Re-new ตอนที่ 68 งานขึ้นบ้านใหม่
ตอนที่ 68 งานขึ้นบ้านใหม่
ซุปกระดูกหมูรสเข้มข้นถูกเคี่ยวมาตลอดทั้งคืน อาหารหลักสำหรับงานเลี้ยงคือหมั่นโถวที่ทำจากแป้งสาลีผสมแป้งข้าวฟ่าง
ทุกโต๊ะมีจานผัก 8 จาน จานเนื้อ 4 จาน และซุป 1 ถ้วย งานเลี้ยงทั้งหมดถูกจัดขึ้นในหมู่บ้าน งานเลี้ยงนี้นับว่าเป็นหนึ่งในงานเลี้ยงที่ดีที่สุด นอกจากนี้อาหารบางอย่างก็ไม่มีชาวบ้านคนไหนเคยกินมาก่อน ถึงจะใช้วัตถุดิบเรียบง่ายแต่ก็ทำออกมาได้อร่อยเป็นพิเศษ ทุกคนที่กินอาหารในงานเลี้ยงพากันชมไม่ขาดปาก
ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วบางคนและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนางหลิวก็มาแอบถามนางว่ามีวิธีทำอาหารให้หลากหลายและอร่อยทั้ง ๆ ที่ใช้แค่หัวไชเท้ากับผักกาดขาวได้เยี่ยงไร นางหลิวมองไปที่ลูกสาวของนางอย่างรักใคร่และตอบด้วยความภูมิใจว่า “อาหารส่วนใหญ่เสี่ยวเฉาเป็นคนคิดขึ้นมา นางเพียงบอกข้ากับพี่สะใภ้ใหญ่ว่าต้องทำเยี่ยงไรบ้าง”
ชาวบ้านทุกคนต่างรู้เรื่องของหยูเสี่ยวเฉาลูกสาวคนรองของนางหลิวกันอยู่แล้ว หลังจากหัวกระแทกหมดสติไปเมื่อตอนฤดูร้อนที่ผ่านมา นางก็จำอะไรไม่ได้หลายอย่าง แต่ไม่มีใครคิดว่านางจะฉลาดขึ้นและมีชีวิตชีวามากขึ้นทั้ง ๆ ที่เสียความทรงจำส่วนใหญ่ไป อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ในการทำอาหารอีกด้วย พวกเขาพากันชมนางครั้งแล้วครั้งเล่า
นางหลี่โผล่มาตอนที่จัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วพอดี นางมองสำรวจบ้านเก่าที่ถูกซ่อมแซมใหม่หลังนั้นแล้วรู้สึกอิจฉาขึ้นมา จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “พวกเราไม่โชคดีเท่าน้องสะใภ้ ครอบครัวของเจ้าได้อยู่ในบ้านหลังใหญ่อีกทั้งยังมีลานหญ้าหน้าบ้านอีกด้วย !”
ในครัวคึกคักวุ่นวายกันไม่น้อย เหล่าสหายในหมู่บ้านของนางหลิวพากันมาช่วยก่อนเวลาตั้งแต่เช้าตรู่ หยูไซตี้ก็มาช่วยล้างผักจัดโต๊ะด้วยทั้ง ๆ ที่นางจางไม่อนุญาต
ตรงกันข้ามกับนางหลี่ที่แค่เอาอาหารออกมายังไม่คิดจะทำ นางดึงลูกชายไปนั่งแล้วทิ้งตัวลงนั่ง ตอนกินก็สวาปามอย่างตะกละตะกลามราวกับอดอยากมานาน ตะเกียบของนางหลี่โฉบไปมาอย่างรวดเร็วและคีบเอาเนื้อและผักชิ้นที่ใหญ่ที่สุดใส่ถ้วยของตนเองและลูกชาย เพื่อนร่วมโต๊ะของพวกเขาได้แต่มองอย่างรังเกียจและพากันส่ายหน้า
งานเลี้ยงมีโต๊ะทั้งหมด 10 โต๊ะ นางหลิวเตรียมอาหารไว้มากจนเกินพอ แต่ละจานจึงมีอาหารเหลือเยอะทีเดียว
หลังจากที่นางหลี่กินจนอิ่ม นางก็ไม่ได้กลับไปทันทีและนั่งขี้เกียจอยู่ในลานหญ้า โดยทั่วไปแล้วอาหารที่เหลือจะถูกแบ่งให้กับคนที่มาช่วยเตรียมอาหาร
แต่นางหลี่กลับพังธรรมเนียมทั้งหมด นางไม่ได้ช่วยทำอาหารและไม่ได้ช่วยเก็บล้างเลยสักนิด ตรงกันข้ามพอถึงเวลาแบ่งอาหารที่เหลือ นางกลับหน้าด้านเบียดเข้ามาและเอ่ยว่า “แหม ! น้องสะใภ้รอง พวกเจ้ากินอาหารหมดนี่มิไหวหรอก ให้ข้าเอากลับบ้านบ้างสักเล็กน้อยสิ ท่านแม่กับน้องสามจะได้ลองชิมฝีมือการทำอาหารของเจ้าไง... !”
“เมียต้าชานทำเยี่ยงกับว่ามิเคยกินอาหารฝีมือน้องสะใภ้ก่อนแยกบ้าน ผ่านไปเพียงไม่กี่วันก็คิดถึงฝีมือทำอาหารของนางแล้วรึ ?”
ภรรยาของไห่ซิงเพื่อนบ้านข้าง ๆ บ้านตระกูลหยูเป็นผู้หญิงฉลาดทันคนและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนางหลิว ทั้งสองคนไปเก็บฟืนเก็บผักหญ้าด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งนางก็จะขอคำแนะนำจากนางหลิวเรื่องการเย็บผ้า ตอนนี้นางกำลังพูดแดกดันนางหลี่อย่างเห็นได้ชัด
นางหลี่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน นางคว้ากะละมังที่ล้างสะอาดแล้วมาและเริ่มต้นเอาอาหารใส่ในกะละมัง นางเจาะจงเลือกอาหารที่มีเนื้อเช่นเนื้อกระต่ายและเนื้อไก่ สุดท้ายอาหารที่มีเนื้อเกือบครึ่งก็หายไปกับนาง อาหารในกะละมังกองพะเนินเป็นภูเขา นางมองไปที่หม้อซุปอย่างละโมบและฝืนใจกลับไป
เมื่อไห่สือได้ยินเสียงแม่ของเขาเรียก เขาก็วิ่งออกจากลานด้านหลัง ในมือมีไก่ฟ้าตัวเล็กที่ถูกมัดปีกเอาไว้ เขาเอ่ยอย่างหน้าด้าน ๆ เลยว่า “ท่านอารอง หลังบ้านอายังมีกระต่ายป่า 2 ตัวกับไก่ฟ้าอีกตัวหนึ่ง เยี่ยงนั้นข้าขอตัวนี้กลับบ้านเถอะนะ ข้าไม่ได้กินเนื้อมาเป็นเดือนแล้ว”
หยูเสี่ยวเฉาอยากจะหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ ‘แล้วใครมันกินไก่ไปเกือบครึ่งกันเล่า ? เนื้อกระต่ายกับไก่หายลงไปอยู่ในท้องคนอื่นเยี่ยงไรกัน ? ’
นางหลิวคุ้นเคยกับนิสัยสองแม่ลูกนี้ดีและไม่อยากยุ่งกับพวกเขา นางแค่อยากให้ปีศาจสองคนนี้กลับไปให้เร็วที่สุด พวกผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่ช่วยงานได้แต่ส่ายหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ หยูไห่ขาเจ็บ นางหลิวก็ทำงานหนักไม่ได้ ลูก ๆ ของพวกเขาก็ยังเล็ก นางหลี่เป็นสะใภ้ใหญ่แต่กลับไม่ช่วยอะไรเลย อีกทั้งยังเอาของจากพวกเขาไปอีก นางหลิวโชคร้ายจริง ๆ ที่มีญาติเยี่ยงนาง
หลังจากส่งคนที่มาช่วยงานกลับไปแล้ว นางเหยาจึงเอ่ยลาครอบครัวของลูกสาวนาง เนื่องจากเย็นมากแล้วหากดูจากสีของท้องฟ้า นางกลับบ้านไปพร้อมกับลูกสะใภ้ใหญ่ คืนนั้นหยูเสี่ยวเฉากับพี่น้องทั้งสองของนางนอนเบียดกันอยู่บนเตียงของพ่อกับแม่ ทั้งห้าคนกำลังนับค่าใช้จ่ายด้วยกัน
“ถึงเราจะไม่ต้องเสียเงินจ้างคนมาสร้างบ้าน แต่พอรวมค่าวัตถุดิบกับข้าวของเครื่องใช้ที่ซื้อมา เราก็ใช้เงินไปแล้วประมาณ 5 ตำลึง การสร้างบ้านนี่เหนื่อยอย่างแท้จริง ถึงทุกคนจะเอาอาหารมาเอง แต่เสี่ยวเฉาก็ได้เสนอให้เราเอาหมั่นโถวกับโจ๊กให้ทุกคนเป็นอาหารกลางวัน หมั่นโถวทำจากแป้งสาลีผสมแป้งข้าวฟ่างไม่ก็แป้งมัน ทั้งหมดนั่นราคา 1 ตำลึง” ตอนที่บ้านกำลังสร้าง ขาของหยูไห่ยังเจ็บอยู่ ดังนั้นเขาจึงต้องจำใจอยู่ที่บ้านใหญ่ ตอนนี้นางหลิวกำลังบอกค่าใช้จ่ายให้เขาได้รับรู้
หยูไห่ขยี้หัวของเสี่ยวเฉาแล้วยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “เฉาเอ้อร์ทำถูกแล้ว ถึงเราจะไม่มีเงินมากนัก แต่เราจะปล่อยให้คนที่มาช่วยเราทนหิวมิได้ ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็มิได้มีกินมากนัก ตอนเช้าพวกเขาน่าจะกินแผ่นแป้งกันมาบ้างแล้ว แต่มันไม่พออยู่ถึงยามอู่หรอก พวกเราต้องเพิ่มอาหารให้พวกเขา ข้าได้ยินท่านพี่หลี่ชมครอบครัวเราว่าซื่อสัตย์และจริงใจ เพราะหมั่นโถวของเราใส่แป้งสาลีตั้งครึ่งหนึ่ง เขาบอกว่าเขาเอาขนมที่ทำจากแป้งถั่วมากินด้วยเพราะไม่อยากกินหมั่นโถวของเรา เขาอยากเอากลับไปให้ลูก ๆ ของเขากินมากกว่า”
หมู่บ้านตงชานเป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ที่อยู่ติดทะเล ชาวบ้านส่วนใหญ่ประทังชีวิตด้วยการหาปลา พื้นที่โดยรอบส่วนใหญ่เป็นทรายและปลูกพืชได้จำกัด ครอบครัวส่วนใหญ่จะกินแต่แป้งถั่ว, แป้งมัน และแป้งข้าวฟ่างเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรต มีเพียงช่วงฉลองปีใหม่เท่านั้นที่พวกเขาจะยอมซื้อแป้งสาลีมากิน ดังนั้นหมั่นโถวที่ประกอบด้วยแป้งสาลีจึงนับว่าเป็นของอร่อยในสายตาชาวบ้าน
นางหลิวมองลูกสาวคนรองที่ฉลาดเฉลียวขึ้นทุกวัน นางยิ้มแล้วเอ่ยว่า “วัตถุดิบส่วนใหญ่ในงานเลี้ยงวันนี้ พี่จ้าวให้พวกเรามา ส่วนเนื้อหมูเราก็ใช้เงินซื้อไป 300 อีแปะ ถ้ารวมเงินที่ใช้ซื้อธัญพืชกับผักด้วยทั้งหมดก็ประมาณ 1 ตำลึง ตอนแรกเรามีเงินอยู่ทั้งหมด 12 ตำลึง แต่ตอนนี้เหลือเพียงแค่ประมาณ 5 ตำลึงเท่านั้น”
หยูไห่คิดนิดนึงแล้วเอ่ยว่า “ครอบครัวท่านแม่ของเจ้าก็ลำบาก ยังยืมเงินจากผู้อื่นมาให้พวกเราตั้ง 10 ตำลึง พวกเราจะให้ท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้าแบกหนี้ให้แทนพวกเรามิได้เป็นอันขาด พรุ่งนี้นำเงิน 5 ตำลึงที่เหลือไปคืนท่านแม่เสียเถิด ถึงเราจะลำบากขึ้นสักหน่อยก็มิเป็นไรหรอก แต่เราจะเป็นตัวถ่วงให้ครอบครัวของท่านแม่มิได้”
นี่คือความหมายของครอบครัว เมื่อมีคนต้องการความช่วยเหลือ คนอื่น ๆ ก็ช่วยกันสุดชีวิต ทุกคนร่วมมือกันและเป็นห่วงซึ่งกันและกัน...
เสี่ยวเฉารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในการมีครอบครัว แม้ว่านางจะอยู่อย่างยากจน แต่นางก็ไม่ได้ดิ้นรนอยู่เพียงลำพัง นางยังมีพ่อ, แม่ และพี่น้องอยู่ด้วย เด็กหญิงยิ้มสดใสและขยับไปอยู่ข้าง ๆ พ่อของนาง นางยกผ้านวมที่คลุมขาของเขาออกและเอ่ยว่า “ได้เวลานวดขาแล้วเจ้าค่ะ ให้ข้าได้ดูแลท่านพ่อนะเจ้าคะ”
บาดแผลที่ขาของหยูไห่หายเร็วเป็นอย่างมาก สะเก็ดแผลส่วนใหญ่ก็หลุดออกไปแล้ว ไม่กี่วันก่อนหยูเสี่ยวเฉาเข้าเมืองเพื่อพาพ่อของนางไปตรวจที่ร้านยาถงเหรินและพบกับหมอซุนที่เคยกล่าวว่าเขาไม่สามารถทำอันใดได้แล้ว หมอซุนมีสีหน้าตื่นตระหนกและร้องอุทานออกมาอย่างตื่นเต้นไม่หยุด
ต่อให้เป็นสมัยใหม่สิ่งนี้ก็ยังนับว่าเป็นปาฏิหาริย์ ขาของเขาเละเสียไม่มีชิ้นดี ไม่มีเนื้อส่วนไหนที่ไม่ถูกฉีกออก ที่ด้านหลังมีรูขนาดใหญ่จนแทบจะเห็นไปถึงอวัยวะภายใน หยูไห่หมดสติเนื่องจากแผลสาหัสที่ขา การที่เขายังยืนได้และมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความช่วยเหลือของยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ในปัจจุบันนั้นเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ถ้านี่มิใช่ปาฏิหาริย์ แล้วเยี่ยงไรถึงจะใช่เล่า ?
ในเวลานี้หมอซุนรู้สึกตื่นตะลึงมากและเอ่ยได้เพียงแค่ว่าร่างกายของเขาดีขึ้นมากและเขาต้องมีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะมีชีวิตอยู่ เขาต้องมีเทพคอยดูแลอยู่เป็นแน่
หลังจากตรวจสอบขาของเขาและแผลที่หลังแล้ว เขาก็จับชีพจรของหยูไห่อีกครา หลังจากแน่ใจว่าไม่มีปัญหาอะไร หมอซุนจึงเอ่ยว่า “เจ้ามิต้องกินยาแล้ว อาการบาดเจ็บที่เส้นเอ็นและเส้นเลือดที่ขานั้นหนักหนายิ่ง ควรนวดขาบ่อย ๆ หมอก็รับรองมิได้หรอกนะ แต่ในอนาคตเจ้าอาจจะเดินได้ด้วยตนเองโดยมิต้องใช้ไม้ค้ำ !”
ตอนนั้นหยูเสี่ยวเฉาขอคำแนะนำจากหมอซุนเรื่องวิธีการนวดและได้จดบันทึกเอาไว้อย่างละเอียด ตั้งแต่นั้นมานางก็ใช้ช่วงที่นวดเป็นโอกาสในการใช้หินศักดิ์สิทธิ์รักษาอาการบาดเจ็บที่ขาของหยูไห่ นางให้หินศักดิ์สิทธิ์ใช้พลังวิญญาณของมันรักษาเอ็นกล้ามเนื้อและเส้นเลือดที่บาดเจ็บ
หินหลากสีบนข้อมือนางดูเหมือนจะเลื่อนไปบนรอยแผลเป็นที่ไขว้กันไปมาบนขาของหยูไห่อย่างไม่ได้ตั้งใจขณะที่นางนวด มีเพียงเสี่ยวเฉาที่มองเห็นแสงสีทองจาง ๆ ไหลเข้าไปในหลอดเลือดแดงและดำที่ขาของเขาอย่างช้า ๆ
หยูไห่รู้สึกได้แค่ว่าเมื่อใดก็ตามที่ลูกสาวนวดขาให้เขา ความรู้สึกอุ่นสบายจะตามมา ความเจ็บปวดที่ขาจะค่อย ๆ หายไป เขาหลับตาลงด้วยความง่วงและหลับไปทั้งอย่างนั้น...
“เฉาเอ้อร์ เจ้าเหนื่อยมากแล้ว เจ้าสอนแม่นวดบ้างสิ คราหน้าแม่จะได้นวดให้ท่านพ่อของเจ้าเอง” นางหลิวเห็นลูกสาวสะบัดมือที่ปวดจึงรู้สึกแย่ขึ้นมา
เสี่ยวเฉาส่ายหน้าและเอ่ยว่า “นี่เป็นโอกาสแสดงความกตัญญูของข้านะท่านแม่ อย่าได้ห้ามข้าเลย เสี่ยวเหลียนก็ขอให้ข้าสอนตั้งหลายคราข้ายังมิยอมสอนเลย ท่านพ่อกับท่านแม่ดีกับข้าและต้องลำบากเพื่อข้ามามากแล้ว เป็นการถูกต้องสมควรแล้วที่ข้าจะช่วยนวดขาให้ท่านพ่อ”
หลังทำงานหนักมาทั้งวัน ทั้งครอบครัวก็หลับกันแต่หัวค่ำ หยูเสี่ยวเฉานอนเงียบ ๆ อยู่บนเตียง ใต้ร่างของนางปูฟางข้าวเอาไว้และผ้าห่มที่คลุมตัวนางก็มีก้อนฝ้ายยัดไว้ในผ้าเป็นแผ่น ๆ แล้วเย็บติดกัน แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่มันก็ยังอบอุ่นและสบายกว่าเตียงเก่า ๆ โทรม ๆ ที่เบียดกันนอนทั้งครอบครัวในบ้านเก่า
หลังจากแน่ใจว่าเสี่ยวเหลียนที่นอนอยู่ข้าง ๆ หลับสนิทแล้ว เสี่ยวเฉาจึงยกข้อมือซ้ายขึ้นและเอ่ยกับหินศักดิ์สิทธิ์ว่า “ทังหยวนน้อย ทังหยวนน้อย... !”
[ ถ้าเจ้าไม่เลิกเรียกข้าด้วยชื่อนั้นล่ะก็ ข้าจะไม่ตอบเจ้าอีกแล้ว ! ] แสงสีทองจาง ๆ ปรากฏขึ้นและรวมตัวกันเป็นลูกแมวน้อยสีทองที่มีหัวใหญ่และหูตั้ง เพื่อนตัวน้อยจ้องไปที่เสี่ยวเฉาอย่างขุ่นเคือง
หยูเสี่ยวเฉาใช้ปลายนิ้วจิ้มหัวลื่น ๆ ของมันแล้วยิ้มกว้าง “ตกลง ๆ ! ข้าไม่เรียกเจ้าว่าทังหยวนน้อยก็ได้ แต่จะให้ข้าเรียกว่าเยี่ยงไรดีล่ะ ? เช่นนั้นก็ตั้งชื่อใหม่แล้วกัน อ่า...เสี่ยวกวงโถว (เจ้าโล้นน้อย) เป็นเยี่ยงไร ?”
ลูกบอลสีทองกระพือปีกเพื่อหลบนิ้วของเสี่ยวเฉา มันหงุดหงิดเป็นอย่างมาก [ วันข้างหน้าเมื่อข้ามีร่างของตนเองแล้ว ข้าจะเป็นผู้หญิง ‘เสี่ยวกวงโถว’ เป็นชื่อที่โคตรแย่ ข้ามีชื่อที่เจ้าแม่หนี่วาตั้งให้อยู่แล้ว ชื่อว่า ‘หยวนซือ’ (วงกลม) ฟังดูดีใช่หรือไม่ ? ]
“พรืด...หยวนซือ ? เยี่ยงนั้นข้าก็ฟางซือ (สี่เหลี่ยม) น่ะสิ ! มิเห็นว่ามันจะดีเท่าเสี่ยวทังหยวน (บัวลอยน้อย) เลย ชื่อนั่นบอกถึงรูปร่างกลม ๆ ของเจ้าอีกทั้งยังฟังดูน่ารักออก ข้าตัดสินใจได้แล้ว ข้าจะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวทังหยวน เจ้าบ่นไปก็เท่านั้นแหละ !” หยูเสี่ยวเฉาบังคับตั้งชื่อให้หินศักดิ์สิทธิ์
“เสี่ยวทังหยวน ตามความเห็นเจ้าแล้วอีกนานหรือไม่กว่าขาของท่านพ่อของข้าจะดีขึ้น ? คิดว่าเขาจะเดินได้เช่นเดิมหรือไม่ ?” หยูเสี่ยวเฉาถามด้วยน้ำเสียงกังวลเล็กน้อย ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ แม้ว่าท่านพ่อจะยิ้มอยู่เสมอเวลาอยู่ต่อหน้าพวกเขา แต่นางบอกได้ว่ามีความโดดเดี่ยวอยู่จาง ๆ ในรอยยิ้มนั้น
ท่านพ่อเคยเป็นคนที่กระตือรือร้นและมองโลกในแง่ดี เขาเก่งเรื่องการหาปลาล่าสัตว์และทำเครื่องมือไม้ไผ่แบบง่าย ๆ ได้ ถ้าเขาต้องใช้ไม้ค้ำไปตลอดชีวิต นางพนันได้เลยว่านั่นจะทำให้เขาหดหู่มากเสียทีเดียว...