Re-new ตอนที่ 74 ร่วมมือ
ตอนที่ 74 ร่วมมือ
เมื่อหยูฮังสังเกตเห็นน้องสาวเอาแต่มองเสื้อผ้าเขา แววตาของเขาจึงสั่นไหวและฝืนยิ้มออกมา “นั่น เอ่อ...ตอนที่ข้าไปขนไม้ กิ่งไม้มันบังเอิญไปเกี่ยวกับเสื้อเข้าน่ะ...”
“ถ้ากิ่งไม้เกี่ยวเสื้อจนเป็นรู มันก็น่าจะเป็นรูปสามเหลี่ยมมิใช่รึ ? แล้วเหตุใดมันถึงเป็นเส้น ๆ ริ้ว ๆ เช่นนี้ได้ล่ะท่านพี่ ?” ฉีโตวถามอย่างสงสัย เขาชอบปีนขึ้นต้นไม้และเสื้อผ้าเขามักจะไปเกี่ยวกับกิ่งไม้อยู่เสมอ
หยูฮังแกล้งไอแล้วเอ่ยว่า “ข้าบอกว่ากิ่งไม้ก็กิ่งไม้สิ ! เป็นเด็กอย่าพูดมาก !...น้องสาม อาการบาดเจ็บที่ขาของท่านพ่อเป็นเยี่ยงไรบ้าง ?”
“ใกล้หายแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านพ่อเดินด้วยไม้ค้ำได้แล้ว พี่ใหญ่ ครอบครัวของเราแยกบ้านออกมาแล้ว อีกทั้งยังปรับปรุงบ้านเก่าแล้วด้วย ถ้าอยู่ที่นี่ไม่มีความสุขก็กลับบ้านกันเถอะท่านพี่ ! ตอนนี้พวกเราไม่ต้องรับมือกับท่านย่าหรือท่านป้าใหญ่ที่คอยด่าพวกเราอีกต่อไปแล้ว”
หยูเสี่ยวเฉาบอกได้ว่ารอยขาดบนเสื้อของเขาน่าจะเกิดขึ้นจากแส้ แล้วทุกครั้งที่นางมาเจอเขาก็ดูเหมือนว่าพี่ชายของนางจะมีอาการบาดเจ็บใหม่ ๆ อยู่ตลอด ดังนั้นนางจึงอยากพาหยูฮังกลับบ้าน
เมื่อหยูฮังรู้ว่าครอบครัวของเขาแยกบ้านออกมาแล้ว รอยยิ้มจากใจจริงก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา แต่พอเขานึกถึงนิสัยโหดเหี้ยมไร้ความปราณีของเจ้าของร้านจาง เขาก็รู้ว่าชายคนนั้นจะไม่ปล่อยเขาไปอย่างง่ายดายเป็นแน่ ครั้งล่าสุดที่ครอบครัวของเด็กฝึกงานคนหนึ่งมาพาตัวเด็กคนนั้นกลับบ้าน พวกเขาก็ต้องยอมจ่าย 20 ตำลึงเพื่อพาตัวเด็กออกไป พอได้นึกถึงเรื่องนี้แล้ว เขาจึงขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ตอนที่พวกเขาแยกบ้าน นางจางไม่มีทางให้เงินครอบครัวพวกเขามาเป็นแน่ อีกทั้งพวกเขาต้องสร้างบ้านใหม่กับซื้อข้าวของเครื่องใช้ในบ้านด้วย เขาแน่ใจว่าครอบครัวของเขาต้องเป็นหนี้อย่างแน่นอน ในฐานะลูกชายคนโตของครอบครัว เขาไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะช่วยเหลือครอบครัวได้เลย ดังนั้นเขาจะเพิ่มปัญหาให้พวกเขาอีกไม่ได้ !
หยูฮังสะกดกลั้นความปรารถนาที่จะไปจากที่นี่ลงอย่างยากลำบาก และส่ายหัวอย่างช้า ๆ “เจ้าของร้านดีกับข้ายิ่งนัก เขาสอนวิชาช่างไม้ให้ข้าตั้งเยอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่อีกหน่อย พอข้าเก่งแล้วค่อยกลับบ้านก็ได้”
หยูเสี่ยวเฉาพยายามเกลี้ยกล่อมเขาอีกครั้งแต่หยูฮังก็ยืนกรานจะอยู่ต่อ นางจึงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ เสี่ยวเฉายัดซาลาเปาที่นางเอามาใส่มือเขาแล้วส่งเงินให้เขาอีก 10 อีแปะ จากนั้นจึงกลับไปอย่างเงียบ ๆ
หยูฮังมองดูน้องสาวและน้องชายค่อย ๆ เดินลับตาไป และพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อกลั้นน้ำตาเอาไว้อย่างเต็มที่ เขาหวังว่าตนเองจะสามารถอดทนได้นานมากพอจะได้เจอน้อง ๆ ของเขาอีกในอนาคต...
“พี่สาม พวกเราจะไปที่ไหนต่อรึ ?” ฉีโตวรู้สึกหดหู่ ดูเหมือนว่าเขาจะสังเกตเห็นบางอย่างที่ผิดปกติได้อยู่บ้าง
เสี่ยวเฉาคิดเพียงชั่วอึดใจแล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้ยังเช้ามากนัก ไปที่ร้านเจินซิวกันเถอะ ไปดูว่าคุณชายสามโจวอยู่ที่นั่นหรือไม่ ?”
เมื่อพวกเขาไปถึงร้านเจินซิว ผู้จัดการร้านได้บอกพวกเขาว่าคุณชายสามไปเมืองหลวงเพื่อดูแลรายละเอียดเกี่ยวกับการเปิดร้านอาหารสาขาใหม่ เขาวุ่นวายมากเสียจนมิมีเวลาว่างให้โรงงานเครื่องปรุงรสเลย มีเพียงพ่อบ้านโจวที่คอยดูแลอยู่เท่านั้น
หลังออกจากร้านเจินซิว หยูเสี่ยวเฉาคิดอยู่นิดหน่อยแล้วพาน้องชายไปดูตลาดอาหาร
ในเมื่อพวกเขากำลังปลูกผักที่บ้าน การสำรวจตลาดจึงเป็นสิ่งจำเป็น ตลาดที่เมืองถังกู่อยู่บนถนนที่ไกลที่สุดในเมือง มีชื่อว่า ‘ตลาดเหนือ’ ตลาดในยามอู่ไม่ได้มีของขายมากนัก มีร้านเปิดอยู่เพียงแค่ 2 ร้านเท่านั้นและขายพวกหัวไชเท้ากับผักกาดขาวที่ไม่ได้ดูสดเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าพวกมันถูกเก็บเอาไว้ในห้องใต้ดินตลอดทั้งฤดูหนาว
หยูเสี่ยวเฉาดึงน้องชายไปที่แผงขายผักดองและเห็นว่ามันมีอยู่ไม่กี่ชนิดเท่านั้น มีครีมข้น ๆ สีดำที่กลิ่นเหมือนดิน, หัวไชเท้าแห้งดองเค็ม และผักกาดดอง...เทียบกับซุปเปอร์มาร์เก็ตในโลกเก่าของนางที่มีผักดองให้เลือกมากกว่า 20 ชนิดแล้ว ที่นี่น่าผิดหวังเป็นอย่างมาก
เสี่ยวเฉาถูจมูกแล้วเริ่มวางแผน นางควรจะทำผักดองแล้วเอามาฝากขายที่นี่ดีหรือไม่ ? แต่ว่าถึงนางจะอยากทำ แต่นางก็ไม่สามารถทำได้ในปีนี้ ครอบครัวของนางมีหัวไชเท้ากับผักกาดขาวเก็บไว้น้อยมากยิ่งนัก นางไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะมีพอให้ดองเก็บไว้กินเองหรือไม่
“เจ้าหนูน้อย อยากซื้อผักดองสักหน่อยหรือไม่ ?” เจ้าของแผงเป็นเด็กหนุ่มอายุราว 16 - 17 ปี เขาทักทายเสี่ยวเฉาและน้องชายด้วยท่าทีเป็นมิตรทั้ง ๆ ที่พวกเขาใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ โทรม ๆ
หยูเสี่ยวเฉาตอบอย่างขัดเขินว่า “ข้าแค่ดูว่าท่านจะมีแตงกวาดองขายหรือไม่น่ะ... !”แตงกวาดอง ? มีผักดองแบบนั้นด้วยรึ ? เอาแตงกวามาดองได้จริง ๆ รึ ? ” เด็กหนุ่มคนนั้นถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
แผงขายผักดองนี้เปิดโดยแม่ของเขาตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่ แม่ของเขาทำผักดองเก่งและรสชาติดีเป็นอย่างมาก คนจากหมู่บ้านห่างไกลชอบมาซื้อผักดองจากนาง ต่อมาแม่ของเขาก็ได้ล้มป่วยและเสียชีวิตลง เขาจึงได้เรียนวิธีการทำผักดองมาเพียงแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น อีกทั้งรสชาติผักดองของเขาก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับที่แม่ทำเลย กิจการผักดองของเขาก็ค่อย ๆ แย่ลงเรื่อย ๆ เจียงหยู่รู้สึกวิตกกังวลและโกรธที่ได้แต่มองดูกิจการของแม่ตนเองตกต่ำลงอย่างช้า ๆ ด้วยฝีมือของเขาเอง
“อ่า...ถึงฤดูเก็บเกี่ยวแตงกวาเมื่อใด ไว้ข้าจะทำแตงกวาดองมาให้ท่านลองชิมดูนะ ถ้าคิดว่ามันรสชาติดี ข้าคิดว่าจะฝากขายที่แผงของท่าน...” หยูเสี่ยวเฉายิ้มอย่างน่ารัก
เจียงหยู่ถอนหายใจแรง ๆ แล้วเอ่ยว่า “กลัวว่าแผงของข้าจะอยู่ไม่ถึงตอนนั้นน่ะสิ !”
หยูเสี่ยวเฉาครุ่นคิดแล้วเอ่ยไปอีกว่า “อ่า พี่ชาย...”
“ข้าชื่อเจียงหยู่ เรียกแค่ชื่อก็ได้ !” เจียงหยู่ยิ้มอย่างอาย ๆ
หยูเสี่ยวเฉาพยักหน้าแล้วเอ่ยต่อ “พี่ชายเจียงหยู่ ข้ามีสูตรผักดองอยู่สองสามอย่างที่คาดว่าจะอร่อย...พี่ชายเขียนหนังสือเป็นหรือไม่ ? ข้าจะบอกแล้วให้พี่ชายจดเอาไว้นะ ทำตามสูตรที่ข้ากล่าวแล้วคอยดูว่าผลจะออกมาเป็นเยี่ยงไร”
“เรามิใช่ญาติมิตรแม้แต่สหายก็มิใช่ แล้วข้าจะเอาสูตรผักดองของเจ้าไปได้เยี่ยงไร ?...เอาเช่นนี้ ถ้าผักดองขายดี ข้าจะแบ่งกำไรให้เจ้าด้วย ข้าต้องจ่ายค่าเช่าที่กับภาษี เยี่ยงนั้นข้าเอา 70 ส่วนเจ้า 30 เจ้าคิดว่าเยี่ยงไร ?” เจียงหยู่ยังหนุ่มแต่เขาพอจะมีหัวทางธุรกิจอยู่เหมือนกัน
หยูเสี่ยวเฉาส่ายหน้าช้า ๆ แล้วยิ้มให้เจียงหยู่ที่ทำท่าจะเอ่ยบางอย่างออกมา “พี่ชายต้องนับค่าวัตถุดิบกับต้นทุนการผลิตด้วย ข้าให้เพียงแค่สูตรเท่านั้นเอง เยี่ยงนั้นมิกล้าเอากำไรถึงสามในสิบส่วนหรอก แบ่งกัน 2 ส่วนกับ 8 ส่วน เป็นเยี่ยงไร ? พี่ชายเอาไป 8 ส่วน ให้ข้าเพียงแค่ 2 ส่วนก็พอ”
เจียงหยู่บอกไม่ได้ว่าสูตรของนางจะรสชาติเป็นเยี่ยงไร แต่เขาก็สัญญาในใจตนเองแล้วว่าถ้าหากผักดองสูตรของนางขายดี เขายินดีที่จะแบ่งกำไรให้นางมากกว่านี้ เขาจึงตอบกลับไปว่า “ตอนท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านแม่ส่งข้าไปเรียนอยู่สองสามปี ต่อมา...ช่างเถิด ข้าเขียนหนังสือได้ !”
ชาติก่อนนางต้องทำงานเร็วเพราะต้องจ่ายค่าเล่าเรียนและค่ากินอยู่ให้น้องทั้งสองคน มีบางช่วงที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง เพื่อประหยัดเงินนางจึงเรียนวิธีทำผักดองหลากหลายชนิดจากอินเตอร์เน็ต น้องชายน้องสาวของนางชอบเอ่ยว่าผักดองที่ขายในร้านอร่อยไม่ถึง 10% จากผักดองที่นางทำ หลังจากที่พวกเขาเรียนจบและไปทำงานต่างเมือง พวกเขาก็ยังขอให้นางทำผักดองส่งไปให้พวกเขาอยู่เรื่อย ๆ
เสี่ยวเฉาสาธยายสูตรที่นางทำได้ดีที่สุดให้เจียงหยู่จดอย่างละเอียด สูตรที่นางให้ไปก็คือหัวไชเท้าแห้งหม่าล่า, หัวไชเท้าอ่อนเผ็ด, กิมจิ, สาหร่ายทะเลเผ็ด, ถั่วดองเหล้า และถั่วหมัก
ตอนแรกเสี่ยวเฉารู้สึกแย่ที่กิจการของเด็กหนุ่มไปได้ไม่ดีและไม่อยากให้ร้านของเขาเจ๊ง นางจึงคิดจะสอนสูตรผักดองให้เขาสัก 2 สูตร แต่ในเมื่อนางจะได้ส่วนแบ่งด้วยจึงบอกสูตรให้เขาเพิ่มอีก ยังดีที่นอกจากผงชูรสที่เด็กหนุ่มไม่เคยได้ยินมาก่อนแล้ว เครื่องปรุงรสและเครื่องเทศทั้งหมดสามารถหาได้ตามร้านค้าทั่วไปและร้านขายยา
ตัวอย่างเช่น โป๊ยกั้ก, ยี่หร่า, อบเชย, หม่าล่า ทั้งหมดนี้คนรุ่นหลังใช้เป็นเครื่องปรุงรสและเครื่องเทศ แต่ในยุคโบราณพวกนี้คือสมุนไพรยาทั้งหมด หลังจากที่ฮ่องเต้องค์ก่อนและองค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์ เครื่องเทศพวกนี้ถึงได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องปรุงรสในอาหาร สมุนไพรพวกนี้มิได้แพงมากมายนัก แต่ครอบครัวของเสี่ยวเฉาแทบจะไม่มีกินกันอยู่แล้ว แค่ใช้น้ำมันทำอาหารก็นับว่าเป็นความหรูหราสำหรับพวกเขาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่อยากเสียเงินไปกับเครื่องเทศพวกนี้
จากคำแนะนำของเจียงหยู่ เสี่ยวเฉาได้ไปที่ตลาดอาหารที่ค่อนข้างไกลออกไปและพบแผงขายสินค้าทั่วไปที่นางสามารถซื้อเครื่องปรุงรสและเครื่องเทศได้ในราคาถูก ยามอู่เช่นนี้นอกจากเจ้าของร้านที่มีเคราเหมือนแพะภูเขาที่กำลังงีบหลับอยู่บนเก้าอี้แล้ว ก็ไม่เห็นใครอีกเลยแม้แต่เงาก็ไม่มี
แผงขายของนี้มีของสำหรับใช้ในประจำวันน้อยมากนัก ที่แผงนี้มีถังขนาดใหญ่ 2 ถัง พวกมันมีกลิ่นของซอสถั่วเหลืองและน้ำส้มสายชู เมื่อรวมสองกลิ่นเข้าด้วยกันกลิ่นของมันก็ไม่ค่อยดีสักเท่าใดนัก ตรงกำแพงมีโต๊ะยาวที่วางกล่องไม้เอาไว้หลายกล่อง กล่องพวกนี้ใส่เครื่องปรุงที่เสี่ยวเฉาต้องการจะซื้อ
“เครื่องเทศพวกนี้ขายเยี่ยงไรเจ้าคะ ?” เสี่ยวเฉาเอ่ยถามอย่างกังวลพร้อมกับลูบกระเป๋าที่หน้าอกซึ่งมีถุงเงินที่ใส่เงินเอาไว้ประมาณ 100 อีแปะ
เมื่อเจ้าของร้านได้ยินเสียงของนาง เขาจึงเงยหน้าขึ้นทันทีและกะพริบตาเพื่อไล่อาการง่วงงุน เคราแพะของเขาขยับขึ้นลงขณะที่เอ่ยออกมา “เจ้าอยากชั่งแยกหรือชั่งรวมกันล่ะ ?”
“ชั่งแยกคิดราคาเยี่ยงไร แล้วต่างจากชั่งรวมเยี่ยงไรเจ้าคะ ?” หยูเสี่ยวเฉาถามหลังจากคิดเพียงชั่วครู่เท่านั้น
“ถ้าชั่งแยก อบเชยราคา 18 อีแปะต่อเหลียง (1 เหลียง = 50 กรัม), ใบกระวาน 15 อีแปะ, โป๊ยกั้ก 26 อีแปะ, หม่าล่า 20 อีแปะ แล้วก็ยี่หร่า 20 อีแปะ” เจ้าของร้านมองสองพี่น้องแล้วเสนอว่า “ถ้าซื้อเยอะควรจะซื้อแยกถึงจะคุ้มค่ามากกว่า”
หยูเสี่ยวเฉากัดริมฝีปากแล้วยิ้มอย่างเขินอาย “งั้น...ข้าควรชั่งรวมกันใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ข้าอยากได้เครื่องเทศเพียงแค่ 1 เหลียงเท่านั้น... !”
“ได้ !” เจ้าของร้านเอากระดาษหยาบทรงสี่เหลี่ยมออกมาพับเป็นกรวยแล้วเริ่มตักเครื่องเทศ
เสี่ยวเฉาลังเลแต่แล้วก็เอ่ยออกมา “ท่านปู่เจ้าของร้าน ขอข้าตักเครื่องเทศเองได้หรือไม่เจ้าคะ ?” หลังจากทำร้านอาหารตุ๋นในชาติก่อน นางก็จำอัตราส่วนของเครื่องเทศที่ต้องใช้ในอาหารได้อย่างขึ้นใจ ตอนนี้นางถูกกดดันด้วยเรื่องของเงิน นางจึงไม่อยากเสียของไปโดยเปล่าประโยชน์
เจ้าของร้านลังเลอยู่เล็กน้อย ดวงตาของเขามองสำรวจเด็กทั้งสองและเมื่อเห็นเสื้อผ้าเก่า ๆ โทรม ๆ ของพวกเขาแล้ว สุดท้ายเขาจึงพยักหน้าตกลง
เสี่ยวเฉาตักเครื่องเทศตามสัดส่วนที่นางจำได้อย่างระมัดระวัง เมื่อเจ้าของร้านสังเกตเห็นว่านางไม่ได้พยายามเล่นลูกไม้อะไรและไม่ได้ตักแต่ของแพง ๆ อย่างเดียว เขาก็ลูบเคราพร้อมกับพยักหน้าอย่างพอใจ
พอนางคิดว่าน้ำหนักได้แล้ว ก็พับกรวยปิดแล้วส่งให้เจ้าของร้านชั่ง ตาชั่งของเจ้าของร้านคล้ายกับตาชั่งที่ใช้ในร้านยา มันมีขนาดเล็กเป็นอย่างมากและสามารถชั่งได้อย่างแม่นยำ น้ำหนักที่ชั่งได้คือ 1 เหลียง 3 เฉียน (1 เฉียน = 5 กรัม) คิดเป็นเงินทั้งหมด 25 อีแปะ
เสี่ยวเฉามองถังขนาดใหญ่ 2 ใบนั้นอีกครั้ง นางลังเลนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านปู่เจ้าของร้าน ข้าอยากซื้อซอสถั่วเหลืองกับน้ำส้มสายชูด้วย แต่ข้าไม่ได้เอาที่ใส่มาเลย...”
ชายชราหยิบเอากระบอกไม้ไผ่เล็ก ๆ มา 2 อันแล้วยิ้ม “มิมีปัญหา ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่า ‘ท่านปู่เจ้าของร้าน’ เยี่ยงนั้นปู่ก็จะให้เจ้ายืมกระบอกไม้ไผ่ 2 อันนี้ คราวหน้าที่มาซื้อเครื่องเทศก็ค่อยเอามาคืน เอ้า ! ว่ามาอยากได้ซอสถั่วเหลืองกับน้ำส้มสายชูเท่าใด ?”
กระบอกไม้ไผ่ 2 อันนี้เป็นสินค้าที่เอาไว้ขาย เมื่อใส่ซอสถั่วเหลืองกับน้ำส้มสายชูลงไปแล้ว มันจะทำให้กระบอกไม้ไผ่เปลี่ยนสีและมีกลิ่น หลังจากใช้ไปแล้วมันก็จะเอามาขายไม่ได้อีกต่อไป เสี่ยวเฉาจึงรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ