บทที่ 75: มาเล่นกันเถอะ!
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ
••••••••••••••••••••
นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล
สารบัญ จอมมารสะท้านภพ (เรื่องใหม่)
••••••••••••••••••••
บทที่ 75: มาเล่นกันเถอะ!
“ไม่จำเป็นหรอก เดี๋ยวพอแกเข้ามหาลัยก็ไม่มีใครอยู่ที่นั่นแล้วล่ะ ตอนนี้เหย่ซินเซียอยู่กับป้าของเธอน่ะดีที่สุดแล้ว ผู้ชายอย่างฉันจะดูแลเด็กตัวเล็กแบบนั้นไม่ได้หรอก อีกอย่างฉันก็ส่งเงินให้กับป้าของเธอทุกเดือน… เออพูดถึงเงินที่แกให้ฉันมาน่ะมีแสนกว่าบาทบวกกับตอนนี้ฉันมีเงินอยู่แปดหมื่นจากการทำงานทุกอย่าง รวมแล้วก็เป็นสองแสนหยวน มันเพียงพอที่จะซื้ออุปกรณ์เวทมนตร์แล้วใช่ไหม? ฉันได้ยินมาว่ามันจำเป็นมากนะสำหรับนักเวท” โม่เซี่ยจิงยังคงไม่ยอมละความพยายาม
“ผมมีอุปกรณ์เวทมนต์แล้ว!”
“โอ้! ใช่! ฉันลืมไปสนิท แกได้อุปกรณ์เวทมนตร์จากจ้านคงหนิ ฉันลืมไปสนิท ฮ่าฮ่า ฉันนี่นะได้ยินมาว่าพวกผู้พิทักษ์พูดถึงเรื่องนี้กันไม่รู้ตั้งกี่รอบ!” เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของโม่เซี่ยจิงเปล่งประกายเต็มไปด้วยความสุขเมื่อเขานึกได้ว่ามันผ่านมากว่าหนึ่งปีแล้วจากเหตุการณ์ครั้งนั้น
“พรุ่งนี้ผมต้องไปที่คฤหาสน์ตระกูลมู่เพื่อที่จะประลองเวทมนตร์กับใครบางคนที่ชื่อว่าหยู่อั๋น” โม่ฝานบอกกล่าวพ่อของเขาอย่างเคร่งขรึม
“อ่า ฉันรู้... ฉันรู้แล้วน่ะ ฉันไปขอร้องกับอาวุโสตระกูลมู่บางคนเพื่อให้เขาบอกให้หยู่อั๋นออมมือให้กับแกบ้าง ไม่ว่าจะวิธีใดก็ตามเถอะแกก็แค่อยู่ตรงนั้นให้ผ่านพ้นไปเท่านั้น แต่นี่ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่แกจะได้แสดงความสามารถต่อผู้คนที่ทรงอิทธิพลมากมาย นับว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากโอกาสเช่นนี้ ฉันสงสัยว่าตอนนั้นแกคิดยังไงถึงได้ทำตัวแบบนั้น… เอาเถอะ ยังไงก็อย่าได้ไปยั่วยุตระกูลมู่อีกเด็ดขาด เขานั้นไม่พอใจเรื่องของแกกับมู่เหนิงเซวียมาตั้งแต่วันนั้นแล้ว เด็กเหลือขออย่างแกน่ะไปชวนไข่มุกแห่งตระกูลโบราณหนีเชียวนะ!” โม่เซี่ยจิงกล่าวออกมา
โม่เซี่ยจิงตำหนิโม่ฝานถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต
‘โม่ฝานที่ยังเด็กย่อมทำอะไรโง่ๆลงไปเป็นเรื่องปกติ แต่ปัญหานั้นไม่ได้อยู่ที่บุตรชายของเขาหรอก แต่มันเป็นการที่หญิงสาวคนนั้นอยู่ในตระกูลที่ทรงพลังเกินไป’
‘เฮ้อ! ถ้าหากเขาได้มู่หนิงเซวียเป็นลูกสะใภ้แล้วล่ะก็… มันก็คงจะยอดเยี่ยมน่าดู แต่ทว่าเด็กเหลือขอคนนี้นั้นมีทักษะที่ยอดเยี่ยมอย่างมากในการล่อลวงหญิงสาว นี่ขนาดเขายังเป็นแค่เด็กเท่านั้นนะ!’
การประลองเวทครั้งนี้นั้นโม่เซี่ยจิงมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีอย่างมาก เขาไม่รู้สึกเห็นด้วยแม้แต่น้อย
Many other disciples who had better better circumstances than Mo Fan were very eager to appear at this incomparably grand Coming-of-Age Ceremony. Even if they were only there to enhance Yu Ang, it was still a supreme honor. For a fool like Mo Fan, this kind of opportunity was indeed very good, as long as this Mo Fan didn’t have the intention to actually fight for the outcome of the battle. What kind of a background did the other person have? If they were able to be the supporting character, that’d be fine, as well! If Yu Ang really became a great character of Bo City in the future, then they’d at least be able to say “I fought with him once before!”
เหล่าบุคคลที่แข็งแกร่งมากมายล้วนแต่เข้าร่วมรับชมการต่อสู้ในครั้งนี้ ทุกคนล้วนแต่มาเพื่อยกระดับความแข็งแกร่งของหยู่อั๋นและเป็นสักขีพยานในการประลองครั้งนี้อย่างยิ่งใหญ่ สำหรับเด็กเหลือขออย่างโม่ฝานที่ได้รับโอกาสที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ถือได้ว่าโชคดีมากแล้ว โม่ฝานสามารถเป็นตัวประกอบที่ดีได้ เขาเป็นเพียงบันไดให้กับหยู่อั๋นเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามหากหยู่อั๋นได้กลายเป็นคนใหญ่โตของเมืองบ่อ อย่างน้อยโม่ฝานก็ยังสามารถกล่าวได้ว่า “เคยต่อสู้กับเขาแล้ว!”
“พ่อ… ผมจะชนะ!” โม่ฝานกล่าวอย่างหนักแน่น
“อย่าทะเยอทะยานไปหน่อยเลย แค่นี้ฉันก็พอใจกับผลการเรียนของแกแล้วล่ะ” โม่เซี่ยจิงตบบ่าของโม่ฝานพร้อมหัวเราะออกมา
เมื่อเห็นว่าโม่เซี่ยจิงคิดอย่างไร เช่นนี้โม่ฝานยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจมากขึ้นทุกที
‘ทำไมต้องคิดว่าฉันจะต้องกลายเป็นบันไดให้ไอ้คนบัดซบพวกนั้นด้วย?’
——
ตระกูลมู่นั้นส่งคำเชิญไปให้คนใหญ่โตมากมายก่อนที่งานจะเริ่มประลองนานมากแล้ว คฤหาสน์ทั้งหมดทำการตกแต่งใหม่อย่างเร่งด่วน ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยเหล่าผู้คนที่ทรงอิทธิพลและพวกพ้องมากมาย เหล่าคนรับใช้นั้นต้องทำงานอย่างหนักเพื่อตกแต่งสวนหย่อมและดูแลความเรียบร้อยภายในกันอย่างขมักเขม้น
มู่โจวอวิ๋นนั้นเป็นคนที่จัดงานวันเกิดได้อย่างใหญ่โตที่สุด ซึ่งคนในเมืองบ่อทุกคนล้วนแต่รู้ดีอยู่แล้ว
โม่ฝานนั้นเคยสงสัยว่าทำไมมู่โจวอวิ๋นจึงให้เขาต่อสู้กับหยู่อั๋น ดูเหมือนว่าในตอนนี้ไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์คนนั้นจะได้วางแผนการอะไรสักอย่างเอาไว้ แน่นอนว่าการต่อสู้ครั้งนี้ต้องสร้างผลประโยชน์ให้กับมัน!
การกินดื่มร่วมกันนั้นเป็นเพียงเรื่องหลอกตาเท่านั้น สิ่งที่แท้จริงก็คือการมองคนรุ่นใหม่สู้กันเสียมากกว่า มู่โจวอวิ๋นนั้นไม่เพียงแต่ได้กำจัดหนูโสโครกอย่างโม่ฝานต่อหน้าทุกคน แต่มันจะทำให้ตระกูลของเขาได้รับเกียรติและอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นจากความสามารถของลูกหลานในตระกูล แล้วเรื่องอะไรที่เฒ่าเจ้าเล่ห์จะปล่อยให้โอกาสดีเช่นนี้หลุดลอยไป?
ในตอนแรกโม่ฝานไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่ามู่โจวอวิ๋นจะป่าวประกาศไปทั่วเช่นนี้
บางทีมันอาจจะเป็นอย่างเช่นอาจารย์ใหญ่ซูและเติ้งข่ายได้กล่าวไว้ว่านี่เป็นการแข่งขันของนักเรียนเวทมนตร์กับศิษย์ของตระกูลใหญ่!
แม้ว่าโม่ฝานจะไม่ได้เป็นนักเรียนที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยมที่สุดในโรงเรียนเวทมนตร์เทียนหลาน แต่เขานั้นสร้างปฏิปักษ์กับตระกูลมู่ไว้แล้ว เช่นนี้เขาเลยต้องเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
‘ไม่เป็นไรหรอก หึ ฉันจะจัดการกับความแค้นทั้งเก่าและใหม่อย่างสาสมในคราวเดียว!’
“ฮ่าฮ่า ตาเฒ่าวายร้ายนั้นประกาศออกไปทั่วสารทิศแบบนี้ แล้วผมจะทำให้พ่อตัวเองเสียหน้าได้ยังไงล่ะ!” โม่ฝานมองไปที่บ้านเก่าของตัวเองที่ตกแต่งใหม่อย่างสวยงาม เขาเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมาก่อนที่จะมองไปรอบๆอย่างไม่แยแส
——
มู่โจวอวิ๋นนั่งอยู่บนบันลังก์สูงสุดภายในคฤหาสน์
เขากำลังขยี้หนวดของตนเองพร้อมจิบชายามบ่ายอย่างสบายอารมณ์ ตอนนี้เขากำลังมองมู่หนิงเซวียที่เพิ่งกลับมาจากปิดเทอมฤดูร้อนเมื่อไม่นานนี้
“จริงๆแล้วพิธีนี้ควรจะเป็นของลูก แต่ว่าพ่อไม่เคยคิดมาก่อนว่าลูกจะโดดเด่นได้มากขนาดนี้ มันเหนือกว่าที่จินตนาการไว้อย่างมากเลยล่ะ เมืองเล็กๆแห่งนี้ไม่ใช่เมืองที่ลูกจะต้องต่อสู้กับใคร ไม่มีใครเหมาะสมแล้ว เช่นนี้พิธีนี้ก็จงมอบมันให้กับหยู่อั๋นเถิด เขาจงรักภักดีกับครอบครัวของเรามาก สักวันหนึ่งเขาจะเป็นมือขวาของลูกและคอยช่วยเหลือเมื่อลูกต้องต่อสู้กับศิษย์ของตระกูลอื่นๆ” มู่โจวอวิ๋นกล่าวออกมา
มู่โจวอวิ๋นนั้นประสบปัญหามากมายในการจัดการบุตรสาวของตนเอง
“ทำไมคุณพ่อจึงยังวุ่นวายกับเขาไม่จบสิ้น? แม้ว่าจะอ้างเหตุผลอยากให้หยู่อั๋นได้เข้าไปดูดซับพลังของบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ใต้ดิน แต่มันก็มีวิธีอื่นอีกมากมาย!” ในที่สุดมู่หนิงเซวียก็ยอมเปิดปากของตนเอง
แน่นอนว่าเธอหมายถึงโม่ฝาน…
“ไอ้เด็กเหลือขอนั้นกล่าวหาพ่อต่อหน้าคนมากมาย แล้วจะให้พ่อให้อภัยเขาง่ายๆงั้นเหรอ? มันคิดว่ามันเป็นใครกัน? เก่งกาจมาจากไหนงั้นเหรอ? ทำไมพ่อจึงต้องให้โอกาสคนแบบนั้นด้วย? พ่อจัดเตรียมทุกอย่างไว้เสร็จสิ้นแล้ว หน้าที่ของลูกมีแค่นั่งข้างพ่อและดูการประลองไปเท่านั้น!” อารมณ์ของมู่โจวอวิ๋นเปลี่ยนทันทีเมื่อมู่หนิงเซวียกล่าวถึงเรื่องนี้อีกครั้ง
‘มาถึงขนาดนี้แล้วยังปกป้องมันอีกเหรอ?’
มู่โจวอวิ๋นรู้สึกไม่เข้าใจอย่างมาก ศิษย์มากมายที่อยู่ภายในคฤหาสน์แห่งนี้ล้วนแต่เป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถและมาจากตระกูลใหญ่ เหตุใดบุตรสาวของเขาจึงไม่สนใจใครคนไหนเลย แต่กลับวางสายตาไว้ที่ไอ้เด็กเหลือขอคนนั้นอย่างเดิม ทั้งๆที่มันก็ไม่ได้มีความสามารถอะไรที่โดดเด่นแม้แต่อย่างเดียว!
“ถ้าเช่นนั้นก็ต้องหยุดมือหยู่อั๋นไว้ก่อนที่จะเขาจะทำอะไรเลยเถิด!” มู่หนิงเซวียเปิดปากออกมาอีกครั้งเพื่อบอกให้พ่อของตนเองตระหนักถึงความปลอดภัย
“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก พ่อก็มีความเป็นมนุษย์อยู่ แค่จะสั่งสอนให้เขาเข้าใจว่าโลกนี้น่ะโหดร้ายเพียงใด อีกอย่างศักดิ์ศรีของเขาที่พ่อเหยียบย่ำมาตลอดมันไม่ได้มีค่ามากมายขนาดนั้นที่เขาจะต้องทนงตน! อย่างไรก็ตามในวันพรุ่งนี้เขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบและพ่ายแพ้ต่อหน้าทุกคน!” มู่โจวอวิ๋นกล่าวออกมาพร้อมแสยะยิ้มอย่างมีเล่ห์นัย
‘หึ เด็กน้อยเอ๋ย แกต้องการจะเล่นกับมู่โจวอวิ๋นคนนี้งั้นเหรอ? ฉันน่ะสามารถเขย่าเมืองบ่อให้พังพินาศได้ตั้งแต่แกยังอยู่ในท้องแม่ด้วยซ้ำ!’
‘ฉัน! มู่โจวอวิ๋นขอสาบานว่าจะทำให้แกไม่สามารถเงยหน้ามองใครได้อีกเลยในเมืองบ่อแห่งนี้ ฮ่าฮ่า!’
••••••••••••••••••••
••••••••••••••••••••