึงรีบถามเข้าประเด็นในทันที
“คุณหนูจี เม็ดยาของข้า.. ข้าหมายถึงท่านจะรับซื้อมันหรือไม่? ถ้าไม่ ข้าก็จะไป!”
“แค๊กๆ!”
ปรมาจารย์เฮ่อและผู้ดูแลที่มีนามว่าหลิว เช่นเดียวกับเหล่าสาวใช้ พวกเขาทุกคนต่างแสดงท่าทีตกตะลึงออกมา
พวกเขาทราบดีถึงเสน่ห์ดึงดูดของคุณหนูของพวกเขาที่มีต่อบุรุษเพศ แต่มันเป็นไปได้จริงๆหรือที่เด็กหนุ่มผู้นี้จะไม่ตกหลุมรักนางและต้องการที่จะจากไปโดยไว?
หรือว่าเขามีความลับบางอย่าง ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่แสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา
จีทิงยวี่เองก็ตกใจไปครู่หนึ่ง นางยิ้มและพยักหน้าเล็กน้อยก่อนตอบ
“ทางเราจะยอมรับเม็ดยานี้ไว้ นายน้อยอี้ ท่านจะเรียกราคาเท่าไหร่ต่อเม็ดยาหนึ่งเม็ด”
‘เม็ดยาระดับมนุษย์ขั้นสูงราคาสิบตำลึงเงินต่อเม็ด ตามที่นักปรุงยาของที่นี่กล่าว เม็ดยาของข้าไม่ได้มีคุณภาพสูงนัก แต่ถึงกระนั้นมันก็เพียงพอที่จะได้รับความสนใจจากตัวตนระดับคุณหนูของตระกูลจี นี่มันยังไงกันแน่? หรือว่าแท้จริงแล้วมันจะมีมูลค่าสูงกว่าเม็ดยาระดับมนุษย์ขั้นสูง?’ เจียงอี้ประมวลความคิดอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนักเขาก็ตัดสินใจได้ก่อนที่จะกัดฟันและเอ่ยตอบ “ยะ ยี่สิบตำลึงเงินต่อหนึ่งเม็ด!”
จีทิงยวี่และปรมาจารย์เฮ่อสบตากันด้วยความประหลาดใจ เม็ดยาที่ได้รับการกลั่นจนเกิดลวดลายจะขายเพียงแค่ยี่สิบตำลึงเงินต่อเม็ดจริงๆหรือ?
นักปรุงยาที่สามารถกลั่นเม็ดยาเช่นนี้ได้จะใส่ใจเงินเพียงเล็กน้อยไปทำไม เป็นไปได้ไหมว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะขโมยมันมาจากที่อื่น?
เห็นได้ชัดว่าสถานะของจีทิงยวี่สูงส่งมากแค่ไหนในหอสมบัติ ไม่มีใครจะคัดค้านใดๆ นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเอ่ยถาม
“นายน้อยอี้ แม้ว่าจะเสียมารยาทแต่ข้าขอเรียนถามได้ไหมว่านักปรุงยาที่สร้างเม็ดยาเหล่านี้ขึ้นมา… เขารู้หรือไม่ว่าท่านจะขายมัน?”
เม็ดยาเหล่านี้เป็นเจียงอี้ที่ปรุงขึ้นมาด้วยตนเองดังนั้นเขาจึงพยักหน้าตอบโดยไม่ลังเล
“แน่นอนเขารู้! พวกท่านคงไม่คิดว่าข้าขโมยมันมาใช่หรือไม่?”
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น! มันเป็นเพียงขั้นตอนเพื่อทำการซื้อขายเท่านั้น นายน้อยอี้ ได้โปรดอย่าโกรธเคือง…”
จีทิงยวี่ไม่ได้กล่าวอะไรขึ้นมาอีก นางหันไปทางผู้ดูแลหลิวและเอ่ย
“นำหนึ่งตำลึงทองมาให้ข้า หอสมบัติจะขอรับเม็ดยาทั้งสามเม็ดนี้ไว้”
“หนึ่งตำลึงทอง?”
เจียงอี้ตกตะลึง หนึ่งตำลึงทองมีค่าเท่ากับหนึ่งร้อยตำลึงเงิน! ไม่เพียงคุณหนูตระกูลเจียงผู้นี้จะไม่ตัดราคา แต่นางยังเพิ่มเงินให้กับเขาอีกด้วย!
ผู้ดูแลหลิวรีบนำตำลึงทองมาและส่งให้กับเจียงอี้อย่างรวดเร็ว จีทิงยวี่เพียงแค่ยิ้มและกล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน
“นายน้อยอี้ หากท่านมีเม็ดยาเช่นนี้อีกในอนาคต โปรดอย่าลังเลที่จะมาหอสมบัติแห่งนี้ พวกเราจะรับซื้อมันไว้ทั้งหมด นอกจากนี้พวกเราจะให้ราคาหนึ่งตำลึงทองต่อเม็ดยาสามเม็ด”
“หรือหากว่ามันมีคุณภาพที่สูงกว่านี้ ทางเราก็ยินดีที่จะขึ้นราคาให้ แต่แน่นอนข้อตกลงทั้งหมดนี้จะขึ้นอยู่กับท่านนักปรุงยาที่อยู่เบื้องหลังท่าน”
“นี่คือตำลึงทอง?”
ความสนใจของเจียงอี้ถูกดึงดูดโดยแผ่นทองคำขนาดเล็กบนฝ่ามือของเขา เขาไม่เคยเห็นตำลึงทองมาก่อนในชีวิต ลมหายใจของเขารุนแรงขึ้นเรื่อยๆก่อนทีจะสงบลงในที่สุด
“ประเสริฐ! ครั้งหน้าหากข้าได้รับเม็ดยามาอีก ข้าจะนำมาขายให้กับหอสมบัติอย่างแน่นอน ข้ายังมีสิ่งอื่นที่ต้องทำ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน..”
หลังจากที่พูดจบ เจียงอี้ก็นำตำลึงทองเก็บลงไป เขาประสานมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อบอกลาและรีบเดินออกจากหอสมบัติอย่างรวดเร็ว
ในตอนแรกปรมาจารย์เฮ่อคิดจะรั้งเขาไว้เพื่อสอบถามบางอย่างเพิ่มเติม แต่เขาก็ถูกจีทิงยวี่ขวางไว้
ในขณะที่เจียงอี้เดินออกมาจากจุดให้บริการ เขาสังเกตเห็นสายตาจำนวนมากที่จับจ้องมายังร่างของเขา บ้างก็อิจฉา บ้างก็เกลียดชัง เขาไม่แน่ใจว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะจีทิงยวี่หรือไม่ แต่เนื่องจากไม่ต้องการที่จะโยนตัวเองเข้าไปในปัญหาดังนั้นเขาจึงกดเสื้อคลุมลงต่ำและก้มหน้าเล็กน้อยก่อนทีจะเดินหายไปในฝูงชนอย่างรวดเร็ว
…
ปรมาจารย์เฮ่อรอจนเจียงอี้จากไปสักพักจากนั้นเขาก็ไล่ผู้ดูแลหลิวและเหล่าคนรับใช้ออกไป ก่อนที่จะหันมาทางจีทิงยวี่และกล่าว
“คุณหนู นอกจากลวดลายแล้ว เม็ดยาเหล่านี้ไม่มีคุณค่าอะไรเลย อีกอย่างเรายังไม่รู้แน่ชัดว่ามันจะส่งผลเยี่ยงไร เราไม่สามารถนำพวกมันออกมาขายได้ เราจะรับซื้อพวกมันทั้งหมดได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น… ข้าว่าเราควรส่งใครบางคนติดตามเขาไปไม่ดีกว่าหรือ?
“ฮิฮิ”
จีทิงยวี่หัวเราะออกมาเล็กน้อยแต่ก็ทำให้นางยิ่งดูน่าหลงใหล จากนั้นนางก็กล่าวกับปรมาจารย์เฮ่อด้วยรอยยิ้ม
“ท่านปู่เฮ่อ ในเมืองเทียนอวี่อาจจะไม่มีนักปรุงยาคนไหนที่เทียบกับท่านได้ แต่เมื่อพูดถึงเรื่องทำการค้าแล้ว… ก็ไม่มีใครที่เทียบข้าได้เช่นกัน จริงๆแล้วหากไม่กลัวว่าจะทำให้เด็กหนุ่มผู้นั้นตื่นกลัว เพียงแค่เม็ดยาที่ถูกกลั่นจนมีลวดลายเหล่านั้น ข้าก็ยินดีที่จะแลกเปลี่ยนพวกมันกับสิบตำลึงทองเสียด้วยซ้ำ”
“ถ้าหากข้าเสียเงินไปเพียงเล็กน้อยและในทางกลับกันก็สามารถรับผู้ที่อาจจะกลายเป็นนักปรุงยาระดับปรมาจารย์หรือกระทั่งระดับนักบุญมาอยู่ข้างพวกเราได้ เช่นนี้ไม่เรียกว่าคุ้มค่าหรอกหรือ?”
“โอ้ใช่แล้ว! ท่านปู่เฮ่อไม่ว่ายังไงก็อย่าส่งคนตามเขาไปเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นหากเราทำให้นักปรุงยาท่านนั้นโกรธ พวกเราคงไม่อาจที่จะแบกรับความสูญเสียนั้นได้”
“ท่านไม่ต้องกังวล ข้ารู้สึกว่าไม่ช้าก็เร็วเด็กหนุ่มผู้นั้นจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน”
ดวงตาของปรมาจารย์เฮ่อส่องประกาย เขาลูบเคราสีขาวขณะที่มองไปยังจีทิงยวี่ด้วยความชื่นชม
“คุณหนู ท่านช่างฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก นับถือๆ ถูกของท่าน… แม้ว่าผู้คนในเมืองเทียนอวี่แห่งนี้จะมีอยู่นับล้าน แต่ยังไม่มีใครที่มีความสามารถในการทำการค้าเทียบเท่ากับท่าน”
“มิฉะนั้นมันจะเป็นไปได้อย่างไรที่หอสมบัติจะกลายเป็นเขตการค้าอันดับหนึ่งในเมืองเทียนอวี่ในเวลาเพียงแค่สองปี? ใช่แล้ว! หากท่านยังคงดูแลที่นี่ต่อไป ข้าเชื่อว่าไม่ถึงสิบปี หอสมบัติแห่งนี้จะต้องขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาอาณาจักรทั้งหมดอย่างแน่นอน”
จีทิงยวี่ยิ้มเล็กน้อยพลางส่ายหัว สายตาของนางมองผ่านหน้าต่างเล็กๆออกไปยังท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ก่อนที่จะถอนหายใจและกล่าว
“อะไรคือการขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของการทำการค้า? ข้า จีทิงยวี่ กำลังจะกลายเป็นภรรยาของราชาในอนาคต แล้วข้าจะสานต่อการค้าขายที่หอสมบัติเช่นเดิมนี้ได้เยี่ยงไร?”