Re-new ตอนที่ 76 เหลือเชื่อ!
ตอนที่ 76 เหลือเชื่อ !
นางหลิวพบว่าความเร็วในการถอนขนของลูกสาวนางไม่ได้ช้าไปกว่านางเลย ความจริงแล้วนางประหลาดใจเสียด้วยซ้ำ ลูกสาวของนางถอนขนได้เกลี้ยงสะอาดกว่านางเสียอีก
เสี่ยวเฉาต้องเก่งเรื่องนี้อยู่แล้ว ก็ดูสิ่งที่นางทำเมื่อชาติที่แล้วสิ ร้านอาหารตุ๋นของนางมีเมนูไก่ด้วย ทุกวันนางจะต้องฆ่าไก่ประมาณ 30 - 40 ตัว ถ้านางไม่คล่องแคล่วนั่นสิถึงจะแปลก
เสี่ยวเฉามองไปรอบ ๆ ห้องแล้วยิ้ม “ข้ามิต้องการเงินหรอกเจ้าค่ะ ท่านป้าโจว แค่เอาเครื่องในไก่จากไก่ 40 ตัวนี้ให้ข้าก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
“จะเอาเครื่องในไก่ไปทำอะไรรึ ? เจ้าคงมิเอากลับไปกินจริง ๆ หรอกใช่หรือไม่ ?...เฉาเอ้อร์ แม่รู้ว่าสถานการณ์ที่บ้านเราแย่เอาเสียมาก ๆ แล้วพวกเราก็มิได้กินเนื้อกันแทบทั้งปี แต่เราก็กินของสกปรกพวกนี้มิได้หรอก ! เอาเยี่ยงนี้ หากคราหน้าที่แม่ไปขายงานเย็บผ้าของแม่ แม่จะซื้อเนื้อมาให้เจ้า 1 ชั่งเลย...” รอยยิ้มบนใบหน้าของนางหลิวค่อย ๆ หม่นลง ดวงตาทอแววละอายใจและรู้สึกผิดออกมา
“ท่านแม่ มิต้องกังวลไปหรอกเจ้าค่ะ ข้ามีวิธีทำความสะอาดเครื่องในไก่พวกนี้จริง ๆ” เสี่ยวเฉารู้สึกแปลกใจและตกใจเป็นอย่างมาก ก็ในหนังสือกล่าวกันว่าคนในยุคโบราณกินพวกเครื่องในด้วยมิใช่รึ ? หรือมันเป็นเพียงแค่ข่าวลือผิด ๆ เยี่ยงนั้นรึ ?
นางฟางยิ้มและพยายามแก้ไขสถานการณ์ “พอเด็ก ๆ โตขึ้น พวกเขาก็เริ่มมีความคิดเป็นของตนเอง น้องมู่หยุนปล่อยให้นางลองเถอะ เสี่ยวเฉาป้าให้เลือดไก่กับเครื่องในไก่เจ้าทั้งหมดเลย ! แล้วป้าจะให้เงินที่เจ้ามาช่วยป้าอีกด้วย”
เสี่ยวเฉาส่ายหน้าและตอบกลับไปว่า “ท่านป้าโจวเจ้าคะ ข้ารับเงินจากท่านป้ามิได้จริง ๆ ตอนที่เราย้ายเข้ามาและจัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นบ้านใหม่ ท่านป้ากับท่านพี่หลิงหลงก็มาช่วยเราทั้งวันจนมิได้พักกินมื้อกลางวันเลยด้วยซ้ำ ข้าแค่ช่วยนิด ๆ หน่อย ๆ ถ้าหากข้ายังรับเงินจากท่านป้าอีกเยี่ยงนั้นมันจะมิเกินไปหน่อยรึเจ้าคะ ญาติไกลมิสู้เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ เพื่อนบ้านกันช่วยเหลือกันก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วนี่เจ้าคะ”
นางหลิวเห็นด้วย “เฉาเอ้อร์กล่าวถูกแล้ว ถ้ายังเอ่ยถึงเรื่องเงินกับพวกเราอีก ข้าจะกลับบ้าน... !”
เมื่อเห็นว่าสองแม่ลูกยืนกรานปฏิเสธ นางฟางก็ไม่ได้เอ่ยเรื่องจะจ่ายเงินให้พวกเขาอีก ผู้ใหญ่ 2 คนกับเด็ก 3 คนใช้เวลาฆ่าไก่และทำความสะอาดไก่เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น ความเร็วและความสามารถของหยูเสี่ยวเฉานั้นดีกว่าแม่ของนางเสียอีกและถึงกับสามารถเปรียบเทียบกับผู้มีประสบการณ์อย่างนางฟางได้อีกด้วย นางฟางชมนางไม่หยุดเลยทีเดียว...
หลังจากนั้นนางฟางก็เข้าไปในห้องและเอาขนมที่ซื้อในเมืองเมื่อเช้าออกมา นางยัดใส่มือเสี่ยวเฉาแล้วยืนกรานให้เอากลับบ้านไปด้วย ครอบครัวโจวขายไก่กับไข่ ตอนนอกฤดูเพาะปลูก สามีของนางจะเร่ขายของ พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวในหมู่บ้านที่สามารถซื้อขนมมาให้ลูก ๆ กินได้เป็นครั้งคราว
นางหลิวถืออ่างไม้ที่ใส่เครื่องในไก่จนเต็ม นางมองดูลูกสาวถือถังเลือดไก่และขนมด้วยมือทั้งสองข้างอย่างพะรุงพะรังแล้วขมวดคิ้วพร้อมกับเอ่ยว่า “เจ้ารู้วิธีทำเลือดไก่จริง ๆ รึ ? อย่าได้เอ่ยออกมาเสียใหญ่โตแล้วทำมิได้นะ เยี่ยงนั้นท่านป้าโจวกับลูกสาวของเขาได้หัวเราะเยาะเอาเป็นแน่ !”
“ท่านแม่ เลิกกังวลเถิดเจ้าค่ะ ข้าเคยเอ่ยแล้วทำมิได้ด้วยเยี่ยงนั้นรึ ?” เสี่ยวเฉาถือเลือดไก่ด้วยมือข้างเดียวอย่างลำบาก นางจึงเอาเชือกที่ผูกห่อขนมคาบไว้ในปาก แล้วเอามือข้างที่ว่างมาช่วยยกถังเลือด จากนั้นก็ก้าวต่อไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อถึงบ้านเสี่ยวเหลียนก็ทำอาหารเสร็จแล้วและกำลังรอพวกเขาอยู่ เสี่ยวเฉาแกว่งถังในมืออย่างภูมิใจแล้วยิ้มออกมา “อย่าเพิ่งยกอาหารออกมา ประเดี๋ยวให้ข้าทำของอร่อยเพิ่มก่อน”
“นั่นคือสิ่งใดรึพี่สาม ?” ฉีโตวลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้ววิ่งเข้ามาหานาง เมื่อเห็นของในถังเขาก็ขมวดคิ้วอย่างผิดหวังแล้วเอ่ยว่า “เลือดไก่นี่ ! พี่สาม ท่านพี่คงมิได้กำลังจะบอกว่าไอ้นี่คือของอร่อยใช่หรือไม่ ?”
“ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าเยี่ยงไรกัน ? มิเชื่อใจข้างั้นรึ ? เยี่ยงนั้นพอข้าทำเสร็จก็อย่ากินก็แล้วกัน !” เสี่ยวเฉามองเขาแล้วแกล้งทำเป็นไม่พอใจ
ฉีโตวนึกถึงฝีมือทำอาหารที่ไม่ธรรมดาของพี่สาวแล้วจึงรีบกลับลำขอโทษทันที “พี่สาม ข้าผิดไปแล้ว อาหารทุกอย่างที่ท่านพี่ทำมันรสชาติยอดเยี่ยมทุกอย่างเลย ข้าเป็นแค่เด็กน้อยโง่ ๆ เท่านั้น พี่สามอย่าได้ลดตัวลงมา...”
“ไป ๆ ! ไปซื้อเต้าหู้จากเอ้อร์โก่วมา 1 อีแปะ” เสี่ยวเฉาไล่เขาออกไปอย่างร่าเริงแล้วเข้าไปในครัวพร้อมกับถังเลือดไก่
เสี่ยวเหลียนตามเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “ให้ข้าช่วยเจ้าเถอะ ! อยากให้ข้าทำอันใดก็กล่าวมาได้เลย...”
“ต้มน้ำในหม้อ ข้าต้องลวกเลือดไก่”
เลือดในถังเริ่มแข็งตัวแล้ว เสี่ยวเฉาใช้มีดตัดแบ่งเป็นเหมือน ‘ก้อนเต้าหู้’ แล้วหยิบขึ้นมาหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงไปในน้ำร้อนรอจนเปลี่ยนสีแล้วตักขึ้นมา
นางกำลังจะทำ ‘เลือดไก่เผ็ดเปรี้ยว’ แต่ครอบครัวของนางมิมีพริกดอง นางจึงใช้ผักดองที่ยายส่งมาให้เป็นรสเปรี้ยว หลังจากตัดผักเป็นลูกเต๋าเล็ก ๆ แล้ว นางก็หั่นพริกแห้ง ซอยขิงเป็นเส้นบาง ๆ แล้วทุบกระเทียมเตรียมไว้
เสี่ยวเฉาตักน้ำมันขึ้นมา 1 ช้อนเล็กแล้วใส่ลงไปในกระทะ จากนั้นก็เอาผักดอง, พริกแห้ง, ขิงซอย และกระเทียมบดลงไปผัดกับน้ำมันเพื่อดึงรสชาติออกมา จากนั้นถึงจะเอาเลือดไก่ลงไปผัดเบา ๆ สิ่งสำคัญคือจะต้องไม่ผัดนานจนเกินไป เลือดไก่จะต้องมีความนุ่มเหมือนเต้าหู้ แต่รสชาติของมันอร่อยกว่าเต้าหู้มากนัก
หลังจากคิดนิดหนึ่งนางก็ตัดสินใจใส่น้ำส้มสายชูลงไปเพื่อดับกลิ่นคาวและเติมเกลือกับซอสถั่วเหลืองลงไปด้วย พอผัดทุกอย่างจนเข้ากันดีแล้วก็ตักใส่จาน
“หอมจังเลยพี่สาม” ฉีโตวซื้อเต้าหู้เสร็จแล้วก็รีบวิ่งกลับมาที่บ้านทันที เขาหอบแรง ๆ แต่ก็ยังสูดกลิ่นเข้าไปพร้อมกับทำหน้าอยากกิน
เสี่ยวเฉาทำ ‘ต้มเลือดไก่กับเต้าหู้’ เพิ่มอีกด้วย เต้าหู้สีขาวลอยกับสีแดงเข้มของเลือดไก่ลอยอยู่บนน้ำซุปปรากฏให้เห็นอยู่ราง ๆ บวกกับโรยหน้าด้วยต้นหอมสีเขียวซึ่งตัดกับสีอื่น ๆ อย่างสวยงาม เป็นซุปที่หอมและดูน่ากินเป็นอย่างมาก
“กินเลยได้หรือไม่ ?” ฉีโตววิ่งไปที่โต๊ะอาหารอย่างใจร้อนแต่กลับถูกเสี่ยวเฉาดึงกลับมา
“อย่าเพิ่งรีบ ! ไปกับข้า...เอาอาหารไปให้ท่านป้าโจวก่อน !” นางตั้งใจทำเพิ่มเป็นพิเศษเพื่อให้พอสำหรับครอบครัวโจวด้วย
ฉีโตวทำหน้ามุ่ยพร้อมกับถือ ‘เลือดไก่เผ็ดเปรี้ยว’ ไว้ในมือ เขาเดินไปสูดกลิ่นอาหารไปด้วย เสี่ยวเฉาหัวเราะแล้วเอ่ยออกมาว่า “เจ้าเด็กตะกละ ระวังไว้เถิด ! หากผู้อื่นมาเห็น เข้ามันน่าอายจะตายไป !”
ฉีโตวปิดปากยิ้มและพยายามสะกดกลั้นความอยากของตนเองเอาไว้ เขาจึงเอ่ยว่า “พี่สาม ใครจะคิดว่าเลือดไก่จะเอามาทำอาหารที่หอมขนาดนี้ได้ ตอนที่บ้านเราฆ่าไก่มากิน เราทิ้งเลือดตลอดเลย เสียของโดยเปล่าประโยชน์ ! อ่าใช่...ข้าเห็นท่านพี่ให้ท่านแม่เอาเครื่องในไก่กลับมาด้วย พวกมันก็ใช้ทำอาหารได้ด้วยรึ ?”
“ใช่สิ ! เจ้ากล้ากินหรือไม่เล่า ?” เสี่ยวเฉาเหลือบมองไปทางน้องชายแล้วยิ้มบาง ๆ
ฉีโตวพยักหน้ารัว ๆ แล้วเอ่ยว่า “กล้าอยู่แล้ว ! ถ้าพี่สามทำอร่อยเหมือนเลือดไก่ ข้าก็จะกิน ! มีอันใดต้องกลัวกัน ?”
“ฝันไปเถอะ ! นั่นข้าเอาไว้ขายหรอก จะให้เจ้ากินได้เยี่ยงไร !” หยูเสี่ยวเฉาย่นจมูกใส่น้องชายแล้วทำหน้าตลกเพื่อล้อเลียน จากนั้นนางก็เคาะประตูบ้านโจว “มาแล้ว มาแล้ว ! อ้าว เสี่ยวเฉา เจ้ากินข้าวแล้วรึยัง ?” นางฟางเดินมาที่ประตูเพื่อดูว่าใครมา เมื่อนางเห็นเสี่ยวเฉากับน้องชายถืออาหารที่หอมน่ากินอยู่ นางก็ทำสีหน้าประหลาดใจ
“ท่านป้าโจวเจ้าคะ ข้าทำเลือดไก่เสร็จแล้ว ที่ฉีโตวถืออยู่คือเลือดไก่เผ็ดเปรี้ยว ส่วนของข้าคือต้มเลือดไก่กับเต้าหู้ บ้านท่านป้ากินข้าวรึยังเจ้าคะ ? ถ้าหากยังก็มิต้องทำกับข้าวแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวเฉาเดินเข้าไปในบ้านแล้วส่งอาหารให้โจวหลิงหลงที่เดินออกมาจากครัว
เมื่อครู่บ้านโจวยุ่งอยู่กับการฆ่าไก่ พวกเขาจึงมิมีเวลาทำอาหาร นางมาได้จังหวะพอดีเลยทีเดียว
“กลิ่นหอมจัง ! นี่ใช้เลือดไก่ทำจริง ๆ รึ ?” โจวชานหูที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเสี่ยวเฉา นางเดินเข้ามาดมกลิ่นอาหารอย่างทึ่ง ๆ พร้อมกับทำหน้าเคลิ้ม
หยูเสี่ยวเฉายิ้มและพยักหน้า “ใช่...ท่านป้าโจวเจ้าคะ คราหน้าถ้าท่านป้าฆ่าไก่อีก อย่าลืมเก็บเลือดไก่กับเครื่องในไว้ด้วยนะเจ้าคะ ข้าจะสอนท่านป้าเอาพวกมันมาทำอาหารอร่อย ๆ เอง ข้าต้องไปแล้ว จานไว้ค่อยคืนพรุ่งนี้ก็ได้เจ้าค่ะ !”
มื้อนี้อาหารหรูหราถูกใจทุกคน เลือดไก่เผ็ดเปรี้ยวไม่เพียงแต่มีรสชาติของเนื้อไก่ แต่ยังนุ่มเหมือนเต้าหู้อีกด้วย แต่ละคำเป็นเหมือนการเสพติดที่ทำให้พวกเขาอยากกินเพิ่มอีก แม้แต่ฉีโตวที่ปกติไม่กินเผ็ดก็หยุดกินไม่ได้ น้ำมูกน้ำตาเขาไหลออกมาเป็นทางยาว
ต้มเลือดไก่กับเต้าหู้มีสีสันสดใสและรสชาติเข้มข้น รสชาติอร่อยกลมกล่อม น้ำซุปเข้มข้น คนทั้งบ้านพากันชมไม่หยุด แม้แต่นางหลิวที่ปกติจะเก็บอาหารดี ๆ ไว้ให้ลูกก็อดที่จะเติมไม่ได้
ต้มเลือดไก่หม้อใหญ่ถูกเสี่ยวเฉากับครอบครัวของนางกวาดจนเกือบจะหมดหม้อ
ฉีโตวกินเยอะมากจนท้องป่องเป็นลูกแตงโม เขานอนครางไม่หยุดอยู่บนเตียง นางหลิวกลัวว่าเด็กน้อยจะกินจนป่วยขึ้นมา นางจึงนั่งข้าง ๆ แล้วช่วยนวดท้องให้เขา ทางด้านหยูไห่ก็เรอออกมาแล้วยิ้มอย่างขัดเขิน “มิได้กินจนอิ่มเช่นนี้มานานแล้ว ฝีมือทำอาหารของลูกสามนั้นยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง ใช้ของที่คนอื่นโยนทิ้งมาทำเป็นอาหารอร่อย ๆ ก็ได้ด้วย !”
สีหน้าของนางหลิวอ่อนโยนขึ้นเมื่อคิดถึงลูกสาว นางเอ่ยว่า “ตั้งแต่ที่เฉาเอ้อร์หัวกระแทกจนเสียความทรงจำ นิสัยใจคอก็เปลี่ยนไปหมดเลย ร่างกายแข็งแรงขึ้น ไม่ขี้กลัวเหมือนแต่ก่อน อีกทั้งยังมีความคิดใหม่ ๆ สูตรอาหารใหม่ ๆ อีกมากมาย อย่างเมื่อวานนี้พวกเราก็ได้เอ่ยเตือนลูกแล้วว่าช่วงนี้มิมีสมุนไพรป่าเป็นแน่ แต่ลูกก็ดื้อมิยอมฟัง แล้วกลายเป็นว่าสิ่งที่ลูกกล่าวนั้นถูกต้อง นางขุดจี้ช่ายมาได้ตั้ง 2 ตะกร้า”
“เปลี่ยนก็ดีแล้ว แต่ก่อนเจ้ากับลูกลำบากกันมากนัก นิสัยขี้กลัวก่อนหน้านี้ของเสี่ยวเฉาน่าจะมีสาเหตุจากภายนอก ข้ามันมิได้เรื่อง ปกป้องเจ้ากับลูกก็มิได้...” แววตาหยูไห่สลดลงเมื่อคิดถึงความใจดำและลำเอียงของแม่เลี้ยงกับความขี้เกียจและโลภมากของพี่สะใภ้
นางหลิวรีบเอ่ยขัดขึ้นทันที “อย่าเอ่ยเช่นนั้นเลย ข้ากับลูกรอที่จะมีชีวิตที่ดีกับท่านพี่ในวันข้างหน้าอยู่นะ อ่าใช่...เสี่ยวเฉาเอาเครื่องในไก่กลับมาด้วย เจ้าว่าลูกจะใช้พวกมันทำอาหารได้จริง ๆ รึ ? ทั้งสกปรกทั้งเหม็น ข้ามิกล้ากินหรอก !”
ฉีโตวพลิกตัวลุกขึ้นนั่งแล้วหัวเราะคิกคัก “พี่สามกล่าวกับข้าว่าจะใช้ของพวกนั้นทำอาหารขายด้วยล่ะ !”
“ทำไปขายรึ ? เฉาเอ้อร์บ้าไปแล้วเยี่ยงนั้นรึ ? ถ้าหากผู้อื่นกินเข้าไปแล้วมีปัญหาขึ้นมา พวกเราจะโดนกฎหมายลงโทษเอานะ ท่านพี่เป็นพ่อต้องคอยสอนคอยดูแลลูกด้วย จะให้ลูกกลายเป็นคนที่หาเงินจากความเดือดร้อนของผู้อื่นมิได้เป็นอันขาด !” นางหลิวขมวดคิ้วแล้วร่ายยาวด้วยความกังวล
ตรงข้ามกับหยูไห่ที่ไม่ได้กังวลเลยสักนิด ช่วงที่ผ่านมานี้เขาเฝ้าสังเกตลูกสามของเขาอยู่ และรู้แก่ใจเป็นอย่างดีว่านางมิได้มีเจตนาร้าย เขาตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งและใจเย็นว่า “เฉาเอ้อร์เป็นคนแบบไหนกัน เจ้าเป็นแม่มิรู้นิสัยลูกของตนเองรึ ? อย่าให้ลูกได้ยินคำพูดเช่นนี้เป็นอันขาด มันจะทำร้ายความรู้สึกของนาง มิต้องกังวลไปหรอก ข้าเชื่อว่าลูกของเรามีจิตใจที่ดีมีเมตตา เพราะเยี่ยงนั้นเจ้ามิต้องกังวลอันใดทั้งสิ้น”
ฉีโตวพยักหน้าหงึก ๆ และช่วยสนับสนุนพี่สาว “ท่านแม่ เครื่องในไก่อาจจะกินได้ก็ได้นะ ลองคิดดูสิ แต่ก่อนพวกเราก็ทิ้งเลือดไก่เหมือนกันมิใช่รึ ? แต่พี่สามก็ใช้มันทำของอร่อยขนาดนั้นได้ ข้าอยู่ข้างท่านพ่อนะ ข้าเชื่อในความสามารถของพี่สาม”
“ก็ได้ ก็ได้ ! เจ้าสองคนเป็นคนดี แม่เป็นคนมิดีเอง” นางหลิวทำปากคว่ำมองค้อนสองพ่อลูกแล้วเดินออกจากห้องไป
ที่สนามหลังบ้าน สองพี่น้องฝาแฝดกำลังล้างเครื่องในไก่อยู่ใกล้ ๆ บ่อน้ำ เสี่ยวเหลียนยกถังน้ำออกจากบ่อแล้วเม้มปากเมื่อเห็นน้องสาวกำลังแยกตับไก่, เครื่องใน, และลำไส้ออกจากกัน สุดท้ายนางก็อดถามไม่ได้ว่า “เจ้าแน่ใจรึว่าของพวกนี้สามารถนำไปทำอาหารได้ ? พวกเครื่องปรุงที่ซื้อมาควรจะเอามาใช้กับของพวกนี้รึ ?”
เสี่ยวเฉากรอกตาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าใจเย็น ๆ ก่อนเถิด เชื่อใจกันหน่อยสิ ! ข้ามิทำให้ผิดหวังหรอกน่า...”