Re-new ตอนที่ 69 เพิ่มทรัพยากร
ตอนที่ 69 เพิ่มทรัพยากร
หินศักดิ์สิทธิ์ตั้งใจว่าจะไม่สนใจนาง แต่เมื่อมันสัมผัสความเศร้าของนางได้จาง ๆ มันจึงได้เอ่ยขึ้นมาอย่างหยิ่งยโสว่า [ เจ้ามิไว้ใจข้างั้นรึ ? ข้าจะบอกอะไรให้ ช่วงนี้พลังของข้าพัฒนาขึ้นมาก ข้าสามารถมีร่างกายได้แล้วด้วย ตราบใดที่ข้า หินศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ ช่วยชำระเส้นลมปราณและหมุนเวียนพลังชีวิตให้เขาทุกวันแล้วล่ะก็ เขาจะเดินได้ภายในครึ่งเดือนอย่างแน่นอน แต่เขาได้รับบาดเจ็บหนักยิ่งนัก เพราะงั้นเขาอาจจะเดินกะเผลก ]
หยูเสี่ยวเฉาโล่งอกแล้วตอนนี้ นางกอดไปที่เจ้าลูกแมวสีทองอย่างตื่นเต้นและจูบมันสองสามครั้ง จากนั้นก็ได้เอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าแปลงเป็นร่างกายภาพได้ด้วยรึ ? เยี่ยงนั้นก็หมายความว่าพลังของเจ้าพัฒนาขึ้นมากแล้วใช่หรือไม่ ? ดีจังเลยเสี่ยวทังหยวน เจ้าคือดาวนำโชคของข้าอย่างแท้จริง”
หินศักดิ์สิทธิ์รู้สึกอายเล็กน้อยจึงขัดขืนและเอ่ยมาขึ้นว่า [ ออกไป ! วันข้างหน้าข้าจะแปลงกายเป็นเด็กผู้หญิง เจ้าทำเยี่ยงนี้แล้วข้าขนลุก...]
“ฮ่า ๆ ๆ ...” เมื่อเห็นลูกแมวตัวน้อยอาย หยูเสี่ยวเฉาจึงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา
“น้องสาม เกิดอันใดขึ้น ?” เสี่ยวเหลียนที่นอนอยู่ข้าง ๆ สะดุ้งตื่น นางขยี้ตาและถามออกมาด้วยอาการง่วงงุน
“ไม่...ไม่มีอะไร !” เสี่ยวเฉารีบถอดหินหลากสีออกมาแล้วยัดลูกแมวสีทองเข้าไปในผ้าห่มของนาง นางแกล้งทำเหมือนว่าเพิ่งตื่นแล้วเอ่ยว่า “ข้าฝันน่ะก็เลยตื่นมาหัวเราะ...”
“ฝันถึงสิ่งใดกันถึงได้มีความสุขมากถึงเพียงนั้น ?” เสี่ยวเหลียนพลิกตัวและหันมาเผชิญกับนาง หยูเสี่ยวเฉารีบหลับตาเหมือนง่วงมากแล้วตอบกลับไปว่า “จำมิได้แล้ว...”
เสี่ยวเฉากลัวว่าเสี่ยวเหลียนจะถามต่อ จึงหายใจให้ช้าลงและแสร้งทำเป็นหลับ นางไม่รู้ว่าตนเองเผลอหลับไปจริง ๆ เมื่อใดกันแน่...
หลังจากส่งเงิน 5 ตำลึงคืนไปแล้ว พวกเขาก็เหลือเงินไม่มากนัก และไม่สามารถปลูกมันเทศทั้ง 3 แปลงได้จนกว่าจะถึงเดือนห้า อีกทั้งมันยังต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีกว่าจะเก็บเกี่ยวได้ แล้วครอบครัวของพวกเขาจะรอดได้เยี่ยงไรในช่วงครึ่งปีนี้ ?
เสี่ยวเฉาคิดคำนวณทรัพยากรของครอบครัวอย่างละเอียด ในครัวนอกจากกระต่ายป่า 2 ตัวที่เหลือจากงานเลี้ยงแล้ว ยังมีผักกาดขาว 5 หัวและหัวไชเท้าอีกนิดหน่อย มีแป้งสาลีประมาณ 2 ชั่งและแป้งข้าวฟ่าง 4 - 5 ชั่ง แป้งมันคือของที่พวกเขามีเยอะที่สุดแต่ก็ยังเหลือไม่ถึง 10 ชั่ง ในห้องเก็บของหลังบ้านมีมันเทศ 100 กว่าชั่งที่ท่านยายให้พวกเขามา ถ้าพวกเขาอยู่กันแบบประหยัด ๆ ก็สามารถอยู่ได้นานถึงหนึ่งเดือน
พวกเขาเหลือเงินอยู่แค่ 40 อีแปะเท่านั้น จึงตัดสินใจที่จะไม่กินกระต่ายป่า 2 ตัวนั้นและนำมันไปขายที่ตลาดในเมืองซึ่งได้เงินมา 200 กว่าอีแปะ
พายุหิมะคือหายนะอย่างแท้จริง แม้ว่าทางการได้ตรึงราคาสินค้าต่าง ๆ ให้คงที่แล้ว แต่ชาวบ้านทั่วไปก็ยังต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัดอยู่ดี
หยูเสี่ยวเฉาได้รู้ว่าราคาตอนต้นฤดูใบไม้ผลินั้นสูงกว่าตอนที่นางย้ายร่างมาที่นี่เป็นครั้งแรก ราคาในร้านธัญพืชเป็นตัวอย่างที่ดี พวกธัญพืชหยาบอย่างแป้งข้าวฟ่างและแป้งมันแต่เดิมมีราคาอยู่ที่ 2 อีแปะต่อชั่ง แต่ตอนนี้ขึ้นเป็น 3 - 4 อีแปะแล้ว แป้งละเอียดที่ราคา 5 อีแปะต่อชั่งเมื่อปีที่แล้ว ราคาตอนนี้อย่างน้อยก็ 8 อีแปะแล้ว ราคาของแป้งขาวยิ่งสูงขึ้นไปอีก ตอนช่วงสูงสุดมันขึ้นถึง 15 อีแปะต่อชั่ง ส่วนเนื้อหมูก็ราคา 30 อีแปะต่อชั่งแล้ว ขณะที่ราคาไข่ก็ขึ้นสูงมากเช่นกัน
พวกเขามีเงินเหลืออยู่แค่ 260 อีแปะ ครอบครัวของพวกเขาน่าจะกินพวกธัญพืชอย่างน้อย 100 ชั่งต่อเดือน หากคิดคำนวณคร่าว ๆ แล้วพวกเขามีเงินไม่พอซื้อธัญพืชเม็ดหยาบด้วยซ้ำ เฮ้อ...มิน่าเล่าชาวบ้านส่วนใหญ่ถึงกินแป้งสาลีตลอดทั้งปีมิได้
ในความเห็นของนาง แค่ประหยัดคงยังไม่พอ พวกเขาจำเป็นต้องขยายแหล่งที่มารายได้ของพวกเขาด้วย
นางหลิวเองก็เข้าใจดีว่าพวกเขาไม่อาจนั่งอยู่เฉย ๆ และกินอาหารของพวกเขาจนหมดได้ นางจึงออกไปหางานซักผ้าทำในเมืองและต้องไปทุก ๆ 3 วันต่อครั้ง นางออกไปตั้งแต่ยามเหม่าและกลับมาอีกทีก็ยามเซินเข้าไปแล้ว แต่ละครั้งจะได้เงินมา 15 อีแปะ ตอนต้นฤดูใบไม้ผลิอากาศในภาคเหนือก็ยังคงหนาวเย็นอยู่มาก มือของนางหลิวทั้งแดงและบวมเนื่องจากสัมผัสกับน้ำเย็นเป็นเวลานาน หยูเสี่ยวเฉารู้สึกปวดใจเมื่อเห็นนิ้วของนางหลิวแตกจนเลือดออก
ทุกวันเมื่อนางหลิวกลับมา หยูเสี่ยวเฉาจะเตรียมน้ำร้อนที่แช่หินศักดิ์สิทธิ์มาช่วยอุ่นมือและเท้าของนางหลิว ด้วยการบำรุงของน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ มือที่โดนความเย็นกัดของนางหลิวก็หายภายในไม่กี่วัน ส่วนที่ด้านบนมือของนางก็หายไปด้วย มือของนางขาวเนียนขึ้นมากจนนางไม่ต้องกังวลว่าจะขูดกับด้ายตอนที่เย็บผ้าอีกต่อไปแล้ว
ตอนที่แม่ของพวกเขาไปทำงาน หยูเสี่ยวเหลียนรับหน้าที่ทำงานบ้านทั้งหมดราวกับว่าเป็นแม่บ้านตัวเล็ก ๆ นางเก็บฟืน, ทำอาหาร, ซักผ้า, และทำความสะอาดลานหญ้า ยามว่างก็จะนั่งอยู่ใต้ต้นไม้รับแสงแดดเย็บถุงผ้าและผ้าเช็ดหน้าเพื่อหารายได้ช่วยเหลือครอบครัว
ฝีมือเย็บผ้าของหยูเสี่ยวเหลียนเกือบเทียบกับฝีมือของนางหลิวได้แล้ว เพียงแต่ก่อนที่พวกเขาจะแยกบ้านออกมา นางยุ่งมากเสียจนมิมีเวลาเย็บผ้า
หยูเสี่ยวเฉาชื่นชมเด็กหญิงอายุ 8 ขวบผู้นี้ยิ่งนัก หากเป็นที่โลกเก่าของนาง เสี่ยวเหลียนคงอยู่แค่ประถมศึกษาปีที่ 2 เท่านั้น แต่ในโลกนี้นางกลับต้องรับภาระงานส่วนใหญ่ของครอบครัวไว้บนบ่าเล็ก ๆ ของนางไว้ทั้งหมด
ความจริงแล้วเสี่ยวเฉาควรเรียกนางว่า ‘พี่’ แต่ตอนที่เจ้าของร่างเดิมยังอยู่ นางก็มิเคยเรียกเสี่ยวเหลียนว่าพี่เลยสักครา เหตุผลก็คือตอนที่นางหลิวคลอดนั้น พวกเขามิได้คิดว่านางจะคลอดลูกแฝด ระหว่างที่สับสนอยู่นั้นหมอตำแยก็ได้จับเอาพวกนางรวมกันจนไม่รู้ว่าใครเป็นพี่ใครเป็นน้อง
ต่อมาเนื่องจากสุขภาพที่อ่อนแอของเสี่ยวเฉา เสี่ยวเหลียนก็จะคอยดูแลปกป้องนางอยู่เสมอ ดังนั้นคนในครอบครัวจึงเริ่มเรียกเสี่ยวเหลียนว่า ‘พี่’ และเสี่ยวเฉาก็กลายเป็นน้องไปโดยปริยาย
แต่เสี่ยวเฉารู้สึกว่าตนเองคือพี่มาตลอดและไม่ยอมเรียกเสี่ยวเหลียนว่าพี่เลยสักครา ครอบครัวเลยตัดสินใจว่าปล่อยให้นางเรียกไปอย่างที่ต้องการโดยมิแก้ไข...
บ้านเก่าที่ได้รับการปรับปรุงใหม่นี้มีลานหญ้าขนาดใหญ่ อย่างน้อย ๆ ก็หนึ่งหมู่ครึ่ง มีทางเข้าเล็ก ๆ ในลานหลังบ้านที่นำไปสู่สระน้ำด้านหลัง ในช่วงปลายฤดูหนาวต้นฤดูใบไม้ผลิเยี่ยงนี้มีฝนตกเล็กน้อย ระดับน้ำในสระจึงต่ำเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีที่ดินว่างเปล่าที่อุดมสมบูรณ์อยู่ข้างสระน้ำอีกด้วย เสี่ยวเฉาจึงวางแผนที่จะใช้ที่ว่างทั้งด้านหน้าและด้านหลังบ้านของพวกเขาปลูกพืชผัก
ในยุคปัจจุบันมีการทำการเกษตรเรือนกระจก ผักส่วนใหญ่จึงไม่จำกัดเฉพาะบางฤดูกาล ทุกคนสามารถซื้อผักอะไรก็ได้ที่ต้องการจากซุปเปอร์มาร์เก็ตได้ตลอดทั้งปี แต่ในยุคโบราณเช่นนี้ ช่วงปลายฤดูหนาวต้นฤดูใบไม้ผลิเป็นเวลาที่ผลผลิตใหม่ยังไม่สุกงอม ต่อให้อยากกินผักใบเขียวและมีกำลังมากพอที่จะซื้อ แต่มันก็มิมีให้ซื้อ ถ้ามีคนปลูกผักใบเขียวในตอนนี้ได้ พวกเขาก็จะขายได้ราคาดีเป็นแน่
เนื่องจากข้อจำกัดของสภาพความเป็นอยู่ของนาง เสี่ยวเฉาจึงไม่สามารถสร้างเรือนกระจกขนาดใหญ่ได้ แต่นางก็ไม่คิดที่จะสร้างอยู่แล้ว นางมั่นใจยิ่งนักว่าฮ่องเต้ก็ทรงย้ายร่างมาเกิดใหม่ที่นี่เช่นกัน นางจึงไม่อยากกระทำตนให้เป็นที่น่าจับมองมากจนเกินไป นางเลยตัดสินใจที่จะสร้างโชคลาภอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น
ถึงเยี่ยงนั้นนางก็สามารถใช้อุณหภูมิในร่มปลูกผักไปก่อนได้ จากนั้นค่อยย้ายพวกมันไปที่ลานหญ้าตอนที่อากาศอุ่นขึ้น ด้วยวิธีการนี้พวกเขาก็จะสามารถขายผักที่ตลาดได้เร็วขึ้นถ้าปลูกตั้งแต่ต้นฤดูใบไม้ผลิ
ขณะที่เสี่ยวเฉากำลังพิจารณาประเภทของดินที่ควรใช้ หินศักดิ์สิทธิ์ก็บ่นพึมพำอยู่ข้างหูของนาง [ เหตุใดต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้นด้วย ? ก็แค่แช่เมล็ดพันธุ์ในน้ำอาบของข้าก็สามารถปลูกได้แล้ว มันจะทำให้ต้านทานความหนาวเย็นและแมลงศัตรูพืชได้ อีกทั้งยังช่วยให้ผลผลิตโตเร็วขึ้นอีกด้วย... ! ]
หยูเสี่ยวเฉารู้สึกดีใจยิ่งนักที่ได้ยินเช่นนั้น นางเอาทังหยวนน้อยมากอดแล้วจูบไปที่มันหลายที ทำให้หินศักดิ์สิทธิ์ต้องห้ามนางซ้ำแล้วซ้ำอีก
ตอนนี้หินศักดิ์สิทธิ์อยู่ในร่างของลูกแมวน้อยและกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวไปแล้ว ส่วนที่มาของมันหยูเสี่ยวเฉาอธิบายว่านางเจอมันที่เชิงเขาตอนไปเก็บฟืน พอเห็นว่ามันกำลังจะหนาวตายนางก็เลยพามันกลับมาบ้านด้วย
คนทั้งบ้านยอมรับแมวน้อยจอมหยิ่งทันที มันจึงกลายเป็นสัตว์เลี้ยงตัวที่สองของครอบครัวถัดจากเจ้ากวางโรน้อย
แต่หินศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ได้สนใจผู้อื่นเลยยกเว้นหยูเสี่ยวเฉาเจ้านายของมัน สิ่งที่มันชอบทำทุกวันก็คือนอนอยู่บนหัวของเจ้านายแล้วหลับไป หากมองไกล ๆ แล้วดูเหมือนเสี่ยวเฉาสวมเครื่องประดับผมสีทองไว้บนหัว
หยูเสี่ยวเฉามีความสุขมากยิ่งนักเมื่อรู้ว่าน้ำอาบของหินศักดิ์สิทธิ์สามารถเพิ่มคุณภาพเมล็ดพันธุ์พืชได้ “เสี่ยวทังหยวน เจ้าคือสุดยอดดาวนำโชคของข้า ! เยี่ยงนั้นข้าจะไปไถหน้าดินประเดี๋ยวนี้เลย... !”
หยูเสี่ยวเฉาคว้าจอบและเดินไปไถหน้าดินท่ามกลางสายตางุนงงของหยูไห่และเสี่ยวเหลียน
เสี่ยวทังหยวนเดินวนรอบ ๆ เท้าของนางและเอ่ยด้วยเสียงที่มีแต่เสี่ยวเฉาเท่านั้นที่ได้ยินว่า [ ถ้ามิใช่เพราะการช่วยเจ้ามันจะช่วยปลดพันธนาการของเทพีแห่งวิญญาณได้ล่ะก็ ข้าจะมิเสียเวลาช่วยเจ้าเลย นี่นอกจากต้องช่วยรักษาขาให้พ่อของเจ้าแล้ว ยังต้องเอาน้ำอาบของข้ามาแช่เมล็ดพืชอีก ข้าต้องเติมพลังวิญญาณ ข้าอยากให้เจ้าโยนข้าลงไปในถังน้ำขนาดใหญ่นั่น...]
การสัมผัสน้ำบ่อย ๆ จะช่วยฟื้นฟูพลังของมันได้ ปกติเสี่ยวเฉาจะให้มันอาบน้ำในหม้อ แต่มันสนใจถังน้ำในลานหญ้ามานานแล้ว
ในที่สุดหยูเสี่ยวเฉาก็ยอมแพ้เสียงบ่นจู้จี้เหมือนพระถังซัมจั๋งของมัน นางจึงถอดหินศักดิ์สิทธิ์ออกจากข้อมือแล้วโยนมันลงถังน้ำ เจ้าลูกแมวกระโดดขึ้นไปบนถังน้ำแล้วนั่งอยู่ตรงขอบถังพลางแกว่งหางไปมา ฉีโตวอดเป็นห่วงมันไม่ได้ เขากลัวว่ามันจะผลัดตกลงไปในถังน้ำ ตั้งแต่นั้นมาน้ำที่ครอบครัวของเสี่ยวเฉาใช้ไม่ว่าจะล้างผักซักผ้าล้วนเป็นน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด
“กำลังทำอะไรกันอยู่รึ ?” นางหลิวกลับมาจากทำงานแล้ว มือของนางถูกความเย็นกัดเสียจนแดงไปหมด เมื่อนางเห็นหยูไห่กับลูก ๆ กำลังคุกเข่าอยู่ในลานหญ้าและพลิกหน้าดินกันอย่างตื่นเต้น นางจึงเอ่ยถามออกมาอย่างสงสัย
ตอนนี้หยูไห่เดินได้สองสามก้าวโดยไม่ต้องใช้ไม้ค้ำแล้ว เขากำลังอารมณ์ดียิ่งนัก ดังนั้นเมื่อลูกสาวคนรองแนะนำให้พวกเขาไถหน้าดินและปลูกผัก เขาจึงเข้ามาช่วยโดยไม่ลังเลเลย เขาดึงหญ้าออกจากบริเวณที่ไถดินแล้วและโยนมันไปด้านข้าง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาตอบนางหลิวว่า “เฉาเอ้อร์จะปลูกผักที่ลานด้านหน้ากับด้านหลัง วันข้างหน้าพวกเรามิต้องกังวลเรื่องมิมีอะไรกินแล้ว ลูกสาวของเราเก่งมาก ๆ เลยล่ะ !”
นางหลิวในตอนนี้มีหลากหลายอารมณ์ นางทั้งงุนงงและขำขัน นางเอ่ยว่า “พวกเราต้องปลูกผักแน่นอนอยู่แล้ว แต่นี่เพิ่งเดือน 2 มิใช่รึ น้ำในถังยังเย็นเฉียบอยู่เลย เราไม่จำเป็นต้องรีบหว่านเมล็ดสักหน่อย แล้วจะรีบไถดินไปทำไมกัน ?”
“เราไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ก็ไถดินกันก่อนก็ได้นี่” ในเรื่องตามใจลูก ๆ นั้นถ้าหยูไห่บอกว่าตัวเองเป็นที่สองก็คงมิมีใครกล้าขึ้นเป็นอันดับหนึ่งเป็นแน่ เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูก ๆ ของเขา ยิ่งเรื่องที่ควรทำอยู่แล้วอย่างไถหน้าดินปลูกผักนี่ยิ่งมิต้องเอ่ยถึง
นางหลิวเอาชนะพวกเขาไม่ได้ นางจึงม้วนแขนเสื้อขึ้นและมาช่วยทำงาน ตกเย็นที่ดินหนึ่งหมู่ครึ่งตรงลานด้านหน้าและลานด้านหลังก็ถูกพลิกหน้าดินจนหมด เหลือไว้แต่ทางเดินเล็ก ๆ ตรงกลางเท่านั้น
เย็นวันนั้นเสี่ยวเฉาก็ได้ขอเมล็ดที่ยายส่งมาให้จากนางหลิว นางหลิวมองหน้านางและถามออกไปว่า “เฉาเอ้อร์ เจ้าจะปลูกผักตอนนี้เลยรึ ? มันยังมิถึงเวลาเลย ถ้าหากเจ้าหว่านเมล็ดตอนนี้มันจะไม่งอกแล้วจะเสียเมล็ดไปโดยเปล่าประโยขน์”
“ท่านแม่เจ้าคะ เมื่อคืนเทพแห่งโชคลาภมาสอนข้าอีกแล้ว ท่านสอนวิธีรักษาความอบอุ่นให้พื้นที่ปลูกพีชผัก คิดดูสิเจ้าคะ ตอนที่ผักของคนอื่น ๆ เพิ่งจะงอก แต่ผักของเราก็ขายได้แล้ว พวกชาวบ้านกินหัวไชเท้ากับผักกาดขาวมาตลอดทั้งฤดูหนาวแล้ว หากเป็นเยี่ยงนั้นถึงราคาผักจะแพงแต่พวกเขาก็ต้องซื้อผักของพวกเราอย่างแน่นอน !” เสี่ยวเฉาที่จิตวิญญาณเป็นคนสมัยใหม่นั้นรู้ดีกว่าใครในเรื่อง ‘กักตุนสินค้าหายากและขายในราคาแพง’ มันคือกลยุทธ์ทางการตลาด