Re-new ตอนที่ 66 ครอบครัวทางแม่
ตอนที่ 66 ครอบครัวทางแม่
นางหลิวตอบอย่างเกรงใจว่า “เสี่ยวฮัน ที่นี่มิมีอันใดให้ทำมากนักหรอก มีอาหญิงโจวช่วยแล้ว เจ้ามิต้องช่วยหรอก...”
“ท่านอาหญิงเอ่ยออกมาราวกับข้าเป็นคนนอก ข้ากับเสี่ยวเฉาและฉีโตวนับถือกันเหมือนเป็นพี่น้องจริง ๆ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะขอรับ ถ้าหากมีสิ่งใดให้ช่วยก็บอกได้เลยนะขอรับ”
ฉีโตวยิ้มกว้างอย่างมีความสุข “ท่านพี่ฮัน ครอบครัวของพวกเราจะได้อยู่ใกล้ ๆ กันแล้ว ข้าจะได้ไปหาท่านพี่ฮันได้ง่ายขึ้น ข้าได้กินอาหารที่บ้านท่านพี่อยู่บ่อยๆ คราวนี้ท่านพี่ต้องมาลองชิมอาหารฝีมือพี่สามบ้างแล้วนะ พี่สามทำอาหารเก่งมาก ๆ เลยล่ะ ทำบะหมี่แป้งถั่วให้อร่อยกว่าแป้งสาลีก็ได้อีกด้วย”
“ได้เลย ! เช่นนี้ก็เป็นลาภปากของข้าแล้วล่ะสิ” จ้าวฮันเงยหน้าขึ้นมองด้านหลังของเสี่ยวเฉาแวบหนึ่ง แล้วก้มลงตัดวัชพืชต่อ
คงเป็นเพราะได้แยกบ้านออกมา ฉีโตวถึงได้เผยด้านที่มีชีวิตชีวาแบบเด็กน้อยออกมา เขาพูดคุยไม่หยุดแต่ก็ไม่ได้ทำงานล่าช้าเลย เคียวเล็กในมือของเขาเหวี่ยงไปรอบ ๆ อย่างต่อเนื่อง
กวางโรตัวน้อยที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็ดูเหมือนจะตื่นเต้นไปกับเขาด้วย มันกระโจนไปตามพุ่มไม้และบางครั้งก็จะก้มลงกัดเอาต้นไม้ออกมาและเอาไปให้เสี่ยวเฉาดูเหมือนได้สมบัติมา ราวกับว่ามันพยายามขอคำชมและรางวัลจากนาง
อีกด้านหนึ่งนางหลิวกับนางฟางก็ทำงานยุ่งอยู่เช่นกัน ทั้งสองทำงานไปพลางคุยกันไปหลังจากมองดูบ้านเก่า ๆ โทรม ๆ หลังนั้นแล้ว นางฟางก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “ยายเฒ่านั่นก็จริง ๆ เลย ท่านพี่ต้าไห่หาเงินให้ครอบครัวตั้งมากมาย แต่พวกนั้นให้เงินมาแค่ 2 ตำลึง มันจะเอาไปทำอันใดได้ ค่าซ่อมบ้านยังมิพอเลยด้วยซ้ำ น้องมู่หยุน ถ้าเงินไม่พอก็บอกได้เลยนะ มิต้องเกรงใจ เรามีเงินไม่มากก็จริงแต่ก็ให้ได้หลายตำลึงอยู่ ตอนนี้อากาศยังหนาวอยู่ไม่ว่าเยี่ยงไรก็ควรซ่อมบ้านให้ดีเสียก่อน”
หลิวมู่หยุนรู้สึกซาบซึ้งใจมากเสียจนน้ำตาคลอ นางหันไปถอนวัชพืชให้มากขึ้นเพื่อซ่อนความรู้สึกเอาไว้และตอบกลับเบา ๆ ว่า “ขอบคุณเจ้ามาก เมียต้าเหนียน...”
“ขอบคุณอะไรกันเล่า วันหน้าพวกเราก็ต้องเป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว ญาติที่อยู่ไกลไม่สู้เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้หรอก ถ้ามีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยได้ก็บอกได้เลยนะ” นางฟางเหวี่ยงเคียวตัดวัชพืชอย่างรวดเร็ว มองแวบเดียวก็รู้ได้ว่านางเป็นคนขยัน
บ้านทางด้านตะวันตกเปิดประตูที่สนามด้านหลังและปล่อยฝูงเป็ดลงบ่อน้ำด้านหลังบ้าน เมื่อเห็นว่ามีอะไรบางเกิดขึ้นที่นี่จึงเดินมาดูและเอ่ยว่า “อ้าว ! เมียต้าไห่ พวกเจ้าจะย้ายมาจริง ๆ รึ ? ตาย ๆ ๆ ท่านลุงหยูกับท่านป้าหยูนี่ใจดำจริง ๆ บ้านโทรม ๆ เช่นนี้จะอยู่เข้าไปได้เยี่ยงไร...”
หยูเสี่ยวเฉาเงยหน้าขึ้นมาและเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีโหนกแก้มสูงและริมฝีปากบาง เหตุใดยิ่งคิดนางก็ยิ่งรู้สึกว่าคำพูดของผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนนางกำลังดีใจกับสถานการณ์ย่ำแย่ของพวกเขาอยู่ ?
“มิต้องสนใจหรอก ถ้าเก็บเอาคำพูดของนางเหมามาใส่ใจก็คงจะได้โมโหจนเป็นบ้าอย่างแน่นอน ทำเหมือนนกกระจิบกำลังร้องเสียก็มิเป็นไรแล้ว” ตระกูลโจวกับตระกูลเฉียนเป็นเพื่อนบ้านเพียง 2 ครอบครัวที่อยู่ในรัศมี 1 ลี้จากบ้านเก่าหลังนี้ ตระกูลโจวเลี้ยงไก่และตระกูลเฉียนเลี้ยงเป็ด ตลาดสำหรับไข่ไก่กับไก่สดดีกว่าเป็ดอย่างเห็นได้ชัด นางเหมาลูกสะใภ้ของตระกูลเฉียนเป็นคนปากมากปากจัด เมื่อใดก็ตามที่นางเจอเข้ากับนางฟาง นางก็จะมีแต่คำพูดจิกกัดเหน็บแนมอยู่ตลอด
ตอนแรกนางฟางก็ทะเลาะกับนางอยู่บ่อยครั้ง แต่หลังจากที่สองตระกูลทำความเข้าใจกันแล้ว นางก็รับรู้ว่านางเหมาไม่ได้มีปัญหาเรื่องนิสัยแต่อย่างใด นอกจากมีความสามารถทำให้ผู้อื่นเกลียดนางได้ทันทีที่อ้าปากพูดเพียงเท่านั้น พวกผู้หญิงส่วนใหญ่ในหมู่บ้านล้วนแต่เบือนหน้าหนี มีเพียงนางฟางที่ไม่ได้ใส่ใจนางมากนักเนื่องจากพยายามจะรักษาความสงบสุขระหว่างเพื่อนบ้านเอาไว้
นางเหมาดูจะรู้ตัวเหมือนกันว่าสิ่งที่เอ่ยไปเมื่อครู่ฟังดูไม่ค่อยดีนัก นางจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าต้องการคนช่วยซ่อมบ้านล่ะก็ มาที่บ้านข้าได้ สามีของข้าอาจจะไม่เก่งเรื่องอื่นแต่เขาแข็งแรงแน่นอน วันหน้าเราจะเป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว เยี่ยงนั้นช่วยเหลือกันเอาไว้จะดีกว่า มิต้องหยุดทำงานเพราะข้าหรอก ข้าต้องไปที่ท่าเรือก่อน จะไปดูว่ามีปลาอะไรขายบ้าง จะซื้อไปทำอาหารให้ลูกชายน่ะ เหวินเอ้อร์ต้องบำรุงร่างกาย...”
นางฟางเอ่ยเบา ๆ “ลูกชายคนโตของนางเหมาไปเรียนในเมือง ว่ากันว่าเขาทำได้ดีมากเลยล่ะ นางเลยโม้เรื่องเขาทุกครั้งที่มีโอกาส อย่างวันนี้เฉียนเหวินจะกลับมาบ้านเพื่อหยุดพัก นางคงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงเสียหน่อย”
“ข้ารู้ ข้ารู้ ! ท่านพี่เฉียนเหวินเก่งมาก ๆ เลย เขาได้ที่หนึ่งตอนสอบครั้งล่าสุดด้วย !” ฉีโตวพูดแทรกขึ้นมา เขาติดตามจ้าวฮันเหมือนเป็นหางเล็ก ๆ และร่อนไปรอบ ๆ อย่างมีความสุข
นางหลิวมองลูกชายที่มีชีวิตชีวามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและยิ้มอย่างอ่อนโยน “พ่อแม่ทุกคนก็รักลูกของตนเองกันทั้งนั้น ในสายตาของแม่ ลูกของตนเองย่อมดีที่สุดเสมอ !”
นางฟางคิดนิดหนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา “ก็จริงนะ ถึงหัวเอ้อร์ลูกชายของข้าจะไม่เก่งเรื่องเรียน แต่เขาก็ช่วยพ่อของเขาขายของตามถนนมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยคิดว่ามันเป็นงานหนักเลยสักนิด อีกทั้งเขากลับชอบมากด้วยซ้ำ ที่บ้านข้ามีไก่ประมาณ 100 ตัว แต่ข้าแทบจะไม่ต้องสั่งลูกสาวเลย ทั้งสองคนจะช่วยกันดูแลไก่แทนข้าอยู่ทุกวัน...”
นางหลิวมองไปที่ลูกสาว 2 คนของนางที่กำลังช่วยกันกำจัดวัชพืช แววตาของนางทอประกายแห่งความสุขและเอ่ยขึ้นมาว่า “ลูก ๆ ของข้าก็เป็นคนฉลาดมีเหตุผลและยังขยันทำงานอีกด้วย...”
หยูเสี่ยวเฉาหันหน้ามาและยิ้มกว้าง “ท่านแม่ ท่านป้าโจว พูดเบา ๆ หน่อยสิเจ้าคะ ประเดี๋ยวใครได้ยินเข้าจะคิดว่าท่านแม่กับท่านป้าชอบพูดเกินจริงกันนะเจ้าคะ”
นางหลิวกับนางฟางพากันหัวเราะและมองไปที่เสี่ยวเฉา นางฟางตอบกลับไปว่า “แยกบ้านนี่เป็นเรื่องดีจริง ๆ เสี่ยวเฉามีชีวิตชีวามากขึ้นถึงขนาดล้อพวกเราได้ด้วย”
นางหลิวพยักหน้าและเอ่ยเสริมขึ้นมาว่า “อีกทั้งเฉาเอ้อร์ยังแข็งแรงขึ้นอีกด้วย แล้วก็มีชีวิตชีวาขึ้นตั้งเยอะ ข้าเป็นแม่ก็โล่งใจ ถ้าขาของพ่อนางดีขึ้น...”
“ต้องดีขึ้นสิ ประเดี๋ยวก็ดีขึ้น ! คนดี ๆ ก็ต้องได้เจอกับสิ่งดี ๆ ขาของน้องต้าไห่จะต้องหายอย่างแน่นอน !” นางฟางก็ได้ยินข่าวเรื่องขาของหยูไห่มาด้วยเช่นกันจึงรีบปลอบใจนางหลิว
“พี่สาม พี่สาม ! ดูนี่สิ ! ท่านพี่เสี่ยวหวู่กับข้าเจอไข่ไก่ฟ้าในป่าด้วย มีตั้ง 3 ฟอง ! ข้าจะเก็บไว้ให้ให้พี่สองต้ม ท่านพ่อท่านแม่กับพี่สามจะได้กินคนละฟอง”
ขณะที่ทุกคนกำจัดวัชพืชจากลานหญ้าทั้งด้านหน้าและด้านหลังเกือบจะเสร็จแล้ว ฉีโตวที่ไปกับเฉียนหวู่เพื่อนบ้านใหม่ของพวกเขาก็กลับมา ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาไปที่ไหนกันมา ฉีโตวยังมีใบไม้กับหญ้าติดบนผมอยู่เลย เขาถือไข่ไก่ฟ้าอยู่ในมือพร้อมกับยิ้มกว้าง
ลูกสาวคนที่สองของตระกูลโจว ชานหูก็แกล้งล้อเขาว่า “เจ้าอยากให้พี่สองช่วยต้มไข่ให้ แต่ไม่แบ่งให้พี่สองกินด้วยรึ ? มิกลัวว่าเสี่ยวเหลียนหาว่าเจ้าลำเอียงรึไง ?”
ฉีโตวมองเสี่ยวเหลียนแล้วตอบอย่างร่าเริงว่า “พี่สองมิทำเช่นนั้นหรอก ! ท่านพ่อกำลังบาดเจ็บ ท่านแม่กับพี่สามก็ร่างกายอ่อนแอ ถ้าพี่สองมีอาหารดี ๆ นางก็จะเอาให้พวกเขาก่อนเช่นกัน”
นางฟางลูบหัวเด็กน้อยแล้วยิ้ม “น้องมู่หยุนมีลูกชายที่ดีจริง ๆ นะ คนอย่างพวกเราไม่ต้องไปอิจฉาคนอื่นแล้ว เราแค่ต้องใช้ชีวิตของเราให้มีความสุขก็เพียงพอแล้ว”
ไม่มีใครอยากผูกขาดไข่ไก่ฟ้าทั้งสามฟอง เสี่ยวเฉาจึงเสนอให้เอามันไปทำแกงจืดไข่น้ำ สมาชิกในบ้านทั้ง 5 คนจะได้กินกันทุกคนอย่างมีความสุข
พอถึงยามอู่ ยายของเสี่ยวเฉา ลุงทั้งสามคนและป้าของนางก็พากันมาหาด้วยเกวียนเทียมวัวที่ยืมมา ในเกวียนเต็มไปด้วยของใช้ในบ้านที่ตั้งใจนำมาให้ใช้ที่บ้านหลังใหม่แห่งนี้ ของที่ใหญ่ที่สุดคือโต๊ะกับเก้าอี้ ที่เล็กลงมาก็มีหม้อ, ถ้วยชาม, ทัพพีและกะละมัง บางชิ้นก็เป็นของใหม่และบางชิ้นก็เป็นของมือสอง
ตอนที่หยูไห่ได้รับบาดเจ็บช่วงแรก ๆ ยายหลิวได้มาเยี่ยมพวกเขาและทิ้งเงินเอาไว้ให้ลูกสาว 2 ตำลึงเพื่อเก็บไว้ให้หลาน ๆ ซื้ออาหารกิน ทันทีที่ครอบครัวหลิวกลับไป นางจางก็ยึดเงิน 2 ตำลึงไปโดยอ้างว่านางต้องเอาไปจ่ายค่ารักษาของหยูไห่
นางเหยา ยายของเสี่ยวเฉารู้สึกได้ว่าผิวพรรณของลูกสาวและหลาน ๆ ดีขึ้นมาก นางจึงรู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้น นางกอดฉีโตวแล้วเอ่ยกับนางหลิวด้วยเสียงอู้อี้เล็กน้อย “ดีแล้วที่แยกบ้านออกมา ดีแล้วนะ ! อย่างน้อยก็มิต้องเป็นกระสอบทรายให้แม่สามีของเจ้าอีกต่อไปแล้ว !”
นางหลิวเช็ดน้ำตาที่หางตาแล้วยิ้ม “ใช่เจ้าค่ะ ถึงอนาคตจะลำบากขึ้นอีกสักหน่อย แต่ก็ดีที่จะได้ดูแลบ้านของตนเอง มิต้องคอยกังวลถึงอารมณ์ของคนอื่นหรือกลัวว่าลูกจะถูกตีหรือถูกด่า ถึงจะลำบากแต่ก็มีความสุข”
ครอบครัวของนางหลิวอาศัยอยู่อีกด้านของภูเขา พวกเขามีที่ดินแห้งแล้งอยู่ 4 แปลง จึงไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบายเช่นกัน นางหลิวมีพี่ชาย 2 คนและน้องชาย 1 คน คนโตหลิวเป่ยมีร่างกายแข็งแรงกำยำ ในช่วงนอกฤดูเพาะปลูกเขามักจะไปหางานชั่วคราวทำที่ท่าเรือ นางฮันภรรยาของเขามักจะไปขายของที่ท่าเรือและได้เงินมา 2 - 3 เฉียนเป็นรายได้เข้าบ้านอยู่บ่อย ๆ
ครอบครัวของลุงใหญ่มีลูกสาวแค่ 2 คน คนโตชื่อหลิวเฟยอิงอายุ 14 ปี นางหมั้นแล้วและกำลังรอให้ถึงวัยแต่งงานนั่นคือ 15 ปี ลูกสาวคนที่สอง หลิวเฟยเยี่ยน อายุราว ๆ หยูฮังพี่ชายของเสี่ยวเฉา ทั้งสองครอบครัวชอบล้อเล่นเรื่องให้ทั้งสองแต่งงานกันในอนาคต
หลิวฮั่น ลุงรองเป็นคนซื่อสัตย์และขยันขันแข็ง เขาเชี่ยวชาญเรื่องการเพาะปลูก เขากับตาของเสี่ยวเฉาเป็นคนดูแลจัดการที่ดินทั้งหมด ผลผลิตจากที่ดินของพวกเขาค่อนข้างดีกว่าของคนอื่น ๆ แม้ว่า นางหู ป้ารองจะเป็นคนเห็นแก่ตัวอยู่นิดหน่อย แต่นางก็ไม่ได้ทำตัวมีปัญหาเฉกเช่นนางหลี่ นางให้กำเนิดลูกชาย 2 คนและลูกสาว 1 คน ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าป้าใหญ่ที่ไม่มีลูกชายเลยแม้แต่คนเดียว
หลิวห่าวเป็นลูกชายคนเล็กของครอบครัว อาจกล่าวได้ว่านางหลิวมีส่วนเลี้ยงดูเขาอยู่ครึ่งหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงสนิทกับพี่สาวมากที่สุด เมื่อ 2 ปีก่อนเขาแต่งงานกับนางเปี้ยน ทั้งสองมีลูกชาย 1 คนที่อายุยังไม่ถึง 1 ขวบ หลิวห่าวได้ฝึกงานกับช่างไม้ประจำหมู่บ้านและได้เรียนวิชาช่างไม้มา ดังนั้นเขาจึงมักจะออกไปหางานไม้ทำเพื่อหาเงิน นางเปี้ยนมีฝีมือในด้านเย็บปักถักร้อย จึงสามารถขายงานฝีมือของนางได้ทุกเดือน
ตระกูลหลิวไม่ได้แยกบ้านกัน ลูกชายทั้งสามต่างเป็นคนกตัญญูและเชื่อฟังพ่อแม่ เงินทั้งหมดที่หาได้จะถูกนำไปให้นางเหยาแม่ของพวกเขาเก็บเอาไว้ แต่นางเหยาไม่ใช่คนขี้เหนียวใจแคบเยี่ยงนางจาง นอกจากใช้เงินซื้ออาหารและเสื้อผ้าของคนในครอบครัวแล้ว บางครั้งนางก็จะให้เงินลูกสะใภ้เอาไว้ใช้ด้วย ครอบครัวหลิวมีคนหาเงินอยู่ไม่กี่คน แต่มีหลายปากท้องที่ต้องเลี้ยง พวกเขามีรายได้ไม่มากนัก แต่ละปีจึงมีเก็บเงินไม่เยอะ
เย็นวันก่อนนางเหยาได้ยินข่าวว่าลูกสาวกับลูกเขยของนางแยกบ้านออกมาแล้ว นางหลิวมีลูกเล็ก ๆ หลายคนและสามีก็กำลังบาดเจ็บ ครอบครัวของพวกเขาได้มาเพียงที่ดิน 3 แปลงและบ้านขนาด 3 ห้องเก่า ๆ พัง ๆ 1 หลัง นางเหยาจึงไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้ เช้าตรู่วันนี้นางจึงเก็บพวกของใช้ในบ้านอย่างเช่นเครื่องนอนกับข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ และได้ขอยืมเกวียนมาคันหนึ่งเพื่อเดินทางมาที่นี่
ตระกูลหลิวอาศัยอยู่ในหมู่บ้านซีชาน ภูเขาตะวันตกอยู่ระหว่างหมู่บ้านซีชานกับหมู่บ้านตงชาน ปกติแล้วการเดินเท้าผ่านป่าบนภูเขาจะใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น หากขี่เกวียนจะต้องอ้อมไปทางอื่นซึ่งใช้เวลาเป็น 2 เท่าของเส้นทางบนภูเขา
นางเหยากับลูกชายลูกสะใภ้ออกจากบ้านมาก่อนตะวันจะขึ้นเสียอีก แต่เมื่อพวกเขามาถึงบ้านใหม่ของนางหลิวก็ถึงยามอู่แล้ว และยังต้องกินอาหารแห้งเป็นมื้อเช้ากันบนถนนอีกด้วย
เมื่อนางเหยาเห็นว่าหลังคาของบ้านหลังนี้เกือบจะถล่มลงมาแล้ว นางก็ทั้งโกรธทั้งแค้นใจ คนพวกนั้นทำเกินไปแล้วจริง ๆ พวกเขาปล่อยให้ลูกสาวและลูกเขยของนางออกจากบ้านมาแบบแทบจะตัวเปล่ากันเลยมิใช่รึ มีแม่เลี้ยงก็เท่ากับมีพ่อเลี้ยง คำกล่าวนี้มิได้เกินจริงแต่อย่างใด นางเหยาคุ้นเคยกับนิสัยเจ้าเล่ห์ปากร้ายของนางจางดี ต่อให้นางไปเผชิญหน้ากับนังแก่นั่นก็มิมีประโยชน์อันใดขึ้นมา
นางหยิบถุงเงินจากกระเป๋ามายัดใส่มือของนางหลิวและเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเครือว่า “หยุนสือ ในถุงนี้มีเงินอยู่ 10 ตำลึง เจ้าเอาไปใช้ซ่อมบ้านนะลูก ยิ่งย้ายออกเร็วเท่าใดก็ยิ่งดี ส่วนที่ดิน 3 แปลงนั่นเจ้ามิต้องกังวล ปีที่แล้วเรามีท่อนพันธุ์มันเทศมากกว่าเดิม พอถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิแม่จะให้พวกพี่ ๆ ของเจ้ามาช่วยปลูกนะ...”