ตอนที่ 13 : เพลงดาบที่สาบสูญ
เมื่อมาถึงตอนนี้อเดลก็เริ่มที่จะหนักใจมากขึ้นเพราะเทคนิคการใช้เส้นใยเวทมนต์ในการตัดเย็บเสื้อผ้านั้นเป็นเทคนิคเฉพาะที่หากไม่ใช่ช่างที่มีฝีมือละก็เสื้อผ้าที่ออกมาก็จะกลายเป็นชุดธรรมที่ถูกเสริมเวทมนต์แทน
แต่เทคนิคนี้มันก็ผ่านมากว่าห้าร้อยปีแล้วการที่จะไปหาช่างที่จะตัดเย็บชุดให้เขาได้คงเป็นเรื่องที่ยากไม่น้อย แต่ก็ใช่ว่าจะหาไม่ได้เพราะเขามีเส้นใยเวทมนต์ที่ยาวกว่ายี่สิบเมตร หากเขาเจอช่างตัดเย็บที่ฝีมือดีมากพอก็อาจจะให้เขาลองได้
ในระหว่างที่คิดหาทางอยู่นั้นอเดลก็ได้นึกบางอย่างขึ้นมาได้เขาเดินไปที่ห้องสมุดของคฤหาสน์ทันทีพร้อมกับมองไปยังรูปที่แขวนอยู่บนผนัง
มันคือแผนที่ของทวีปนี้ซึ่งถูกแบ่งออกเป็น 5 ทวีปใหญ่ซึ่งก็คือ ทวีปสตาร์เซียร์ที่อยู่ทางเหนือ ทวีปทูรินที่อยู่ทางใต้ ทวีปเดอร์แวนตะวันตก ทวีปยาโตะทางตะวันออก และทวีปที่ใหญ่ที่สุดที่เป็นสูญกลางของโลกใบนี้ทวีปกลาง
อเดลไม่ได้สนใจที่ทวีปอื่นมากนักเขาจองมองไปที่ทวีปยาโตะบนแผนที่พร้อมกับคาดเดาเล็กน้อย
'ดูเหมือนห้าร้อยปีผ่านไปทวีปยาโตะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนักบางทีอาจจะมีโอกาสอยู่ก็เป็นได้'
ทวีปยาโตะนั้นเป็นทวีปที่แปลกประปลาดที่แห่งนั้นมีวัฒนธรรมที่ต่างแตกจากอีกสี่ทวีปที่เหลือแต่ถึงอย่างงั้นพวกเขาก็มีคนที่แข็งแกร่งอยู่อย่างมากมาย และระบบอาชีพของพวกเขานั้นไม่ได้มีหลากหลายมากนักเฉกเช่นเดียวกับทวีปอื่นๆพวกเขาเคยบอกว่าอาชีพพวกนี้ไม่สามารถเลือกได้ มันถูกส่งต่อมาทางสายเลือด
ไม่เพียงสายอาชีพต่อสู้เท่านั้นพวกสายอาชีพการช่างก็เช่นกันพวกนี้สืบต่อมาทางสายเลือด เนื่องด้วยระบบแบบนี้อเดลคาดว่ายังคงมีสักตระกูลที่สามารถใช้เส้นใยเวทมนต์ของเขาตัดชุดได้อยู่
อเดลลูบคางตัวเองเบาๆก่อนจะคิดกับตัวเอง
'คงต้องหาโอกาสไปเยือนยาโตะสักหน่อยแล้ว'
หลังจากวางแผนเล็กๆของเขาเสร็จแล้วอเดลก็กลับมาที่ห้องพร้อมกับนั่งสมาธิเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานพ่อบ้านอัลเบิร์ตก็มาเคาะประตู
''คุณชาย มีจดหมายกับของมาส่งครับ''
อเดลเปิดประตูไปดูก็พบว่าเป็นจดหมายสองฉบับกับกล่องใบใหญ่ใบหนึ่ง อเดลกล่าวขอบคุณพ่อบ้านอัลเบิร์ตก่อนจะขนพวกมันกลับเข้าไปในห้อง
เมื่อกลับเข้ามาในห้องแล้วอเดลก็ดูจดหมายทั้งสองฉบับ ฉบับแรกคือจดหมายจากสถาบันเมอร์เซีย และอีกฉบับคือจากพ่อแม่ของเขา
เขาเปิดจดหมายของพ่อแม่ขึ้นมาอ่านก็พบว่าเป็นเกี่ยวกับเรื่องซื้อบ้านที่ได้ถามไปก่อนหน้านี้ซึ่งแม่เขาก็ตอบกลับมาอย่างง่ายๆว่า
-ลูกไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้นหรอกนะพ่อกับแม่ชอบชีวิตในชนบทแบบนี้ ทั้งสบายและไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นใด ลูกเก็บเงินไว้ใช้ส่วนตัวเถอะดูแลตัวเองดีๆด้วยหล่ะพวกเราคิดถึงลูกนะ จากแม่
อเดลยิ้มเล็กน้อยกับเนื้อความในจดหมายแม้มันจะเป็นเพียงข้อความสั้นๆแต่ก็เต็มไปด้วยความรักนานมากแล้วที่เขาไม่ได้รับอะไรแบบนี้มันทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นไม่น้อย
หลังจากนั้นอเดลก็หันไปสนใจจดหมายจากสถาบันเมอร์เซีย ในจดหมายนั้นเขียนถึงคะแนนในการสอบเข้าของเขาทั้งแบบข้อเขียนและปฏิบัติ จากนั้นก็บอกถึงเนื้อหาของการเรียน มีแนบตารางเรียนและสมุดข้อมูลของสถาบันและกฏพื้นฐานมาให้อีกด้วยในส่วนท้ายของจดหมายนั้นบอกเอาไว้ว่า ทางสถาบันได้ส่งเครื่องแบบนักเรียนของสถาบัน และหนังสือเรียนมาให้กับเขาแล้วซึ่งนั่นก็คือกล่องที่อยู่ตรงเท้าของเขานั่นเอง
อเดลมองไปยังกล่องก่อนจะเปิดออกดูก็พบว่าเป็นเครื่องแบบของสถาบันแบบเดียวกับสมัยก่อนแปลว่าห้าร้อยปีมานี้เครื่องแบบของสถาบันนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย จะมีเปลี่ยนก็คงเป็นตราสัญลักษณ์ตรงปกคอเสื้อของเขาที่ถูกปักว่าเป็นรูปดาวสามดวงเอาไว้ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่ามันหมายความว่ายังไงเช่นกัน
อีกสามวันจะเป็นวันเปิดเรียนวันแรกในตอนนี้อเดลไม่รู้จะทำอะไรดีเขาเลยเดินออกไปที่ตลาดพร้อมกับหาซื้อของที่ดูน่าสนใจ
อเดลเดินซื้อของมาเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ที่ร้านขายอาวุธร้านหนึ่งเขาเดินเข้าไปด้านในก็พบอาวุธมากมายเรียงรายกันอยู่ก่อนจะไปสะดุดตากับดาบสีดำเล่มหนึ่งที่ถูกตีขึ้นมาอย่างปราณีตเขาจ้องมองมันอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจซื้อมันมา
อเดลมาหยุดอยู่ที่สวนข้างห้องนอนของเขาพร้อมกับดาบสีดำที่อยู่ในมือ เขากำมันเบาๆก่อนจะเหวี่ยงไปมาเล็กน้อยความรู้สึกที่คุ้นเคยแล่นเข้ามาในร่างกายของเขา
อเดลยิ้มออกมาเบาๆก่อนจะคิดถึงอดีตที่น่าขำของตัวเอง
อดีตแกรนด์เมกัสผู้อยู่บนจุดสูงของนักเวทย์ทั้งหมดใครจะคิดเล่าว่าเขานั้นจะเกิดมาในตระกูลนักดาบที่เก่าแก่ อเดลนั้นเคยถูกผู้อาวุโสในตระกูลบอกว่าเขานั้นเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในรอบร้อยปี แต่อเดลนั้นเป็นที่ขี้เกียจอย่างมากเขานั้นไม่เคยฝึกดาบอย่างจริงจังเลยสักครั้ง
แต่ถึงอย่างงั้นเขาก็ยังถูกถ่ายทอดวิชาดาบของตระกูลมาจากปู่ของเขา แต่สิ่งที่ทำให้อเดลแปรเปลี่ยนจากคนขี้เกียจมาสนใจเวทมนต์อย่างจริงจังนั้นคือตอนที่เขาอายุสิบสอง ในตอนนั้นเขาถูกมอนสเตอร์โจมตีและเกือบเอาชีวิตไม่รอดและได้มีจอมเวทย์คนหนึ่งมาช่วยเขาไว้
หลังจากนั้นอเดลก็หลงใหลในเวทมนต์และพุ่งเป้าฝึกฝนมันอย่างจริงจังทันที แต่น่าเศร้าที่ตระกูลของเขานั้นไม่ค่อยยอมรับเรื่องที่เขาฝึกเวทมนต์สักเท่าไหร่ เขาจึงได้แต่แอบฝึกฝนเวทมนต์พร้อมกับที่เรียนวิชาดาบไปพร้อมกัน
จนเมื่ออเดลอายุสิบห้าหลังจากที่เขาเรียนรู้ทุกอย่างจากปู่ของเขาแล้วเขาก็หนีออกจากบ้านพร้อมกับทิ้งภาระทุกอย่างให้กับพี่ชายของเขาทันทีซึ่งพี่ชายของเขาก็เข้าใจทั้งไม่ห้ามและยังช่วยเขาหนีอีกต่างหาก
หลังจากหนีออกมาจากบ้านเขาก็หันหน้าเข้าหาเวทมนต์อย่างเต็มตัวและลืมเรื่องวิชาดาบของเขาไปเสียสนิทจะมีบางครั้งที่เขาจะหยิบมาใช้เพราะเป็นไพ่ลับในการต่อสู้แต่ก็ไม่ได้ใช้บ่อยอะไรขนาดนั้น
หลังจากระลึกความหลังเล็กน้อยอเดลก็มาหยุดอยู่หน้าต้นไม้ต้นหนึ่งพร้อมหลับตาลงก่อนจะกระชับดาบในมือของเขาก่อนที่บรรยากาศของกายของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
สายลมพัดผ่านร่างกายของอเดลอย่างแผ่วเบา ใบไม้ที่ร่วงลงจากต้นไม้ตามแรงลมอเดลลืมตาขึ้นอย่างช้าๆก่อนจะสะบัดมือของเขาเบาๆ แต่ในขณะที่แขนของเขากำลังขยับอยู่กลางอากาศนั้น พริบตาเดียวแขนของเขาก็ได้หายไป
พรึบ !!
คลืนนนน ตึงงงง
ต้นไม้ตรงหน้าของอเดลถูกฟันกลายเป็นสองส่วน อเดลจ้องมองต้นไม้ตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่าก่อนจะมองไปที่มือของตัวเองพร้อมกับดาบสีดำที่บิดเบี้ยวจนแทบไม่มีชิ้นดี หากใครมาเห็นดาบของเขาคงคิดว่ามันคงผ่านการใช้งานมาอย่างหนักแต่แท้จริงแล้วมันเกิดจากการเหวี่ยงดาบเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
อเดลเดินเข้าไปดูรอยตัดที่ต้นไม้ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยเหมือนไม่พอใจอะไรบางอย่าง
ก่อนที่เขาจะโยนดาบที่บิดเบี้ยวทิ้งลงกับพื้นและเดินกลับไปที่ห้อง ในวินาทีที่อเดลเดินจากไปก็ได้มีสายตาทั้งคู่หนึ่งกำลังจ้องมองมายังจุดที่เขายืนอยู่ด้วยสายที่สั่นกลัว
เมื่อเขาเดินออกมาจากมุมหนึ่งของต้นไม้พร้อมกับจ้องมองมายังรอยที่ถูกตัดของต้นไม้ก่อนจะพูดบางอย่างออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกลัว
''มะ... ไม่คิดจริงๆว่าจะได้มาเจอมันที่นี้เพลงดาบที่หายสาบสูญไปกว่าห้าร้อยปี เพลงดาบมายา''
เมื่อเขาพูดจบเขาก็จ้องมองไปที่ดาบสีดำที่รูปทรงบิดเบี้ยวที่อยู่บนพื้น