บทที่ 78: ตัวประกอบ
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ
••••••••••••••••••••
นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล
สารบัญ จอมมารสะท้านภพ (เรื่องใหม่)
••••••••••••••••••••
บทที่ 78: ตัวประกอบ
โม่ฝานเดินไปรอบๆพร้อมกับคอยฟังข่าวจากวงสนทนาที่กระซิบกระซาบกันอยู่ในตอนนี้
‘ตอนแรกฉันก็ไม่เข้าใจหรอกว่าการต่อสู้ของเด็กสองคนมันต้องยิ่งใหญ่ขนาดนี้ด้วยเหรอ? สุดท้ายแล้วมันก็เป็นการต่อสู้ของอำนาจภายในเมืองแห่งนี้สินะ’
การต่อสู้ในครั้งนี้นั้นไม่ได้เลวร้ายสำหรับเขาแม้แต่น้อย อีกอย่างเขาอาจจะได้รับงานหลังจากการต่อสู้และเงินอีกมากมาย ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมแน่นอน!
“ซูมิน จางหู่ เหย่วหยู่ จางหยิงเว่ย ฉือจ้าวติง หวางซานฟ่า… มากันด้วยงั้นเหรอ?” โม่ฝานหันไปมองกลุ่มเล็กๆตรงหน้าและพบว่ามันเป็นกลุ่มเพื่อนร่วมห้องของเขาเอง
“อ่า มีพวกเราอยู่บางกลุ่มในสถานที่แห่งนี้ มู่ไป๋ช่วยให้พวกเราเข้ามาด้านในน่ะ มันไม่ใช่ทุกวันสักหน่อยที่จะได้ดูการต่อสู้ของเหล่าลูกหลานของตระกูลใหญ่ ทำไมพวกเราจะอยากดูไม่ได้ล่ะ?” ฉือจ้าวติงกล่าวออกมาอย่างร่าเริง
ฉือจ้าวติงนั้นเป็นนักเวทสายฟ้า เขานั้นควรจะได้ยืนอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำแต่ทุกสิ่งกลับถูกโม่ฝานขโมยไปอย่างน่าเสียดาย
แต่อย่างไรก็ตามหลังจากที่ผ่านการสอบปฏิบัติครั้งนั้นมา ฉือจ้าวติงไม่ได้เหยียดหยามโม่ฝานเท่ากับเมื่อก่อนนัก โม่ฝานได้ช่วยชีวิตทุกคนเอาไว้ ความจริงแล้วเขาหวังอย่างยิ่งว่าโม่ฝานจะแสดงความสามารถทั้งหมดของเขาออกมาในการต่อสู้ครั้งนี้ เพื่อที่โรงเรียนเวทมนตร์เทียนหลานจะได้กลับมาเงยหน้ามองฟ้าได้อีกครั้ง
“พี่ฝาน ฉันเห็นรายชื่อของลุงโม่เซี่ยจิงด้วย ฉันว่ามู่เห่อคงเป็นคนจัดการทุกอย่าง” จางหู่กล่าวออกมา
“ยอดเยี่ยมเลย”
“โม่ฝาน นายต้องทำให้ดีที่สุดนะ!” ซูมินกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มสดใส
โม่ฝานพยักหน้ารับ
โม่ฝานไม่เคยคิดมาก่อนว่าเหตุการณ์ในตอนปีสองของการเรียนจะทำให้หลายคนสนใจในทักษะการต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก
‘ยอดเยี่ยมเลย มันยอดเยี่ยมมาก ฉันจะแสดงฝีมือครั้งเดียวแต่ทุกคนจะมองเห็นมันอย่างชัดเจน! มันดีกว่าการอยู่ในความมืดมิดและไม่มีใครรู้จักความสามารถที่แท้จริงแน่นอน!’
—
“ทุกท่าน ทุกท่านโปรดฟัง… ก่อนอื่นเลยผมต้องขอขอบคุณทุกคนมากที่มาร่วมแสดงความยินดีกับบุตรชายของผมคนนี้ เวลาล้วนแต่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว บางครั้งกว่าที่เราบางคนจะรู้ตัวก็ถึงวัยที่ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้อีกแล้ว แน่นอนว่าอนาคตของเมืองบ่อแห่งนี้ถูกกุมไว้โดยเหล่าผู้เยาว์พวกนี้และวัยรุ่นทั้งหลายก็ล้วนแต่โดดเด่นขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกท่านอาจจะคิดว่าการที่ผมได้เชิญทุกคนมาในวันนี้เป็นความผิดพลาด แต่ความจริงแล้วผมเชื่อว่ามีนักเรียนที่เก่งกว่าอาจารย์อยู่เสมอ ผมคือมู่โจวอวิ๋น ซึ่งได้สร้างสิ่งใหม่และสนับสนุนเมืองบ่อมาโดยตลอด หน้าที่ของผมคือการปลุกปั้นนักเวทรุ่นใหม่ให้เก่งกาจและแข็งแกร่งพอที่จะปกป้องเมืองแห่งนี้ให้ได้ แต่อย่างไรก็ตามในอีกยี่สิบปีข้างหน้าเมืองบ่อแห่งนี้จะต้องถูกปกครองโดยลูกหลานของเราและมันจะต้องยิ่งเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นไปกว่าเดิม เมืองแห่งนี้จะต้องเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยนักเวทที่เก่งกาจแน่นอน เช่นนี้การจัดการเลี้ยงในครั้งนี้ผมจึงคิดว่ามันเป็นการเลี้ยงฉลองสำหรับอนาคตที่สดใสของเมืองบ่อมากกว่า ทุกท่านเห็นด้วยหรือไม่?” มู่โจวอวิ๋นนั้นกล่าวเปิดงานเลี้ยงนี้อย่างร่าเริง ในมือของเขาถือไวน์แดงเอาไว้อย่างหมายมั่น
“เอาล่ะ มาอวยพรให้กับอนาคตของเมืองบ่อเถอะ!” หยาวซัวเห่อนั้นเป็นคนแรกที่ยกแก้วขึ้นมาชูให้กับมู่โจวอวิ๋น
“ทุกคนที่ยืนอยู่ที่นี่ล้วนแต่เป็นผู้กำหนดอนาคตของเมืองบ่อแห่งนี้ ไม่ใช่เพียงคุณชายมู่โจวอวิ๋นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ขับเคลื่อนเมืองนี้ พวกเราทุกคนก็มีส่วนร่วมในอนาคตนี้เช่นกัน เอาล่ะ ฉันจะดื่มให้หมดในคราวเดียว!”
แขกทุกคนยืนขึ้นพร้อมกับชูแก้วก่อนที่จะดื่มลงไปจนหมด
ผู้คนมากมายในห้องโถงแห่งนี้ล้วนแต่คล้อยตามสิ่งที่มู่โจวอวิ๋นกล่าว แต่โม่ฝานสังเกตเห็นว่าถังหยู่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เธอดูขยะแขยงในคำพูดของเขาอย่างมาก เธอเพียงแค่กรอกตาไปมาระหว่างกัดขนมปังในมือ
เขาไม่รู้เลยว่าถังหยู่นั้นคัดค้านคำพูดไหนของมู่โจวอวิ๋น
งานเลี้ยงเช่นนี้บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอวล คฤหาสน์ตระกูลมู่นั้นเต็มไปด้วยความร่าเริงและเสียงดนตรีมากมาย พวกเขาล้วนแต่เฝ้ารอเวลานี้มาอย่างยาวนานช่วงเวลาแห่งการประลองเวทมมนตร์!
มีหลายคนที่ไม่ได้สนใจคำพูดเปิดงานของมู่โจวอวิ๋นเท่าไหร่นัก พวกเขาเพียงจดจ่ออยู่กับการอยากรู้ว่าใครกันจะได้เข้าไปดูดซับพลังของบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ใต้ดินในปีนี้!
มีนักเวทจำนวนมากในเมืองบ่อที่อยู่ในระดับปฐมภูมิ แม้ว่าพวกเขาจะอายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแต่ก็ยังไม่สามารถพัฒนาได้ ตอนนี้ทุกคนเฝ้ามองว่าใครกันที่จะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับมัชฌิมได้อย่างแท้จริง?
ดวงดาวเวทนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ ในแรกเริ่มบางคนนั้นอาจแสดงพรสวรรค์จนน่าตกใจ แต่ทว่าสุดท้ายแล้วกลับไม่อาจข้ามผ่านขีดจำกัดตรงนี้ไปได้ เช่นนี้นักเวทระดับปฐมภูมิจึงสามารถพบเจอได้ทั่วไป เช่นนี้บ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนแต่ถวิลหามาเสมอ มันเป็นทางเดียวที่พวกเขาจะสามารถข้ามผ่านขีดจำกัดนี้ไปได้และได้เข้าสู่ระดับมัชฌิม…
แต่น่าเสียดายที่มันเปิดให้คนรุ่นเยาว์เท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปใช้ได้ อีกทั้งเปิดได้เพียงปีละครั้งเท่านั้นซึ่งเหล่านักเรียนเวทมนตร์จะต้องต่อสู้กับศิษย์ของตระกูลใหญ่เพื่อแย่งชิงกัน!
ครั้งแรกนั้นโม่ฝานไม่เคยรู้มาก่อนว่าภายในเมืองบ่อแห่งนี้จะมีสมบัติสวรรค์เช่นนี้อยู่ด้วย นอกจากนี้เขายังไม่รู้อีกด้วยว่าความหยาบคายของเขาในวันนั้นจะส่งผลให้เขามีโอกาสได้เข้าร่วมต่อสู้แย่งชิงการใช้น้ำพุศักดิ์สิทธิ์นี้
ดูเหมือนคำพูดนั้นจะเป็นจริง คำพูดที่ว่า “ถ้าหากไม่ทำสิ่งนั้นอย่างถึงที่สุด คุณจะไม่มีวันรู้ถึงความแข็งแกร่งของตัวเอง!”
—
ในที่สุดเวลาแห่งการประลองเวทก็มาถึง โม่ฝานยืนอยู่ที่ด้านข้างของเวทีแล้ว เขาฟังคำชี้แจงของมู่โจวอวิ๋นอย่างตั้งใจ
เวทมนตร์รูปไข่ปรากฏขึ้นด้านบนของเวทีประลอง มันยิ่งใหญ่กว่าสนามฝึกในโรงเรียนอย่างมาก ขนาดของมันเทียบเท่ากับสนามกีฬาใหญ่ๆได้อย่างสบายๆ
ทั้งสองด้านเต็มไปด้วยที่นั่งมากมายซึ่งเพียงพอที่จะรองรับผู้คนที่ได้รับเชิญ
ตอนนี้โม่ฝานยืนอยู่ที่กลางเวที… ความจริงเขายืนตรงนั้นมาได้สักพักแล้ว
หยู่อั๋นนั้นยังไม่มา… เป็นที่ชัดเจนว่ามู่โจวอวิ๋นต้องการให้เขาปรากฏตัวอย่างยิ่งใหญ่
‘เป็นความรู้สึกที่ห่วยแตกชะมัด เหอะ’
ตอนนี้โม่ฝานรู้สึกว่าเขากำลังอยู่ในคอกของวัวกระทิง เขากำลังยืนเพื่อรอให้อีกฝ่ายปล่อยวัวกระทิงออกมา ผู้คนทั้งหลายกำลังเฝ้ารอที่จะดูว่าวัวกระทิงตัวนี้ดุร้ายเพียงใด เขาของมันจะแข็งแกร่งเพียงใด จากนั้นเขาก็จะได้รับบทบาทของมาธาดอร์อย่างแน่นอน! เพียงครู่เดียวแสงสว่างสดใสสาดไปบริเวณหนึ่งพร้อมกับเสียงปรบมือได้ดังขึ้น…
—
“ลูกชายฉัน นั่นลูกชายฉัน!” แน่นอนว่าโม่เซี่ยจิงผู้ซึ่งมองโลกในแง่ดี เขาอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นเมื่อแสงไฟต่างๆได้เริ่มเคลื่อนไหว
“ไม่เลวเลย เฒ่าโม่ ฉันว่าเรื่องนี้อาจจะนำพาการเปลี่ยนแปลงมาสู่คุณได้ในอนาคต” คนงานอีกคนกล่าวออกมาอย่างอารมณ์ดี
“ต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน ถ้าหากเขาไม่ได้แพ้อย่างราบคาบน่ะนะ ฉันได้ยินมาว่าหยู่อั๋นเป็นคนที่แปลกประหลาด เขามักจะลงมือรุนแรงตลอดกับพี่น้องของตนเอง” คนงานอีกคนกล่าวออกมาอย่างหดหู่
“เพียงแค่เยาวชนจะประลองทักษะกันเล็กน้อย ทำไมพวกเขาจึงต้องโหดร้ายด้วยล่ะ?” โม่เซี่ยจิงหัวเราะออกมา
ในมุมมองของโม่เซี่ยจิงนั้นแน่นอนว่าเขาคิดว่ามันเป็นเพียงการประลองทั่วไปเท่านั้น อีกทั้งเขายังไม่คิดว่ามู่โจวอวิ๋นจะสนใจคำพูดของเด็กหรือมีจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ต่อเด็กขนาดนั้น แต่ความจริงก็คือทุกคนรู้ดีว่ามู่โจวอวิ๋นคิดที่จะเหยียบย่ำโม่ฝานให้รู้ว่าสวรรค์กับพื้นดินนั้นแตกต่างกันเพียงใด
“ฉันขอเดิมพันว่าเด็กชื่อโม่ฝานนั้นจะถูกทุบจนพ่ายแพ้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว!”
“บัดซบ ไม่ว่ายังไงเขาก็ยังเป็นนักเรียนอันดับหนึ่งของโรงเรียนมัธยมเทียนหลาน มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไงล่ะ?”
“ฉันสามารถเดิมพันได้เลยทั้งหมดที่ฉันมี ฉันน่ะได้ยินความสามารถของหยู่อั๋นมาหลายครั้งแล้ว”
ในขณะที่ทุกคนกำลังถกเถียงกันอย่างออกรส หยู่อั๋นที่สวมใส่เสื้อผ้าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว…
ดูเหมือนว่าเสื้อผ้าของเขาจะทำจากหนังแต่มันก็ดูคล้ายกับผ้าไหมคุณภาพสูง ประกายของมันเล่นกับแสงไฟเป็นระยิบระยับทำให้ดูราวกับเจ้าชายกำลังเดินมา
เมื่อเปรียบเทียบกันที่รูปลักษณ์นั้นเห็นได้ชัดว่าพวกเขาพยายามที่จะแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างกัน ซึ่งโม่ฝานนั้นอยู่ในชุดธรรมดาและสวมเพียงรองเท้าแตะเท่านั้น
หยู่อั๋นนั้นอยู่ในเสื้อผ้าของชนชั้นสูง ซึ่งความประดิษประดอยของเขานั้นทำให้ทุกอย่างดูมากเกินไป อีกทั้งเขาก็ไม่ได้สูงมาก การทำตัวสำอางเช่นนี้ทำให้ผู้หญิงบางคนรู้สึกสับสนกับพฤติกรรมนี้ของเขาอย่างช่วยไม่ได้
เสื้อผ้าสีขาวเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของครอบครัวธาตุน้ำแข็ง หยู่อั๋นค่อยๆเดินเข้าสู่เวทีอย่างมั่นใจ มุมปากของเขาถูกยกขึ้นอย่างภาคภูมิ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจะบอกโม่ฝานว่า “ฉันนี่แหละคือตัวละครหลักของวันนี้!”
••••••••••••••••••••
••••••••••••••••••••