CF:บทที่ 13 ในราคาที่สูง
CF:บทที่ 13 ในราคาที่สูง
ที่ประตูร้านเครื่องประดับ พี่หลี และเสี่ยวเหมยยืนอยู่ข้างประตูทั้งสองฝั่ง จ้องลูกค้าทุกคนที่เดินเข้ามา
เมื่ออู๋ ฮ่าวเหรินเดินเข้ามาในร้านด้วยเสื้อหนังย่นๆและกระเป๋าโทรมๆบนหลังของเขา พวกเธอก็ต้อนรับพร้อมรอยยิ้ม
เทียบกับท่าทีเมื่อวานแล้วมันพลิกไป 720 องศาเลย อู๋ ฮ่าวเหรินไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ
“สวัสดีค่ะท่าน ท่านประธานของบริษัทเรากำลังรอท่านอยู่ที่ชั้นบน เชิญทางนี้เลยค่ะ”
พี่หลีหงุดหงิดเล็กน้อยในตอนนี้ ตราบเท่าที่เธอจะทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปได้ งานของเธอคือการพาแขกพร้อมกับหยกราคาสูงไปที่ชั้นบน และงานของเธอในวันนี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้น
แม้ว่าเธอจะไม่ได้ความดีความชอบสำหรับการหาคนเมื่อวาน แต่เธอก็ยังสามารถพาบริษัทของเธอไปสู่ระดับที่สูงขึ้น
“เข้ามาๆ จะรออะไรอีกล่ะ? ผมจะบอกให้ว่าพวกนั้นไม่ได้ใจดีหรอก โชคดีที่ผมรอบคอบและให้ผู้ช่วยฉันเฝ้าดูข้างนอกไว้”
“ผู้จัดการหลิว คุณเชิญเรามาแล้วบอกว่าการแข่งขันที่เป็นแบบนี้มันยุติธรรม และมีคุณธรรมอย่างงั้นรึ?”
ผู้จัดการหลิวมองคนพวกนี้แล้วคิดว่า “ฉันมีคุณธรรมมากกว่าพวกแกล่ะกัน”
พวกแกมาที่นี่เพื่อที่จะซื้อหยกที่ลูกค้าของเรากำลังจะขายให้เรา ทำไมไม่พูดถึงเรื่อศีลธรรมล่ะ? แล้วศีลธรรมเนี่ยมันเอาไปซื้อของแทนเงินในห้างได้ไหม?
เขาคิดเช่นนั้น ก่อนจะพูดว่า “ผมอยากจะเชิญแขกไปที่ห้องประชุมข้างบน มันเงียบสงบและไม่รบกวนลูกค้าที่อยู่ข้างล่าง”
เขาไม่กล้าจะขัดใจใคร ยังไงหลังคนพวกนี้ก็คือบริษัทเพชรพลอยทั้งนั้น
“ถึงคุณจะไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด แต่สำหรับคนของเราจะสืบค้นปัญหานั้น ผมคิดว่าวันนี้บริษัทเราคงจะยุ่งน่าดู”
พี่หลีมองดูคนที่มา หน้าเสียเล็กน้อย รางวัลของเธอ ความดีความชอบของเธอ ด้วยการมาของคนพวกนี้มันก็ได้หายไปจนหมดสิ้น
ยิ่งกว่านั้นในการจะจัดการเรื่องนี้ ถึงจะไม่ประมาท แต่ตอนนี้สถานการณ์เช่นนี้ต้องทิ้งแผลใจไว้แน่นอน โดยเฉพาะครั้งนี้มันยังทำให้ประธานบริษัทต้องตกใจอีกด้วย
ก่อนที่อู๋ ฮ่าวเหรินจะคิดได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่ เขาก็เห็นว่าในหมู่คนที่เขาเดินผ่านไป มีผู้ชายที่คิ้วหน้า ตาโต ใส่สูทพุ่งออกมาจากฝูงชน
“สวัสดี ผมชื่อเกอ หมิงเฟย ผู้จัดการการซื้อของบริษัทพลอยเฮงหยวน นี่นามบัตรผม”
อู๋ ฮ่าวเหรินรับนามบัตรมา ก่อนที่เขาจะได้พูดตอบ ชายคนนั้นก็ถูกดันออกไป
แล้วก็เห็นผู้ชายตัวเล็กๆท่าทางตลกๆพูดขึ้นว่า “ผมเป็นผู้จัดการของบริษัทพลอยเบ๋าดี นี่นามบัตรผม”
“สวัสดี นี่คือบริษัทเหลคาโบ...”
...
ภายในสองนาทีอู๋ ฮ่าวเหรินมองดูปึกนามบัตรหนาๆในมือเขา เขาไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เขากลายเป็นคนโง่ไปเลย
เขาไม่คิดเลยว่าจะมีคนถูกดึงดูดด้วยเศษแตกๆที่ถูกทุบด้วยค้อนเยอะขนาดนี้
ก็หยกนั่นมาจากจุดที่เขาคิดว่ามันน่าเกลียดที่สุดแล้วก็ทุบมัน
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาเอาหยกทั้งก้อนออกมา?
ทันทีที่เขาคิดแบบนั้น เขาก็ไล่ความคิดพวกนั้นไปจากหัว ณ ตอนนี้มันจะไม่เป็นเพียงความรู้สึก แต่เป็นความโลภของคนๆหนึ่งแล้ว
หลังจากที่คนพวกนั้นได้ให้นามบัตรแก่อู๋ ฮ่าวเหรินแล้ว ในที่สุดผู้จัดการหลิวก็แทรกตัวผ่านฝูงชนมาได้
ตอนนี้ลูกค้าหลายคนรู้ตัวแล้วว่า ถ้าพวกเขาไม่รีบออกไปตอนนี้ล่ะก็พวกเขาคงถูกล้อมไว้แน่ๆ
“ที่นี่ไม่ใช่ที่คุย ถึงคุณจะอยากซื้อหยกนั่น ก็ต้องปล่อยให้ผมพาสุภาพบุรุษผู้นี้ไปที่ห้องประชุมข้างบนเพื่อคุยกัน!”
เขาเดินไปขึ้นบันได้โดยที่มีคนล้อมไว้ ฟังสิ่งที่คนพวกนั้นพูดแล้วเขาก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
การแข่งขัน!
การแข่งขันเป็นสิ่งที่ดี เพราะการแข่งขันจะทำให้หยกสามารถขายได้ในราคาที่สูง
มีคนล้อมเขาไว้ตลอดทางไปสู่ห้องประชุมข้างบน แล้วกลุ่มคนก็มองมาที่อู๋ ฮ่าวเหริน
ในฐานะที่เป็นเจ้าบ้านผู้จัดการหลิวพูดขึ้นว่า “ผมไม่รู้ว่าจะเรียกสุภาพบุรุษผู้นี้อย่างไรดี คุณพอจะบอกเราหน่อยได้ไหม”
“เอ่อ ผมชื่ออู๋ ฮ่าวเหริน พวกคุณมาที่นี่เพื่อหยกนี้สินะ”
พูดจบอู๋ ฮ่าวเหรินก็หยิบหยกที่ถูกทุบด้วยค้อนออกมาจากกระเป๋าบนหลัง
พอการกระทำของเห็นอู๋ ฮ่าวเหรินและหยกที่เขาหยิบออกมา มุมปากของผู้คนรอบๆเขาก็กระตุก
ถ้าหยกนี้เป็นหยกชิ้นเดียวกับที่อยู่ในวิดิโอนั่นแล้ว มันคือหยกมูลค่าชิ้นล่ะสิบล้าน!
ชายคนนี้เหมือนกับหินแตกๆซึ่งอยู่ในกระเป๋าโทรมๆ
ถ้าอู๋ ฮ่าวเหรินรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ เขาคงบอกไปแล้วว่าหยกนี่เป็นเหมือนแค่ก้อนหินในสายตาเขา
หลังจากหยกถูกนำออกมา พวกที่มาเพื่อจะวินิจฉัยหยกแต่ไม่ได้พูดอะไรตลอดเวลาที่ผ่านมา ทำเพียงแค่ผลักพวกผู้บริหารออกไป
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ถ้าผู้บริหารพวกนี้กล้าจะพูดอะไร มันก็เท่ากับว่าพวกเขากล้าจะเผยไพ่ในมือ
แม้ว่ากลุ่มที่มาล้อมเขาจะจบลงแล้ว แต่ไม่มีใครกล้าแตะโต๊ะด้วยมือของพวกเขา โต๊ะที่อู๋ ฮ่าวเหรินวางหยกไว้อย่างสบายๆ
พวกเขาเริ่มศึกษาหยกด้วยแว่นขยาย และไฟสปอร์ตไลท์ เพื่อที่จะกำหนดมูลค่าของมัน
ไม่กี่นาทีผ่านไป ในที่สุดนักประเมินราคาหยกก็พูดว่า “ฉันขอหยิบหยกนี่ขึ้นมาดูหน่อยได้ไหม?”
“ได้สิ คุณหยิบขึ้นมาได้ตามสบายเลย ตราบเท่าที่ไม่ทำมันแตกล่ะนะ” อู๋ ฮ่าวเหรินตอบอย่างไม่ใส่ใจ
ได้ยินที่อู๋ ฮ่าวเหรินพูดแล้ว พวกนักประเมินราคาหยกก็มีไฟในทันที และหยกก็ถูกส่งต่อในมือพวกเขาไปเรื่อยๆ
สิบนาทีต่อมา ในทั้งห้องประชุมมีเพียงอู๋ ฮ่าวเหรินผู้เป็นดั่งพระเจ้ากำลังนั่งดื่มชาอยู่ บนโต๊ะข้างๆเขามีชั้นผ้าสีแดงนุ่มๆและหยกวางอยู่บนนั้น
ยังไม่ทันจะดื่มชาหมดแก้ว ห้องก็เต็มไปด้วยผู้คนอีกครั้ง แต่คราวนี้สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่หยกที่วางอยู่บนผ้าแดง
“คุณอู๋ ผมไม่รู้ว่าคุณจะขายหยกนี้ในราคาเท่าไหร่?”
“เริ่มต้นที่ 10 ล้าน ประมูลกัน คนที่ให้ราคาสูงสุดจะได้ไป”
ก่อนที่คนพวกนี้จะมา อู๋ ฮ่าวเหรินได้คิดไว้แล้ว ตอนแรกเขาก็ไม่มั่นใจในมูลค่า เมื่อเขาเห็นสีหน้าของนักประเมินแล้ว เขาก็กำหนดราคาได้
ได้ยินอู๋ ฮ่าวเหรินกำหนดราคาเริ่มต้นที่ 10 ล้านหยวน กลุ่มคนก็ไม่ได้แสดงท่าทางตกใจอะไร แน่นอนว่าราคาแค่นี้ไม่ได้สูงอะไรในสายตาพวกเขา
“15 ล้าน เราต้องการมันให้บริษัทเฮงหยวน” เกอ หมิงเฟยร้องบอก
“งั้นไปที่ 18 ล้านล่ะกัน เราต้องการให้เบ๋าดี เกทับสิ” ชายตัวเล็กกล่าว
“งั้นก็เกทับนายเลย เราจะให้ 20 ล้านใครที่จะเกทับเราคงรู้ใช่มั้ยว่าราคามากกว่านี้คงไม่ทำกำไรเท่าไหร่แล้ว”
เกอ หมิงเฟยไม่สนใจคำพูดของเขาแล้วพูดออกมาว่า “22 ล้าน”
“25 ล้าน ถึงนายจะให้ราคาสูง ฉันก็ไม่ให้นายได้ไปหรอก” ชายตัวเล็กกล่าว
มีอีกกลุ่มที่ไม่พูดอะไรทำได้เพียงดูเท่านั้น เพราะบริษัทของพวกเขาไม่มีกำลังทรัพย์มากพอ พวกเขาทำอะไรกับการประมูลนี้ไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว
“26 ล้าน”
ได้ยินเกอ หมิงเฟยเกทับแล้ว ชายตัวเล็กต้องยอมอย่างช่วยไม่ได้ ราคา 25 ล้านนั้นเป็นราคาสูงสุดที่เขาสามารถให้ได้แล้ว
“ไม่มีใครให้มากกว่านี้แล้วสินะ งั้นหยกนี้ก็เป็นของบริษัทเฮงหยวน” เขาพูดและกำลังจะทำการแลกเปลี่ยนกับอู๋ ฮ่าวเหริน”
“ช้าก่อน”
-----------------------------