Re-new ตอนที่ 79 หัวหมู
ตอนที่ 79 หัวหมู
เสี่ยวเฉารู้สึกโล่งอก นางจึงพยักหน้าและยิ้ม “ข้ามิคิดเลยว่าท่านลุงผู้ดูแลก็ชอบกินด้วยเหมือนกัน จริง ๆ แล้วเต้าหู้เลือดของข้าทำมาจากเลือดไก่เจ้าค่ะ ใช้สูตรลับต้มขึ้นมา ถึงจะดูมิน่ากิน แต่ก็อร่อยมากนะเจ้าคะ”
“เลือดไก่ ? มิมีกลิ่นคาวเลือดเลย อีกทั้งยังนิ่มและลื่นอีกด้วย ยอดเยี่ยม ! ยอดเยี่ยมจริง ๆ !” ความเร็วในการกินของผู้ดูแลหลิวไม่ลดลงเลยทั้ง ๆ ที่กำลังพูดอยู่ เขาได้ยินว่าคนที่จินหลิงใช้เลือดเป็ดทำซุป แต่ไม่คิดว่าเลือดไก่ก็สามารถเอามากินได้ด้วย !
เมื่อหัวหน้าคนงานเห็นว่าผู้ดูแลหลิวกินเต้าหู้เลือดอย่างมีความสุขก็โล่งอก เขาหยิบเงิน 5 อีแปะส่งให้เสี่ยวเฉา “เอ้านี่ ! เงินที่เหลือข้าให้เป็นรางวัล วันหน้าเจ้าจะขายเต้าหู้เลือดที่ท่าเรืออีกหรือไม่ ?”
เสี่ยวเฉาก็ไม่ได้มีท่าทีพิธีรีตองมากเกินไปนัก นางยิ้มพร้อมกับรับเงินมาและเอ่ยว่า “วันหน้าข้าก็จะมาขายอาหารจานเนื้อราคา 1 อีแปะกับน้องอีกเจ้าค่ะ แต่อาจจะมิได้ขายเต้าหู้เลือด แต่ท่านหัวหน้ามิต้องห่วง อาหารจานเนื้อของข้าก็อร่อยมิแพ้เต้าหูเลือดเป็นแน่”
“เสี่ยวเฉา ป้าใหญ่บอกลุงว่าเจ้ามาขายของที่นี่ ลุงเลยมาตามหาเจ้า” หลิวเป่ย ลุงใหญ่ของเสี่ยวเฉาก้าวยาว ๆ เข้ามาหานาง เขาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงว่า “กินมื้อเช้าแล้วรึ ? วันนี้ลุงใหญ่ได้งานเลยมาชวนเจ้ากับฉีโตวไปกินหมั่นโถวขาวด้วยกัน”
“ท่านลุงใหญ่ พวกเรากินข้าวเช้ากันก่อนจะมาที่นี่แล้วเจ้าค่ะ ท่านลุงยังมิได้กินใช่หรือไม่ ? ข้ายังมีอาหารตุ๋นอีกครึ่งห่อ ท่านลุงเอาไปกินกับแผ่นแป้งสิเจ้าคะ” เสี่ยวเฉารู้ว่าเมื่อใดก็ตามที่ป้าใหญ่มาขายอาหารที่นี่ นางจะเอาอาหารมาให้ลุงใหญ่ด้วยเสมอ ดังนั้นนางจึงยัดอาหารตุ๋นที่เหลือจากที่ให้เหล่าคนงานลองชิมใส่มือของหลิวเป่ยทันที
“นี่เป็นอาหารที่เจ้าเอามาขายรึ ? หอมมากเลยนี่ ลุงกินแค่แผ่นแป้งกับผักดองได้ เหตุใดเจ้ามิขายอันที่เหลือนี่เล่า ?” พอหลิวเป่ยได้กลิ่นหอมน่ากินของมัน เขาก็แอบกลืนน้ำลาย แต่เขาไม่อยากเอาเปรียบหลานตนเอง
เสี่ยวเฉาไม่รับห่ออาหารคืนมา นางขยิบตาให้ลุงใหญ่แทน “วันนี้ข้าขายดีมากเจ้าค่ะ อาหารตุ๋นที่ข้าเตรียมมาถูกขายไปจนหมดแล้ว ส่วนที่เหลือครึ่งห่อนี่ท่านลุงจะให้ข้าขายได้เยี่ยงไร ? ใช่ว่าจะหั่นเหรียญอีแปะเป็นครึ่งหนึ่งได้นี่เจ้าคะ ท่านลุงใหญ่ไปทำธุระของท่านลุงเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะไปเดินดูของที่ตลาดเสียหน่อย...”
พูดจบนางก็ดึงมือของน้องชายวิ่งออกไป
เมื่อหัวหน้าคนงานเห็นเหตุการณ์นี้เขาจึงหัวเราะออกมาเสียงดัง “น้องหลิว นั่นหลานของเจ้ารึ ! อาหารที่นางขายราคา 1 อีแปะนั่นอร่อยดีนะ ขนาดผู้ดูแลหลิวจากเมืองหลวงยังเอ่ยชมว่าอร่อย ถ้าเจ้ามิอยากกินก็ขายให้ข้าได้นะ”
อาหารตุ๋นทั้งหมดที่เขาซื้อมาเมื่อกี้ลงไปอยู่ในท้องของผู้ดูแลหลิวหมดแล้ว เขาได้กัดเต้าหู้เลือดไปเพียงแค่ 2 คำเท่านั้นเอง ตอนนี้เขาก็เลยโหยหามันมากทีเดียว
“หัวหน้าซุนเอ่ยอะไรเช่นนั้น ? ถ้าหากท่านชอบก็เอาไปเลยขอรับ จะพูดเรื่องซื้อขายกันทำไม ?” พวกเขาต้องได้รับการตรวจสอบจากหัวหน้าคนงานซุนก่อนถึงจะได้งานที่ท่าเรือ ถ้าพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับหัวหน้าซุน พวกเขาก็จะได้งานง่ายขึ้นในอนาคต
หัวหน้าคนงานซุนพอใจมากที่หลิวเป่ยเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง เขากินอาหารตุ๋นแสนอร่อยนั่นแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เมื่อสองสามวันก่อนมีหลานมาด้วยมิใช่รึ ? วันนี้มาหรือไม่ ? เด็กนั่นดูตัวสูงแข็งแรงดีนะ ดูเหมือนจะแรงเยอะดีอีกด้วย ถ้าเขากินข้าวเสร็จแล้วก็พาเขามาช่วยขนของด้วยสิ...”
คนที่หัวหน้าคนงานพูดถึงก็คือหลิวจื้อเหว่ยลูกชายของบ้านสองตระกูลหลิว ด้วยความที่อายุของเขายังน้อย หัวหน้าคนงานจึงไม่อยากจ้างเขา
เป็นที่รู้กันทั่วไปอยู่แล้วว่าคนงานจะได้ค่าจ้าง 20 - 30 อีแปะต่อวันจากการขนสินค้าที่ท่าเรือ เมื่อหลิวเป่ยได้ยินสิ่งที่หัวหน้าคนงานซุนพูด เขาก็ดีใจมากและกล่าวซ้ำ ๆ ว่า “ขอบคุณหัวหน้าซุน ! วันนี้หลานของข้าก็มาขอรับ มิต้องห่วงเด็กนั่นคุ้นเคยกับการใช้แรงงาน เขาเป็นคนซื่อสัตย์เป็นอย่างมาก เขาจะมิทำให้หัวหน้าซุนผิดหวังอย่างแน่นอนขอรับ !”
“จะขอบคุณทำไมกัน ? คราหน้าก็ให้หลานสาวของเจ้าเก็บเนื้อเอาไว้ 1 ห่อทุกวันด้วย กินนิดเดียวแค่นี้ไม่หายอยากเลยจริง ๆ มิต้องห่วง ข้าจ่ายให้คุ้มราคาอยู่แล้ว !” ผู้ดูแลหลิวกินจนอิ่มแล้วก็จากไป ตอนนี้หัวหน้าซุนกำลังกินและดื่มอย่างมีความสุข เขาพอใจกับอาหารเป็นอย่างมาก
ท่าเรือถังกู่มีตลาดขนาดกลางอยู่ ทุกวันที่ 3, 6, 9 และ 15 ของเดือนรวมถึงวันปีใหม่ ผู้คนจากหมู่บ้านใกล้เคียงจะมาขายสินค้าของตนเองหรือซื้อสินค้าที่พวกเขาต้องการ
แม้จะเรียกว่าตลาด แต่ก็รู้สึกเหมือนเป็นถนนคนเดินมากกว่าตลาด ทั้งสองด้านของตลาดมีบ้านเตี้ย ๆ ที่ทำจากหญ้า บางที่ก็จะมีบ้านอิฐที่ดูสะดุดตา แต่ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่ทำจากหญ้าหรืออิฐ มันจะเปิดก็ตอนที่ตลาดเปิดเท่านั้น โดยปกติแล้วประตูบ้านพวกนั้นจะปิดอย่างแน่นหนา
วันนี้เป็นวันที่ 16 เดือน 2 และเป็นวันเปิดตลาด ถึงตลาดจะเล็กแต่ก็ยังมีผู้คนอยู่ไม่น้อย สองข้างทางถูกแปรเปลี่ยนเป็นตลอดผักขนาดย่อม
บางคนแบกหัวไชเท้ากับผักกาดขาวแช่แข็งมาขาย ส่วนคนอื่น ๆ ก็แบกไก่, เป็ด และไข่ที่พวกเขาเลี้ยงไว้มาขาย มีพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวันอีกด้วย ทุกคนพยายามเรียกลูกค้ากันอย่างเต็มที่ เสียงคนขายของ, ต่อรองราคา และเสียงซุบซิบนินทาดังสอดประสานกันทำให้ดูคึกคักและมีชีวิตชีวายิ่งนัก เสี่ยวเฉาจูงมือน้องชายเดินฝ่าฝูงชน บางคราพวกเขาก็เซไปมาเพราะถูกผู้คนเบียด
“เสี่ยวเฉา ? ฉีโตว ? มาที่นี่กันเองรึ ? หรือว่าที่บ้านมิมีอาหารกิน ?” ช่างบังเอิญอะไรขนาดนี้ พวกเขาเดินมาได้ไม่ทันไรก็เจอเข้ากับคนคุ้นเคยเข้าเสียแล้ว คนที่กล่าวทักก็คือปู่ของเสี่ยวเฉา และที่เดินตามอยู่ด้านหลังก็คือลุงของนาง หยูต้าชาน ที่กำลังแบกตะกร้าปลาอยู่
แม้ว่าเสี่ยวเฉาจะไม่พอใจปู่และลุงของนาง แต่นางก็ไม่ได้มีความแค้นอะไรกับพวกเขา เด็กหญิงจึงยิ้มบาง ๆ ให้และตอบว่า “มิใช่เจ้าค่ะ ฉีโตวกับข้าแค่มาเดินดูเฉย ๆ”
เฒ่าหยูมองหลานชายหลานสาวที่ดูหมางเมินกับเขาแล้วคิดถึงลูกชายคนรองที่ออกจากบ้านไปแบบไม่มีอะไรติดตัว ถ้าไม่ใช่เพราะญาติทางสะใภ้รองที่ส่งเงินมาให้ลูกของเขากับพวกชาวบ้านที่ช่วยเหลือเขา พวกเขาก็คงไม่มีบ้านอยู่ในวันที่หนาวเย็นเช่นนี้ พอเขาคิดแล้วก็อดรู้สึกผิดขึ้นไม่ได้
คิดแล้วเขาก็หันไปคว้าตะกร้าปลาจากต้าชานแล้วเทปลาเหลืองขนาดเล็ก 10 ตัวที่ขายไม่ออกลงในตะกร้าของเสี่ยวเฉา เฒ่าหยูใช้มือที่มีกลิ่นคาวปลาลูบหัวฉีโตวแล้วเอ่ยว่า “เอาปลากลับไปกินที่บ้านนะ...มีเงินติดตัวกันหรือไม่ ? ถ้ามิมีปู่จะซื้อของที่เจ้าอยากได้ให้”
หยูต้าชานขยับปากขณะที่มองพ่อของเขา แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา หลายวันมานี้เมื่อไม่มีหยูไห่ผู้เชี่ยวชาญในการจับปลา พวกเขาก็จับปลาได้น้อยลงเรื่อย ๆ อีกทั้งชนิดของปลาที่จับได้ก็น้อยลงเช่นกัน พวกเขาเสียลูกค้าประจำในเมืองไปสองสามรายแล้ว ตอนนี้การค้าของพวกเขาเลวร้ายลงเรื่อย ๆ แล้ว
ทุกครั้งที่พวกเขาเอาเงินกลับบ้าน นางจางจะบ่นว่าน้อยเกินไปและไม่พอค่าใช้จ่ายในครอบครัว เงินที่พวกเขาได้จากการขายปลาวันนี้เป็นจำนวนเงินที่ต่ำที่สุดที่เคยได้มา ถ้าพวกเขายังซื้อของให้เด็ก ๆ อีก เขากลัวว่าพอกลับถึงบ้าน คงจะโดนนางจางก่นด่าเสียยืดยาวไม่จบไม่สิ้นเป็นแน่ !
เมื่อเขาเห็นเสี่ยวเฉาส่ายหน้าและเอ่ยว่า “มิต้องหรอกเจ้าค่ะท่านปู่ พวกเราเอาเงินมาด้วย” เขาก็รู้สึกโล่งอก ที่บ้านแม่ของเขาเอาแต่บ่นเรื่องเงิน ส่วนภรรยาของเขาก็พูดมากเกินไป ทั้งหมดนี้ทำให้เขารู้สึกรำคาญมากยิ่งนัก
หลังจากกล่าวลาปู่แล้ว เสี่ยวเฉาก็เดินต่อไป ทันใดนั้นนางก็เห็นร้านขายเนื้อหมูเข้า นางจึงดึงฉีโตวเดินเข้าไป คนขายเนื้อผิวดำร่างอ้วนและมีเคราหยาบ ๆ พันกันยุ่งเหยิง ดวงตาใหญ่เป็นพิเศษทำให้เวลาที่เขามองใครจะดูเหมือนว่าเขากำลังถลึงตาจ้องอยู่ จึงดูน่ากลัวพอสมควร
แต่คนที่รู้จักเขาทุกคนจะรู้ว่าคนขายเนื้อหวังเป็นคนดี เวลาที่เขาขายเนื้อ เขาไม่เคยลดปริมาณหรือแอบเปลี่ยนเนื้อของลูกค้าเลยสักครั้งและยังแถมให้ลูกค้าประจำของเขานิด ๆ หน่อย ๆ อยู่ตลอดอีกด้วย ชื่อเสียงของเขาจึงค่อนข้างดีในแถบหมู่บ้านใกล้เคียง
“แม่หนูน้อย เจ้าสนใจจะซื้อเนื้อรึ ?” คนขายเนื้อหวังรู้ว่าหน้าตาของเขามักจะทำให้เด็กกลัวและร้องไห้อยู่บ่อย ๆ ดังนั้นเมื่อเห็นสองพี่น้องเขาจึงรีบยิ้มอย่างที่เขาคิดว่าเป็นยิ้มใจดีให้กับเด็ก ๆ อีกทั้งยังทำเสียงนุ่มเรียกพวกเขาอีกด้วย แต่เขาไม่รู้ตัวว่าสีหน้าเช่นนี้ยิ่งทำให้เขาดูน่ากลัวมากขึ้นไปอีก
ฉีโตวกลัวจนหนีไปหลบอยู่ด้านหลังพี่สาว แต่พอคิดได้เขาก็ก้าวออกมายืนอยู่ข้างหน้าพี่สาวของเขา เขาคุยโวที่บ้านไว้ว่าจะปกป้องพี่สาวของเขาให้ดี แต่ดูจากหมัดที่กำแน่น ตัวสั่น หน้าแดง ก็เห็นได้ชัดว่าเขากำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้ว
เมื่อคนขายเนื้อหวังเห็นว่ายิ้มของเขาให้ผลตรงกันข้าม เขาก็เกาหัวอย่างเก้อ ๆ แต่ก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยปากชมฉีโตว “เจ้าหนูกล้าหาญดีนี่นา รู้จักปกป้องพี่สาวด้วย เป็นลูกผู้ชายต้องคอยปกป้องผู้หญิง เจ้าทำถูกต้องแล้ว !”
ดูจากท่าทางและน้ำเสียงของเขาแล้ว เสี่ยวเฉาก็บอกได้ว่าชายคนนี้เป็นเจ้าทึ่มที่หน้าโหดแต่ใจดี นางจับบ่าน้องชายแล้วขยี้หัวเขา แล้วเอ่ยยิ้ม ๆ ว่า “ท่านลุงชม เหตุใดถึงยังมิรีบขอบคุณอีก ?”
ฉีโตวก้มหัวแบบอาย ๆ แล้วตอบว่า “ขอบคุณขอรับ...”
“เด็กดี เด็กดีจริง ๆ...เจ้าอยากได้อะไรล่ะ ? ประเดี๋ยวลุงลดให้” คนขายเนื้อหวังหัวเราะเสียงดัง เสียงของเขาดังราวกับเสียงฟ้าผ่า
หยูเสี่ยวเฉามองเนื้อในร้าน นางเห็นว่ามีเนื้อส่วนขาขนาดกลาง ๆ ไม่อ้วนไม่ผอมเหลืออยู่ไม่ถึง 2 ชั่ง และยังมีมันหมู, กระดูกหมูไม่กี่ชิ้น และหัวหมูขนาดใหญ่ 1 หัว
สายตาของเสี่ยวเฉาจึงสะดุดอยู่ที่หัวหมูทันที นางเอ่ยถามว่า “คุณลุงเจ้าคะ หัวหมูนี้ขายเยี่ยงไร ? แล้วมีตับหมู, หัวใจหมู, กระเพาะหมู กับไส้หมูขายด้วยหรือไม่เจ้าคะ ?”
ในยุคนี้หัวหมูเกือบทั้งหมดจะถูกใช้เป็นเครื่องเซ่นต่อเทพเจ้า มีเพียงไม่กี่ครอบครัวเท่านั้นที่จะกินหัวหมู เหตุผลหลักที่คนไม่กินหัวหมูก็เพราะพวกเขาไม่ชอบรสชาติของมัน ถ้าทำออกมาได้ไม่ดี น้ำมัน, เกลือ, ฟืน และธัญพืชที่พวกเขาใช้ไปกับหัวหมูก็จะเสียเปล่า
แต่เนื่องจากวันตรุษจีนผ่านไปแล้วจึงไม่มีใครสนใจหัวหมูอีกเลย หลังจากได้ยินคำถามของนาง คนขายเนื้อจึงเอ่ยถามอย่างหวังดีว่า “แม่หนูน้อย เหตุใดครอบครัวของเจ้าถึงอยากได้หัวหมูล่ะ ? คิดจะเอามันไปทำอันใดรึ ? หัวหมูมิอร่อยหรอกนะ เหตุใดมิซื้อกระดูกหมูไปทำซุปล่ะ ? ลุงขายราคาถูก ๆ ให้ได้นะ ส่วนตับหมูกับหัวใจหมูถูกขายไปหมดแล้วล่ะ กระเพาะหมูกับไส้หมูเหม็น ๆ สกปรก ไม่โยนทิ้งก็เอาให้หมากิน ครอบครัวเจ้าเลี้ยงหมาด้วยรึ ?”
อย่างที่คาดเอาไว้...คนในยุคนี้ไม่มีวิธีทำความสะอาดอวัยวะภายในที่เหม็นและสกปรกของสัตว์ และเพราะไม่มีวิธีทำความสะอาด พวกเขาจึงไม่กล้ากินมัน แต่กระเพาะหมูกับไส้หมูเอามาตุ๋นแล้วอร่อยมากเลยนะ อีกทั้งหัวหมูตุ๋นก็เป็นหนึ่งในอาหารที่ขายดีที่สุดในร้านของนางเมื่อชาติก่อนด้วย !
“ข้าก็มิรู้เช่นกันว่าจะเอาไปทำอะไร ท่านพ่อของข้าบอกให้มาซื้อน่ะเจ้าค่ะ หัวหมูราคาต่อชั่งเท่าไหร่รึเจ้าคะ ? ขอกระเพาะหมูกับไส้หมูทั้งหมดด้วยนะเจ้าคะ...” เสี่ยวเฉาชี้ไปที่หัวหมูพร้อมกับยิ้มและขอให้เขาขายมันให้กับนาง
คนขายเนื้อพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “มิต้องชั่งหรอก ปกติหัวหมูจะขายหลังจากคนซื้อคนขายตกลงกันได้ ราคาปกติจะอยู่ที่ 8 อีแปะ แต่ตอนนี้มิใช่ช่วงเทศกาล ลุงจะขายให้เจ้า 6 อีแปะก็แล้วกัน วันนี้กระเพาะหมูกับไส้หมูมิได้โยนทิ้ง ถ้าเจ้าอยากได้ลุงก็แถมให้ไปเลย”
ไอหยา ! หัวหมูปกติจะหนักประมาณ 7 - 8 ชั่ง แต่ขายแค่ 6 อีแปะ ! ถูกมาก ! อีกทั้งยังได้กระเพาะกับไส้ฟรีอีกด้วย ! หยูเสี่ยวเฉารู้สึกว่ามาเดินเที่ยวครานี้คุ้มค่ายิ่งนัก
เมื่อคิดถึงธุรกิจระยะยาวของนาง เสี่ยวเฉาก็ถามขึ้นทันทีว่า “ท่านลุงเจ้าคะ มีเนื้อเหลืออยู่ในร้านไม่มากเช่นนี้แสดงว่าการค้าของท่านลุงต้องดีมากเป็นแน่ ท่านลุงฆ่าหมูบ่อยแค่ไหนรึเจ้าคะ ?”
คนขายเนื้อหวังหัวเราะเสียงดังและตอบอย่างภูมิใจว่า “ต้องขอบคุณพวกชาวบ้าน ร้านเนื้อของลุงขายดีเลยล่ะ ข้าจะฆ่าหมู 1 ตัวเกือบทุกครั้งที่ตลาดเปิด ส่วนตอนอื่น ๆ ข้าก็จะยุ่งกับการจับหมูในหมู่บ้านน่ะ”