Re-new ตอนที่ 75 ช่วยเหลือ
ตอนที่ 75 ช่วยเหลือ
นางคิดอยู่ชั่วครู่แล้วเกือบจะโพล่งออกไปแล้วว่า ‘ครึ่งชั่ง’ แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าในยุคโบราณครึ่งชั่งเท่ากับ 8 เหลียง มันมีสำนวนที่ว่า ‘ครึ่งชั่งแปดเหลียง’ ที่หมายความว่า ‘ไม่ได้ต่างอะไรกัน’ หรือ ‘พอ ๆ กัน’ ดังนั้นนางจึงเอ่ยออกไปว่า “ขออย่างละ 4 เหลียงเจ้าค่ะ”
ราคาน้ำส้มสายชูกับซอสถั่วเหลืองรวมกันคือ 5 อีแปะ จากนั้นนางก็คำนวนการซื้อขายทั้งหมดในวันนี้ นางหลิวให้มา 20 อีแปะ ขายงานปักผ้าของเสี่ยวเหลียนได้ 100 อีแปะ ไหมปักผ้าราคา 10 อีแปะ เครื่องเทศกับเครื่องปรุงรส 30 อีแปะ เอาให้พี่ใหญ่ไป 10 อีแปะ แล้วยังมีเงินเหลืออีก 80 อีแปะ คิงมิใช่การใช้เงินอย่างสิ้นเปลืองหรอก
โครก...
วันนี้พวกเขากินอาหารเช้ากันเร็ว แม้แต่ฉีโตวที่ชินกับการกิน 2 มื้อต่อวันก็ยังกุมท้องตนเองที่กำลังส่งเสียงประท้วง แต่ถึงเยี่ยงนั้นเขาก็ไม่ได้เรียกร้องขอซื้อของกินเลย
ตลาดอาหารมีแผงขายอาหารเช้าที่ยังไม่ปิดอยู่ เสี่ยวเฉาถือเครื่องปรุงอย่างระมัดระวังและเดินไปที่แผงขายอาหารพร้อมกับน้องชาย นางซื้อซุปร้อน ๆ 1 ถ้วย แล้วเอาแป้งทอดจี้ช่ายออกมา จากนั้นก็จุ่มแป้งทอดลงในซุปให้น้องชาย
ซุปที่พวกเขาซื้อมาเป็นแค่ต้มผักกาดขาวธรรมดาและปรุงรสด้วยเกลือเท่านั้น ผิวหน้ามีน้ำมันอยู่สองสามหยด รสชาติก็งั้น ๆ แต่มันถูกเคี่ยวอยู่บนเตามานานเวลากินลงไปแล้วทำให้รู้สึกอุ่นท้อง แป้งทอดที่พวกเขาเอามาจากบ้านเย็นจนแข็งเป็นหินแล้ว เมื่อเอามันจุ่มลงไปในซุปเยี่ยงนี้มันก็จะอุ่นขึ้นและกินง่ายขึ้นอีกด้วย
มีเด็กน้อยอายุราว ๆ 4 - 5 ขวบอยู่ที่แผงขายอาหารเช้า เขาจ้องแป้งทอดแสนอร่อยของสองพี่น้องด้วยแววตาอิจฉา แล้วงอแงกับพ่อของเขาว่า “ท่านพ่อ ข้าอยากกินแป้งทอดแบบนั้นบ้าง ไปซื้อให้ข้าหน่อย !”
เจ้าของแผงลอยสังเกตเห็นว่าในแป้งทอดมีผักใบเขียวอยู่ด้วย เขาจึงถามอย่างงุนงงว่า “แม่หนูน้อยเจ้าซื้อแป้งทอดนั่นมาจากที่ใดรึ ? ช่วงนี้มีผักใบเขียวได้เยี่ยงไร ?”
ฉีโตวกินแป้งทอดคำใหญ่แล้วตอบอย่างร่าเริงว่า “พี่สาวของข้าทำขึ้นมาเอง แต่มันมิมีผักใบเขียวหรอกขอรับ เราขุดสมุนไพรในภูเขามาทำ พี่สามทำอาหารเก่งมาก ๆ เลย ไม่มีใครทำได้อร่อยเท่านี้แล้วล่ะขอรับ !”
“ข้าอยากกินแป้งทอด ท่านพ่อ ท่านพ่อ ข้าอยากกินแป้งทอดสมุนไพร แง... !” เมื่อเห็นสีหน้าพออกพอใจของฉีโตว เด็กน้อยก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร
นางหลิวห่อแป้งทอดที่เหลือทั้งสามชิ้นให้สองพี่น้องเอาติดตัวมาด้วย พวกเขาฉีกจุ่มน้ำซุปกันไปคนละชิ้นแล้ว ยังเหลืออีก 1 ชิ้นที่อยู่บนโต๊ะ เมื่อเสี่ยวเฉาเห็นเด็กน้อยร้องไห้
นางจึงรีบเอ่ยขึ้นมาว่า “พวกเรายังมีแป้งทอดเหลืออีก 1 ชิ้น ถ้าท่านลุงมิรังเกียจก็เอาให้น้องชายกินได้นะเจ้าคะ”
“ข้าจะทำเช่นนั้นได้เยี่ยงไรกัน ? หากเอาแป้งทอดของพวกเจ้าไป พวกเจ้าทั้งสองคนคงกินไม่อิ่มกันพอดี” คนขายยิ้มให้สองพี่น้องอย่างเกรงใจพร้อมกับปลอบลูกชาย
“มิเป็นไรหรอกเจ้าค่ะ พวกเรากินข้าวเช้ากันก่อนมาที่นี่แล้ว แค่อยากกินน้ำซุปร้อน ๆ เพื่ออุ่นร่างกายน่ะเจ้าค่ะ” เสี่ยวเฉาเห็นว่าเด็กน้อยไม่ยอมสงบลงเลย เขาร้องไห้จนน้ำมูกไหลยืดเป็นทางยาว อีกทั้งพอเขาสะอื้นมันก็กลายเป็นลูกโป่งเล็ก ๆ นางกับน้องชายกินแป้งทอดกันไปคนละชิ้นกับต้มผักกาดขาวอีกหนึ่งถ้วยแล้ว นั่นมากพอที่จะทำให้ท้องของพวกเขาหยุดร้องได้ และเมื่อพวกเขากลับบ้านตอนเย็นก็ยังมีอาหารเย็นให้กินอีก นางจึงเสนอแป้งทอดที่เหลือให้เด็กน้อยคนนั้น
เจ้าของร้านคิดเพียงชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “เยี่ยงนั้นลุงก็ขอบคุณเจ้ามากยิ่งนัก ซุปถ้วยนั้นลุงให้แล้วก็กัน ถือเป็นคำขอบคุณ”
ซุป 1 ถ้วยราคา 1 อีแปะ ประหยัดเงินไปได้ 1 อีแปะ หยูเสี่ยวเฉาขอบคุณเจ้าของร้านแล้วออกจากตลาดอาหารพร้อมกับน้องชาย พวกเขาเดินไปยังนอกประตูเมืองตรงที่ลุงหม่ารออยู่ เกวียนของเขามีคนขึ้นจนเต็มแล้วและกำลังรอพวกเขาสองคนอยู่
ถ้านางหลิวรู้ว่าพวกเขาใช้เงินซื้อเครื่องปรุงรสกับเครื่องเทศไป 30 อีแปะ นางต้องบ่นพวกเขาไปอีกนานเป็นแน่ ที่บ้านแทบจะไม่มีอะไรกินอยู่แล้ว เหตุใดถึงยังซื้อเครื่องปรุงมาอีก ?
พอถึงบ้านเสี่ยวเฉาก็เปิดประตูแล้วยื่นหน้าเข้าไปมองอย่างระมัดระวัง เสี่ยวเหลียนกำลังปักผ้าอยู่กลางบ้าน เมื่อนางเห็นท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ของเสี่ยวเฉา นางจึงหัวเราะคิกคักออกมาแล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวเฉา เจ้าไปทำความผิดอันใดมา ? วางใจเถิด ตอนนี้ท่านแม่ไม่อยู่บ้านหรอก”
พอได้ยินเช่นนั้นเสี่ยวเฉาก็เดินเข้ามาในบ้านอย่างโล่งอก นางยิ้มแหย ๆ “ใครทำความผิดอะไรกัน ? ไม่มีสักหน่อย...ข้าเพียงแค่ซื้อเครื่องปรุงในเมืองมาก็เลยกลัวว่าท่านแม่จะบ่นข้าเรื่องที่ใช้เงินเปลือง...เอ้านี่ เงินที่เหลือจากขายถุงผ้าของเจ้า”
“ก็บอกแล้วว่าใช้เงินที่เหลือได้ อยากจะซื้ออะไรก็ซื้อได้เลย ซื้อเครื่องปรุงจะเป็นการใช้เงินเปลืองได้เยี่ยงไร ?” เสี่ยวเหลียนรับถุงเงินมาและรู้สึกถึงน้ำหนักของมัน นางเอ่ยอย่างแปลกใจว่า “เจ้าซื้อเครื่องปรุงมาเท่าใดกัน ? เหมือนใช้เงินไปมิเยอะเลยนี่ !”
ถุงผ้า 5 ถุงของนางเคยขายได้ 75 อีแปะ แต่เงินที่เหลือในถุงเงินที่เสี่ยวเฉาให้นางมามีเงินเกินมา 5 อีแปะจากที่เคยได้ 75 อีแปะ นางรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง
เสี่ยวเฉาอธิบายว่าเจ้าของร้านเย็บผ้าเพิ่มราคาให้และเอ่ยว่า “เสี่ยวเหลียน อย่าบอกท่านแม่ว่าข้าซื้อเครื่องปรุงพวกนี้มานะ ข้าจำเป็นต้องใช้พวกมันน่ะ !”
“มีเรื่องอะไรที่บอกแม่ของเจ้ามิได้รึ ?” หยูไห่เดินกะเผลกออกมาจากห้องและยิ้มกว้างให้ลูกสาวที่น่ารักทั้งสองของเขา ขาของเขาดีขึ้นจนไม่ต้องใช้ไม้ค้ำแล้ว
“มิมีเจ้าค่ะ มิมี ! ท่านพ่อรู้วิธีทำกระบอกไม้ไผ่เยี่ยงนี้หรือไม่ ? ถ้าหากท่านพ่อมีเวลาว่างทำให้ข้า 2 อันได้หรือไม่เจ้าคะ ? ข้าต้องเอาของที่ยืมมาไปคืน” เสี่ยวเฉาจงใจเปลี่ยนเรื่องและยื่นกระบอกไม้ไผ่ที่ใส่ซอสถั่วเหลืองให้พ่อของนางดู
“กระบอกเช่นนี้เป็นของที่ทำง่าย พ่อทำได้ มิได้ยากอันใด” หยูไห่ดมกระบอกไม้ไผ่แล้วหัวเราะออกมา “ซอสถั่วเหลือง ? ถ้ามีหมูสามชั้นสัก 1 ชั่ง พวกเราก็จะสามารถทำหมูตุ๋นน้ำแดงได้เลยนะ...แล้วก็กินกันให้พุงกางไปเลย !”
ตั้งแต่แม่แท้ ๆ ของเขาเสียชีวิตไป หยูไห่ก็ไม่เคยได้กินหมูตุ๋นน้ำแดงอีกเลย เขาคิดถึงรสชาติของมันมากยิ่งนัก
เสี่ยวเฉารีบคว้ากระบอกซอสถั่วเหลืองคืนแล้วเอ่ยแบบเน้นเสียงว่า “ข้าต้องใช้เครื่องปรุงพวกนี้ ท่านพ่อห้ามแตะพวกมันเด็ดขาด ! อ่าใช่...ว่าแต่ท่านแม่ไปไหนรึเจ้าคะ ?”
“ไปบ้านป้าโจวน่ะ มีคนสั่งซื้อไก่นางหลายสิบตัว พวกเขาต้องทำให้เสร็จในวันพรุ่งนี้ ก็เลยมาขอให้แม่ของเจ้าไปช่วยฆ่าไก่น่ะ !” เสี่ยวเหลียนรับเครื่องปรุงจากน้องสาวแล้วนำไปวางไว้ที่มุมมืดในครัว
หยูไห่เรียกฉีโตว “ฉีโตวน้อย มาช่วยพ่อห่มผ้าให้แปลงผักเร็วเข้า ต้นกล้าพวกนี้ขึ้นดีมากนัก แค่ 5 วันก็งอกสูงถึง 1 ชุ่นแล้ว พ่อมิเคยเห็นผักโตเร็วถึงเพียงนี้มาก่อนเลย ขนาดปีก่อน ๆ ในฤดูใบไม้ผลิที่อุ่นกว่านี้ก็ยังมิโตเร็วเท่านี้เลยด้วยซ้ำ...”
พวกมันโตเร็วนั้นเป็นสั่งที่แน่นอนอยู่แล้ว ก็ข้ารดน้ำพวกมันด้วยน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ทุกวัน เสี่ยวเฉาถูจมูกอย่างไม่สบายใจแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะไปบ้านท่านป้าโจว จะไปดูว่าพวกเขาอยากให้ช่วยอะไรหรือไม่” เอ่ยจบนางก็หนีออกมาอย่างรวดเร็ว
วันนี้นางฟางเข้าเมืองไปตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อขายไก่และไข่ นางได้รู้ว่าจะมีงานเลี้ยงฉลองวันเกิดครบ 60 ปีพ่อของนายท่านหวง พวกเขาต้องการไก่ 40 ตัวสำหรับงานเลี้ยง พ่อบ้านที่ทำหน้าที่ซื้ออาหารได้สั่งไก่ 40 ตัวและให้นางเตรียมไก่ทั้งหมดในวันนี้ พรุ่งนี้จะได้ส่งไปให้พวกเขาที่บ้าน
นางจึงรีบกลับบ้านทันทีหลังจากได้รับคำสั่งซื้อ แต่ที่บ้านมีคนไม่พอที่จะช่วยฆ่า, ถอนขน และทำความสะอาดไก่ทั้ง 40 ตัวได้ในบ่ายวันเดียว สามีของนางก็ไม่อยู่บ้าน นางฟางกลัวว่าลูก ๆ ทั้งสามคนกับตัวนางเองจะทำงานใหญ่พัง นางจึงขอให้นางหลิวไปช่วย
เมื่อเสี่ยวเฉาไปที่นั่น โจวหลิงหลงกับน้องสาวของนางกำลังต้มน้ำอยู่ในครัว นางฟางถือมีดปังตอกำลังจะฆ่าไก่ตัวหนึ่ง ที่พื้นมีไก่ถูกมัดขา 6 ตัวนอนอยู่ นางหลิวแม่ของนางกำลังเทน้ำร้อนลงไปในอ่างไม้ขนาดใหญ่ มีไก่ที่ถูกฆ่าแล้ว 3 ตัวที่ยังไม่ถูกถอนขนอยู่ในอ่าง
“ท่านแม่ ท่านป้าโจว ข้ามาช่วยแล้ว !” เสี่ยวเฉาทักทายพวกเขาแล้วขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่ามีเลือดไก่นองอยู่บนพื้น
นางฟางเลือกไก่ขึ้นมาหนึ่งตัวที่ถูกมัดขาและถอนขนออกจากคอแล้ว ขณะที่มีดกำลังจะสับลงไปนางก็ได้ยินเสียงของเสี่ยวเฉา จึงเงยหน้าขึ้นและยิ้มให้ “กลับมาแล้วรึเสี่ยวเฉา ? ถ้าป้ารู้ว่าเจ้าเองก็เข้าเมืองเช่นกัน ข้าก็คงจะพาเจ้าไปด้วยกันแล้ว ซื้อของในเมืองสนุกหรือไม่ ?”
“ท่านป้าโจวเจ้าคะ ท่านป้าจะเอาเลือดไก่ที่เหลือจากฆ่าไก่หรือไม่เจ้าคะ ?” เสี่ยวเฉาตอบไม่ตรงประเด็นและมองดูเลือดไก่ที่นองพื้นด้วยความเสียดายเล็กน้อย
นางฟางสับสน นางจึงเอ่ยว่า “จะเอาเลือดไก่ไปทำไมกัน ? มันกินมิได้มิใช่รึ ?”
หยูเสี่ยวเฉากระพริบตาและตอบนางว่า “เลือดไก่กินได้นะเจ้าคะ ! ถ้าทำดี ๆ ก็ไม่มีกลิ่นคาวหรือรสชาติแปลก ๆ แล้วเจ้าค่ะ ท่านป้าต้องกินเลือดไก่เพื่อบำรุงโลหิตนะเจ้าคะ เลือดไก่น่ะสรรพคุณของมันดียิ่ง มันยังช่วยบรรเทาอาการปวดไขข้อ, ปรับการไหลเวียนของเลือด และทะลวงเส้นอีกด้วยเจ้าค่ะ”
“อ่า...ป้ามิเคยได้ยินว่าเลือดไก่มีสรรพคุณเยี่ยงนั้นเลย เจ้าเรียนมาจากผู้ใดรึ ?” นางฟางไม่รู้ว่านางควรจะตัดหัวไก่ตอนนี้เลยหรือไม่
หยูเสี่ยวเฉาวิ่งเข้าไปในครัวแล้วขอให้โจวชานหูเอากะละมังให้นางหนึ่งอัน นางวางมันลงตรงหน้านางฟางแล้วเอ่ยว่า “ท่านป้าโจวฟังข้านะเจ้าคะ ! ถ้าทำเลือดไก่อย่างถูกวิธี มันจะนุ่มและอร่อยเป็นอย่างมาก ใช้ทำซุปกับเต้าหู้ได้ ต้มกับผักกาดขาวก็ได้ ถ้าเอาไปต้มกับซอสมันจะนุ่มลื่นและอร่อยสุด ๆ ไปเลยล่ะเจ้าค่ะ !”
“เจ้าเด็กนี่ บรรยายเสียจนน้ำลายไหล ก็ได้...ป้าให้เลือดไก่เจ้าทั้งหมดเลย หากทำเสร็จแล้วก็อย่าลืมเอามาให้ป้าโจวชิมสักถ้วยด้วยก็แล้วกัน” นางฟางใช้มีดเฉือนคอไก่อย่างว่องไว เลือดสีแดงไหลทะลักลงไปในกะละมัง
เสี่ยวเฉารู้สึกเหมือนเห็นอาหารลอยอยู่ตรงหน้า นางอยากคว้าเอาเลือดไก่มาเริ่มลงมือทำอาหารเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย ผ่านวันปีใหม่มาได้สองเดือนแล้ว อย่าว่าแต่เนื้อสัตว์หรือปลาเลย แม้แต่ธัญพืชหยาบก็ยังไม่สามารถกินจนอิ่มได้ ชีวิตเยี่ยงนี้ทำให้นางอยากจะบ้าตายรายวัน !
“แล้วมัวยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น ? เจ้ามาช่วยมิใช่รึ ? กลับบ้านไปเอากะละมังที่เราใช้ล้างผักมา จะได้ช่วยกันถอนขนได้เร็วขึ้น” นางหลิวเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงดุเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มให้ลูกสาว “เจ้าค่ะท่านแม่...” หยูเสี่ยวเฉาตอบตกลงแล้ววิ่งออกไปทันที
นางฟางมองเสี่ยวเฉาที่ดูร่าเริงแล้วยิ้มขึ้นมาพร้อมกับเอ่ยว่า “น้องมู่หยุน โชคของครอบครัวเจ้าเปลี่ยนไปแล้วเป็นแน่ ดูสิตั้งแต่ย้ายออกมา ขาของต้าไห่ก็หายดี สุขภาพของเสี่ยวเฉาก็แข็งแรงมากยิ่งขึ้น ตัวเจ้าเองก็มิป่วยอีกแล้ว ผ่อนคลายสักนิดเถิด ในอนาคตครอบครัวของเจ้าจะต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน ประเดี๋ยวถ้าลูกไก่ฟักออกมาตอนฤดูใบไม้ผลิ เจ้าก็มาเอาไปเลี้ยงที่บ้านสักสองสามตัวเถอะ จะได้มีไข่ไว้กิน เจ้ากับลูก ๆ ผอมกันจะแย่อยู่แล้ว...”
นางหลิวเงยหน้าขึ้นมายิ้มอย่างอ่อนโยน หลังจากย้ายออกมานางก็ยิ้มบ่อยขึ้น นางหัวเราะขณะที่มือก็ถอนขนไก่อย่างชำนาญ ไอน้ำลอยขึ้นมาจากอ่างไม้ มีกลิ่นคาวลอยอยู่ในอากาศเล็กน้อย...
ตอนที่เสี่ยวเฉากลับมา นางเห็นเข้าตอนที่นางหลิวกำลังแหวกท้องไก่ดึงเอาอวัยวะภายในออกมาและโยนลงพื้น นางถามอย่างไม่แน่ใจว่า “พวกนี้ก็ทิ้งหมดเลยรึเจ้าคะ ?” นางหลิวมองหน้านางแล้วแกล้งเอ่ยออกมาว่า “เจ้าอยากกินของเหม็น ๆ สกปรก ๆ พวกนี้รึ ? มีของเสียไก่อยู่ในนั้นด้วยนะ ถ้าเจ้าทำจริง ๆ ก็กินไปเองคนเดียวเถอะ ไอหยา...อย่ามัวแต่เสียเวลา มาช่วยแม่จัดการไก่ที่ท่านป้าโจวฆ่าเร็วเข้า แม่จะเอาน้ำร้อนลวกพวกมัน แล้วเจ้าเป็นคนถอนขนนะ”
“เสี่ยวเฉาทำงานดี ๆ ล่ะ ถ้าทำดีป้าจะให้ 10 อีแปะ...” นางฟางรู้ว่าเสี่ยวเฉามีประสบการณ์ทางด้านนี้จึงให้สัญญากับนาง
นางหลิวเอ่ยแทรกขึ้นมาทันที “พวกเราเป็นเพื่อนบ้านกันก็ช่วย ๆ กันไป มิต้องให้เงินหรอก อีกอย่างเสี่ยวเฉาก็ยังเด็ก จะช่วยได้สักเท่าใดกันเชียว... !”