ตอนที่แล้วRe-new ตอนที่ 62 ถูกขาย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปRe-new ตอนที่ 64 แยกบ้าน (2)

Re-new ตอนที่ 63 แยกบ้าน (1)


ตอนที่ 63 แยกบ้าน (1)

นางหลิวแทบเป็นลมเมื่อได้ยินว่าแม่สามีกับพี่สะใภ้อยากจะขายลูกสาวของนาง ครอบครัวของพวกเขายากจนมากเสียจนต้องขายหลานตนเองเลยรึ ?

“ท่านแม่เจ้าคะ สุขภาพของเฉาเอ้อร์แข็งแรงพอจะช่วยงานของครอบครัวได้แล้ว  เหลียนเอ้อร์ก็ให้อาหารหมู, เลี้ยงไก่, ดูแลสวน นางเป็นแรงงานหลักคนหนึ่งของบ้านนะเจ้าคะ ได้โปรดอย่าขายลูก ๆ ของข้าเลย ได้โปรด... !” นางหลิวมีนิสัยอ่อนแอ ดังนั้นแม้จะถูกรังแกอย่างหนัก นางก็มิเคยกล้าโต้แย้งกับแม่สามีเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของลูกสาวทั้งสองคนของนาง นางจึงร้องไห้อ้อนวอนอย่างน่าสงสาร

นางจางขมวดคิ้วและทำสีหน้าหงุดหงิด “คิดให้ดี ๆ นะ หลายวันมานี้เราใช้เงินไปหลายสิบตำลึงแล้วเพราะอาการบาดเจ็บของลูกรอง อากาศตอนต้นฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ได้ดีมาก  พ่อกับพี่ใหญ่ของเจ้าก็จับปลาไม่ได้ ตอนนี้ครอบครัวเราไม่มีรายได้เข้ามา ถ้าไม่ขายลูกสาวของเจ้า เจ้าอยากให้เราขายลูกชายของสะใภ้ใหญ่รึไงกัน ? ยังอยากรักษาอาการบาดเจ็บของสามีเจ้าอยู่หรือไม่ ?”

นางหลี่ก็เห็นด้วย “ใช่ ๆ ใช่แล้ว ! ท่านหมอซุนบอกว่าถึงสามีเจ้าจะฟื้นขึ้นมา ขาของเขาก็จะพิการอยู่ดี เราต้องการเงินเพื่อมาคอยช่วยเหลือคนที่ใช้การอะไรมิได้มิใช่รึ ? แล้วตัวเจ้าอีก ป่วยอยู่ตลอดเวลา ก็ต้องใช้เงินมาเป็นค่ารักษามิใช่รึ ? น้องสามก็ต้องเข้าสอบระดับเขตปีหน้า น้องเล็กก็ต้องแต่งงาน...มีอะไรบ้างที่มิต้องใช้เงิน ? ถ้าพวกเจ้าใช้เงินของครอบครัวเราจนหมด แล้วคนที่เหลือจะอยู่กันได้เยี่ยงไร ?”

“นอกจากนั้น...” นางหลี่กระแอมแล้วพูดต่อว่า “ตระกูลโจวเป็นตระกูลที่ร่ำรวยในเมือง ร้านเจินซิวถึงกับเปิดอีกร้านในเมืองหลวง พวกหญิงรับใช้ในบ้านพวกเขามีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าในครอบครัวส่วนใหญ่เสียอีก แล้วมิใช่แค่ได้เงินเดือนเดือนละ 1 ตำลึงเพียงเท่านั้น แต่เจ้านายจะมีการให้รางวัลอีกด้วย ถ้าเสี่ยวเหลียนกับเสี่ยวเฉาไป พวกเขาก็จะมีชีวิตที่สุขสบายมิใช่รึ !”

เสี่ยวเหลียนพยุงตัวแม่เอาไว้แล้วพูดอย่างโกรธจัดว่า “ถ้ามันดีนัก เหตุใดท่านป้ามิไปเองล่ะ ? นี่ท่านป้า ตระกูลโจวมิอยากได้คนรับใช้ที่มีอายุบ้างรึ ? ท่านป้าใหญ่ ท่านป้าจะได้มีชีวิตที่สุขสบายบ้างเป็นเยี่ยงไร... !”

นางหลี่หน้าเปลี่ยนสีทันที นางตะคอกออกมาว่า “นังเด็กเหลือขอ เจ้าเอ่ยอะไรออกมา ?”

หยูเสี่ยวเฉาส่งเสียงหึออกมาอย่างเย็นชาและเอ่ยต่อว่า “ท่านป้าใหญ่ ที่เสี่ยวเหลียนเอ่ยมาก็ถูกนะ ในเมื่อท่านป้าคิดว่าการเป็นคนรับใช้ให้ตระกูลโจวมันดีนัก แล้วเหตุใดท่านป้ามิไปเองเล่า ? พอถูกขายให้บ้านของชนชั้นสูงก็จะมิมีอิสระอีกแล้ว ไม่ว่าจะถูกตี ถูกฆ่า  หรือถูกขายอีกรอบ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเจ้านาย ท่านป้าใหญ่เห็นแต่ด้านดีของการเป็นคนรับใช้ แต่หลังประตูบ้านของพวกเศรษฐีพวกนั้น มีบ้านไหนบ้างที่ไม่มีสาวใช้ตายไปสักคนสองคน ? ท่านป้าใหญ่พยายามจะฆ่าพวกเรางั้นรึ !”

ไม่รู้ว่านางหลิวโกรธหรือว่ากลัว แต่เมื่อนางได้ยินเช่นนี้ นางจึงตัวสั่นเล็กน้อย แต่น้ำเสียงยังคงมั่นคงเช่นเดิมเมื่อนางเอ่ยว่า “ต่อให้ต้องอยู่อย่างยากจนข้นแค้น ข้าก็จะไม่ขายลูกกิน ! ท่านแม่เรื่องนี้เจรจากันมิได้หรอก !”

นางจางโกรธจัดขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น นอกจากนั้นมันจะได้เวลาที่เฒ่าหยูจะกลับจากการหาปลาแล้ว นางต้องส่งเด็กออกไปก่อนที่เขาจะกลับมา นางไม่ยอมให้มีการคัดค้านใด ๆ ทั้งนั้น “มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจะขายหรือไม่ขาย ! ข้ายังมิตายและยังเป็นคนตัดสินใจทุกอย่างในบ้านหลังนี้ ! คุณนายจวง ท่านเอาเด็กสองคนนี้ไปได้เลยในราคา 20 ตำลึง !”

หยูไซตี้ลูกสาวของนางจางอายุ 16 ปีแล้ว นางทนไม่ได้ที่เห็นหลานที่น่ารักทั้งสองคนถูกขาย ดังนั้นนางจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่เจ้าคะ ครอบครัวเรายังมิยากจนถึงขนาดต้องขายลูกหลานตัวเองเลยสักหน่อย ถ้าชาวบ้านรู้เข้า พวกเราจะไปสู้หน้าใครได้อีก ?”

นางจางผลักนางอย่างอ่อนโยนและเอ่ยออกมาว่า “กลับเข้าห้องไปเสีย เรื่องนี้มิเกี่ยวกับลูก !”

หยูเสี่ยวเฉาเห็นท่านอาสามที่ไม่ค่อยได้กลับบ้านยืนขมวดคิ้วถือหนังสืออยู่ที่ทางเข้า ก็รีบพูดขึ้นว่า “ท่านย่าต้องคิดถึงอนาคตของท่านอาสามด้วยนะเจ้าคะ ปีหน้าเขาต้องสอบระดับเขต  ถ้าเพื่อน ๆ ของเขารู้ว่าเขาขายหลาน 2 คนเพื่อให้ได้โอกาสนี้มา เขาจะเข้าเรียนต่อได้เยี่ยงไรกัน ?”

เดิมทีหยูป่อก็ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของนางจางอยู่แล้ว เพราะไม่ว่าเยี่ยงไรหลานทั้งสองคนของเขาก็เป็นลูกหลานของตระกูลหยู ถ้าเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไป มิมีทางที่เขาจะอยู่อย่างอับอายเช่นนั้นได้แน่ เขาจึงตัดสินใจพูดเกลี้ยกล่อมนางจางให้ล้มเลิกความคิดนี้เสีย

นางจางวางความหวังทั้งหมดเอาไว้ที่ลูกชายคนเล็ก ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนางก็คือการที่เขาสอบผ่านระดับเขตเพื่อให้ได้เป็นเป็นขุนนางและเอาตำแหน่งคุณนายมากลับมาให้นาง แต่เมื่อนางได้ยินว่าเรื่องนี้จะมีผลกระทบกับอนาคตของลูกชาย นางจึงเริ่มลังเลขึ้นมา

หยูเสี่ยวเฉาพูดต่ออีกว่า “ท่านย่าแค่กลัวว่าครอบครัวเราจะกลายเป็นภาระในอนาคตมิใช่รึ ? เยี่ยงนั้นก็แยกบ้านกันเสียสิ ! วันข้างหน้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของเรา ต่อให้พวกเราจะอดตายกันทั้งครอบครัว พวกเราก็จะไม่มาขอเงินจากท่านย่าเลยสักอีแปะเดียว !”

นางจางกับนางหลี่สบตากัน แววตาทั้งคู่เป็นประกายด้วยความดีใจ นางจางทำหน้าขรึมแล้วเอ่ยถามว่า “แยกบ้านเยี่ยงนั้นรึ ? เจ้าเป็นแค่เด็กจะตัดสินใจได้เยี่ยงไรกัน ?”

“นางตัดสินใจมิได้ แต่ข้าตัดสินใจได้ !” ประตูห้องตะวันตกกระแทกเปิดดังปัง หยูไห่ยืนอยู่ที่ประตู สีหน้าซีดขาว ดวงตาแดงก่ำ เขาไม่สามารถพยุงตัวเองเอาไว้ได้ด้วยขาแค่ข้างเดียว จึงล้มลงอย่างแรงด้านหน้าธรณีประตู

“ท่านพ่อ !” หยูเสี่ยวเหลียนกับฉีโตวตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกัน พวกเขารีบวิ่งเข้าไปหาหยูไห่และพยายามช่วยพยุงเขาขึ้นมา

“ท่านพี่ ระมัดระวังหน่อย ! มิมีอะไรสำคัญเท่าร่างกายของท่านพี่อีกแล้ว !” ริมฝีปากของนางหลิวสั่นระริก น้ำตาคลอเต็มดวงตา ในช่วงที่หยูไห่นอนไม่ได้สติ นางรู้สึกกังวลมากราวกับท้องฟ้าจะถล่มลงมาตอนไหนก็ได้ ตราบใดที่สามีของนางยังมีชีวิตอยู่ ต่อให้เขาพิการหรือพวกเขาต้องอยู่อย่างลำบากกว่านี้ นางก็ยอมทนได้ทั้งนั้น

เสี่ยวเหลียนพยุงหยูไห่ยืนขึ้นมาได้อย่างยากลำบาก เขานั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่ฉีโตวเอามาให้  สายตาของเขาเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนเมื่อมองไปที่นางหลิว หลังจากที่พวกเขาแต่งงานกัน  ภรรยาของเขาก็ไม่เคยมีชีวิตที่สงบสุขเลย มิใช่แค่ต้องทำงานหนักทุกวันเท่านั้น แต่นางยังถูกทรมานทางจิตใจอีกด้วย ร่างกายที่เคยสมบูรณ์ดีก็ผ่ายผอมจนแทบจะเหลือแต่กระดูก

เขารู้สึกผิดและเสียใจต่อนางหลิวมาโดยตลอด เมื่อก่อนเพื่อความสงบสุขในบ้าน เขาจึงเชื่อมาตลอดว่าเป็นการดีแล้วที่ถูกเอาเปรียบและทุกอย่างจะดีเองถ้าเขาแค่ถอยสักก้าว  แต่นางจางแม่เลี้ยงของเขากับนางหลี่พี่สะใภ้ก็ยิ่งข่มเหงรังแกกันมากขึ้นไปอีกเพราะความอดทนอดกลั้นของเขา

ทุกปีเขาจะมีรายได้เกิน 10 ตำลึงจากการล่าสัตว์เพียงแค่อย่างเดียว นอกจากนั้นถ้าไม่มีเขาก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีเรือหาปลาลำใหม่ที่จับปลาได้มากมายทุกวัน เขาบากบั่นทำงานหนักเพื่อครอบครัวนี้ แต่ภรรยาและลูก ๆ ของเขาไม่เคยได้กินอิ่มหรือมีเสื้อผ้าอุ่น ๆ ใส่เลย นอกจากนี้พวกเขายังต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกข่มเหงทางวาจาและร่างกายอีกด้วย...

ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ตอนที่เขายังไม่ฟื้นขึ้นมา เขาไม่ได้หมดสติไปเสียทั้งหมด เขาได้ยินอย่างชัดเจนและจำทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่บ้านได้ ก่อนที่เขาจะบาดเจ็บ นางจางก็ส่งลูกชายอายุ 10 ขวบของเขาไปทำงานเป็นเด็กฝึกงานที่ร้านไม้ด้วยข้ออ้างว่าพวกเขาไม่สามารถเลี้ยงคนจำนวนมากขนาดนี้ได้ไหว

เขาไม่คิดเลยว่าแม่เลี้ยงกับพวกบ้านหนึ่งจะวางแผนร้ายกับลูกสาวที่น่ารักทั้งสองคนของเขาทั้ง ๆ ที่เขายังมีชีวิตอยู่ ! ถึงตายเขาก็จะไม่ยอมให้ขายลูกสาวของเขาเป็นแน่ !

เสี่ยวเฉากล่าวถูกได้ต้อง ! บ้านนี้ไม่มีที่ให้พวกเขา ถ้าพวกเขายังอยู่ที่นี่ต่อไป ครอบครัวของเขาคงแตกแยกไม่ช้าก็เร็ว ต้องแยกออกจากบ้านนี้เท่านั้น ! ไม่ว่าชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาจะยากลำบากถึงเพียงไหน แต่พวกเขาต้องอยู่ด้วยกันทั้งครอบครัว !

“ลูกรอง เจ้าเป็นคนพูดเรื่องแยกบ้านเองนะ พวกเรามิได้บังคับ !” นางจางระงับความยินดีเอาไว้แล้วพูดออกมาทันทีด้วยความกลัวว่าหยูไห่จะกลับคำ

หยูไซตี้มองขาที่บาดเจ็บของพี่รองแล้วดึงแขนเสื้อของนางจางพร้อมกับกระซิบว่า “ท่านพี่รองยังไม่หายดี แยกบ้านตอนนี้คงมิเหมาะหรอกเจ้าค่ะ ท่านพ่อก็คงมิเห็นด้วยเป็นแน่ !”

นางหลี่พูดแทรกขึ้นมา “ไม่เหมาะตรงไหน ? น้องรองเป็นคนเอ่ยออกมาเอง ตราบใดที่เขายืนกรานจะแยกบ้าน ท่านพ่อก็ทำอันใดมิได้หรอก น้องเล็กเลิกโง่ได้แล้วน่า มีพวกที่ทำให้เราตกต่ำอยู่เยี่ยงนี้ วันหน้าเจ้าก็จะได้สินเดิมน้อยลงด้วยมิใช่รึ !”

หยูไห่มองแม่เลี้ยงกับพี่สะใภ้อย่างผิดหวัง พวกนางอยากไล่พวกเขาออกจากบ้านใจจะขาดมานานแล้วสินะ...ก็ดีเช่นกัน วันหน้าภรรยาของเขาจะมิต้องโดนข่มเหงอีก ลูก ๆ ของเขาก็มิต้องคอยกังวลว่าจะโดนด่าหรือโดนตี ด้วยความสามารถของเขาต่อให้ขาพิการข้างหนึ่ง เขาก็จะไม่ปล่อยให้ครอบครัวของเขาต้องเจอกับความหิวโหยและความหนาวเย็นอย่างแน่นอน

นางจางมองลูกสาวของนางแล้วตะโกนว่า “มันถูกตัดสินใจแล้ว พอพ่อของเจ้ากับพี่ใหญ่กลับมา เราจะให้หัวหน้าหมู่บ้านกับผู้อาวุโสของตระกูลหยูเป็นพยานและจะแยกบ้านกัน !”

“ทะเลาะอะไรกันแต่เช้า ? หมายความว่าเยี่ยงไรเรื่องแยกบ้าน ? ใครจะแยก ? ครอบครัวของลูกใหญ่รึ ?” เฒ่าหยูกลับเข้ามาพร้อมกับถือปลาที่ยังไม่ได้ขาย ลูกชายคนโต หยูต้าชาน เดินถืออวนตามเขาเข้ามาข้างในด้วย

นางหลี่รีบอธิบายว่า “มิใช่ข้านะท่านพ่อ ! น้องรองเป็นคนเอ่ยออกมาเองว่าจะแยกบ้าน !”

“ลูกรอง ? เป็นไปมิได้ที่ลูกรองจะเอ่ยเช่นนี้ตอนที่ยังบาดเจ็บ เขายังมิพ้นช่วงอันตรายเลยด้วยซ้ำ จะเป็นฝ่ายเริ่มพูดเรื่องแยกบ้านได้เยี่ยงไร ?” แม้ว่าเฒ่าหยูจะแสดงอารมณ์ไม่เก่งแต่เขาก็ไม่ได้โง่ เขามองคนแปลกหน้าในลานบ้านแล้วขมวดคิ้ว

นางจางยัดเงินอีแปะใส่มือนายหน้าจวงแบบเงียบ ๆ แล้วขอให้นางกลับไป นายหน้าจวงรังเกียจพฤติกรรมของนางจางมาก จึงดันเงินกลับและขึ้นเกวียนที่นั่งมากลับไปทันที

ปกติเฒ่าหยูจะนิ่งเงียบและไม่ยุ่งเรื่องในบ้าน แต่เขาก็เป็นคนตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ ในครอบครัวทุกเรื่อง นางจางยังมีความเกรงใจเขาอยู่บ้างจึงอธิบายแบบอึกอักว่า “ลูกรองอยากแยกบ้านเพราะกลัวว่าจะกลายเป็นภาระของครอบครัวเรา ดูสิ ปีหน้าลูกสามต้องสอบระดับเขตแล้ว ข้าได้ยินว่าการสอบส่วนที่สามจะจัดที่ศาลากลางจังหวัด เราต้องเตรียมเงินให้มาก ๆ...แล้วไห่สือก็ถึงวัยแต่งงานแล้วด้วย...อีกทั้งบ้านเราก็ไม่มีพื้นที่มากพอ...”

เฒ่าหยูขมวดคิ้วจ้องหน้านางแล้วพูดว่า “หมายความว่าเยี่ยงไรไม่มีพื้นที่มากพอ ? ไซตี้จะแต่งงานในอีก 2 ปี ตอนนั้นเราจะไม่มีห้องว่างเชียวรึ ? ขาของลูกรองยังไม่หายเลย  แต่เจ้ากลับบังคับให้เขาออกจากบ้าน ไม่กลัวคนอื่นสาปแช่งเจ้าลับหลังหรือเยี่ยงไรกัน !”

“กลายเป็นว่าข้าบังคับเขาได้เยี่ยงไร ? ลูกรองเป็นคนเอ่ยเรื่องแยกบ้านเอง ถึงคนจะด่าก็มิเกี่ยวอันใดกับข้านี่ !” นางจางกรีดร้องเสียงแหลม “ก็ได้ ! งั้นนี่ก็คือสิ่งที่เจ้าคิดกับข้าจริง ๆ เยี่ยงนั้นรึ ข้าทำงานหนักเพื่อครอบครัวนี้ แต่สุดท้ายก็ถูกใส่ร้ายว่าบังคับลูกเลี้ยงให้ออกจากครอบครัว โธ่ สวรรค์ ! นี่ข้าจะอยู่ต่อไปได้เยี่ยงไร ให้ข้าตายไปยังจะดีเสียกว่า !”

นางจางนั่งตีอกชกหัวตัวเองพลางคร่ำครวญกับสวรรค์ แต่นางกลับบีบน้ำตาออกมาไม่ได้สักหยด เสี่ยวเฉากรอกตามองบนอยู่ในใจ ชาติชั่ว ! ใช่สิ ชอบนักนี่เล่นละครบทเดิม ๆ   ร้องไห้คร่ำครวญจะฆ่าตัวตาย หึ !

หยูไห่ส่ายหน้าและมองไปทางภรรยาและลูก ๆ ของเขา ใบหน้าของพวกเขาซีดเซียวและซูบผอมเพราะขาดสารอาหารเป็นเวลานาน พวกเขาสวมเสื้อผ้าขาด ๆ ที่เต็มไปด้วยรอยปะมานานเท่าใดแล้วก็มิรู้ จากนั้นเขาก็หันไปมองเครื่องแต่งกายที่แม่เลี้ยงกับพี่สะใภ้สวมใส่ซึ่งเพิ่งตัดก่อนปีใหม่นี้เอง เขาก็ตั้งใจแน่วแน่มากขึ้นที่จะออกจากบ้านนี้ให้ได้ เยี่ยงไรเสียหากแยกบ้านออกไปพวกเขาก็คงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าตอนนี้เป็นแน่ !

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด