ตอนที่แล้วRe-new ตอนที่ 61 ฟื้นแล้ว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปRe-new ตอนที่ 63 แยกบ้าน (1)

Re-new ตอนที่ 62 ถูกขาย


ตอนที่  62  ถูกขาย

เสี่ยวเฉากับพี่น้องของนางบอกปัดอย่างมีความสุข “พวกข้ากินจากในครัวมาแล้ว ท่านแม่จับพุงฉีโตวดูสิ กลมเป็นลูกแตงโมแล้ว ท่านแม่กินเถิดเจ้าค่ะ !”

เห็นได้ชัดว่านางหลิวไม่เชื่อพวกเขา นางรู้นิสัยขี้เหนียวของแม่สามีเป็นอย่างดี นางจางจะรู้แน่ชัดเลยว่าวัตถุดิบแต่ละอย่างในครัวมีอยู่เท่าใด พวกธัญพืชหยาบน่ะมิเป็นไรหรอก  แต่ถ้าหากเป็นข้าวของอย่างแป้งสาลี, ข้าว และไข่ หากมิได้รับอนุญาตจากนางก็ห้ามเอามาใช้เป็นอันขาด

เสี่ยวเหลียนกับฉีโตวก็พากับตบพุงตนเองเพื่อยืนยันให้นางแน่ใจว่าพวกเขาได้กินแล้วจริง ๆ นางหลิวจึงค่อย ๆ ป้อนบะหมี่ให้สามีของนาง แต่หยูไห่ก็ไม่ยอมกินเองคนเดียว เขายืนกรานว่าจะกินก็ต่อเมื่อนางหลิวกินด้วยเท่านั้น ด้วยวิธีนี้ทั้งคู่จึงแบ่งกันกินบะหมี่ในชามด้วยการผลัดกันกินคนละคำ

ทั้ง 5 คนยังได้กินไข่ 2 ฟองที่เจออยู่ก้นถ้วยอีกด้วย จากการยืนกรานให้แบ่งกันกินของหยูไห่ ไข่ 2 ฟองเล็ก ๆ นั้นมีค่าอย่างมากในหัวใจของหยูเสี่ยวเฉา เพราะมันมีความรักและความผูกพันของครอบครัวอยู่ในนั้น

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ! ข้าว่าเราน่าจะฉวยโอกาสนี้ออกจากครอบครัวนี้แล้วไปอยู่กันเพียงแค่พวกเราจะมิดีกว่ารึ !” หยูเสี่ยวเฉาอดทนกับนิสัยหยาบคายขี้เหนียวของนางจางจนถึงจุดแตกหักแล้ว เมื่อก่อนตอนที่ท่านพ่อยังหาปลาล่าสัตว์ได้ นางจางมิมีทางยอมให้พวกเขาแยกบ้านไปแน่ แต่ตอนนี้อาจจะมิเหมือนเดิมแล้ว !

“แยกบ้านรึ ? ท่านปู่ท่านย่ายังมีชีวิตอยู่นะ พวกเขามิยอมให้แยกบ้านเป็นแน่ !” นางหลิวรู้สึกเศร้าใจ พวกเขายังไม่แน่ใจว่าสามีของนางต้องตัดขาหรือไม่ นอกจากนั้นสุขภาพของนางทำให้นางทำงานหนักมิได้และลูก ๆ ก็ยังเด็กมาก ถ้าพวกเขาแยกบ้านแล้วจะหาเลี้ยงครอบครัวได้เยี่ยงไร ?

หยูเสี่ยวเฉาไม่เห็นด้วยกับนางหลิว ! มีหินศักดิ์สิทธิ์เป็นอาวุธพิเศษเยี่ยงนี้ อาการบาดเจ็บที่ขาของหยูไห่จะหายดีในที่สุด แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่เขาจะพิการ แต่เขาก็ยังทำพวกงานฝีมือทั่ว ๆ ไปได้ หลังจากที่บำรุงนางหลิวด้วยน้ำหินศักดิ์สิทธิ์และยาสมุนไพรมาเป็นเวลาหลายเดือน สุขภาพของนางก็ฟื้นตัวได้เกือบสมบูรณ์แล้ว ตราบใดที่พวกเขาสามารถแยกออกจากครอบครัวนี้ได้ ความเชี่ยวชาญในการทำอาหารตุ๋นของนางจะทำให้พวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าตอนนี้ได้อย่างแน่นอน !

“ท่านย่ากับท่านป้าใหญ่คงตั้งตารอให้พวกเราออกจากครอบครัวนี้จะแย่แล้ว ในสายตาพวกเขา บ้านสองของเราก็เป็นแค่ภาระชิ้นใหญ่เพียงเท่านั้น สำหรับท่านปู่แล้ว เรามีโอกาสเกลี้ยกล่อมท่านปู่ได้เป็นแน่” ใช่แล้ว ! นางกำลังรอโอกาสนี้อยู่ โอกาสที่สมบูรณ์แบบในการเสนอให้แยกบ้าน !

ขณะที่หยูเสี่ยวเฉากับครอบครัวของนางกำลังสนทนากันเรื่องแยกบ้าน นางหลี่ก็กำลังพูดถึงบ้านสองในทางที่ไม่ดีอยู่ในห้องใหญ่ “ท่านแม่ ตั้งแต่น้องรองได้รับบาดเจ็บ บ้านสองก็มิมีคนแข็งแรงทำงานเลยสักคน อีกทั้งน้องสะใภ้รองกับเสี่ยวเฉาก็เป็นตัวผลาญเงินทั้งคู่  คิดดูนะท่านแม่ หลายวันที่ผ่านมาเราใช้เงินไปหลายสิบตำลึงแล้ว ถึงน้องรองจะฟื้นขึ้นมา  แต่หมอซุนก็บอกว่าขาข้างหนึ่งของเขาจะใช้การมิได้ ! ครอบครัวของน้องรองมีแต่คนป่วยคนอ่อนแอที่ต้องพึ่งพาเรา สถานการณ์ของครอบครัวเราเพิ่งจะดีขึ้นนิดหน่อย จะปล่อยให้พวกนั้นทำให้เราตกต่ำมิได้นะท่านแม่ !”

นางจางได้เงินมา 300 ตำลึง แต่เมื่อนางเห็นเงินค่อย ๆ ลดลงทุกวัน นางก็รู้สึกเหมือนว่ามีคนมาเฉือนหัวใจนางซ้ำแล้วซ้ำอีก พอนางได้ยินสิ่งที่สะใภ้ใหญ่พูด นางก็ทุบเตียงหลายครั้งด้วยความโกรธแล้วเอ่ยว่า

“แล้วเราจะทำเยี่ยงไรได้ ? เจ้าคิดว่าเราไล่พวกมันออกไปได้เยี่ยงนั้นรึ ? พ่อของเจ้าต้องไม่เห็นด้วยเป็นแน่ อีกทั้งพวกชาวบ้านจะต้องซุบซิบนินทาเป็นแน่ !”

“แต่เราจะเสียเงินทั้งหมดไปกับพวกนั้นโดยมิได้อะไรกลับมามิได้นะท่านแม่ !” นางหลี่บิดผ้าเช็ดหน้าในมือแรง ๆ อย่างขัดใจ

นางจางจ้องหน้านางหลี่แล้วเอ่ยว่า “เจ้ามีความคิดอะไรดี ๆ งั้นรึ ? เอ่ยมาสิ...” นางหลี่ยิ้มจนเนื้อบนหน้าบีบเข้าหากันและเอ่ยออกไปว่า “ครอบครัวของข้ารู้จักพวกนายหน้าค้าทาสอยู่คนหนึ่งที่ทำธุรกิจกับพวกคนรวยในเมือง ได้ยินว่าตระกูลโจวพ่อค้าที่ร่ำรวยในเมืองอยากซื้อเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง...นางให้ราคาสูงถึง 8 ตำลึงเชียวนะเจ้าคะ”

นางจางเลิกคิ้ว “เจ้าหมายถึง...เราควรจะขายเสี่ยวเหลียนใช่หรือไม่ ?” นางชี้ไปทางห้องของบ้านสอง

“ใครจะอยากได้นังเด็กขี้โรคเสี่ยวเฉากันเล่าท่านแม่ ? เสี่ยวเหลียนทั้งเก่งทั้งสะอาด เราต้องขายได้ราคาดีเป็นแน่” นางหลี่ตอบกลับพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ ตาของนางหยีจนเกือบจะหายไปกับรอยย่นของไขมันบนใบหน้า

ถ้าพวกเขาขายเจ้าเด็กไร้ประโยชน์ออกไปสักคน นอกจากจะได้เงินมาหลายตำลึงแล้ว  ยังลดคนที่ต้องเลี้ยงไปคนหนึ่งอีกด้วย นอกจากนั้นเสี่ยวเหลียนก็มีนิสัยดื้อรั้นและไม่เชื่อฟังมากที่สุด ไม่มีเด็กนั่นสักคนก็คงควบคุมคนบ้านสองได้ง่ายขึ้น นางจางเริ่มสนใจความคิดนี้...

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น หยูเสี่ยวเฉาแบกฟืนเดินตามหลังเสี่ยวเหลียน นางรู้สึกปวดใจที่เห็นร่างเล็ก ๆ ตรงหน้าต้องแบกฟืนกองเท่าภูเขาไว้บนหลัง ดังนั้นนางจึงยื่นมือไปช่วยพยุงฟืนบนหลังของเสี่ยวเหลียนเป็นระยะ ฉีโตวที่เดินตามพวกนางก็ช่วยแบกฟืนด้วย

ตอนแรกเสี่ยวเหลียนคิดจะไปรวบรวมฟืนด้วยตนเอง แต่เสี่ยวเฉากับฉีโตวก็แสดงออกว่าอยากจะร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไปเก็บฟืนด้วยกัน ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูหนาวและเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ จึงหาฟืนแห้ง ๆ บนภูเขาตะวันตกเจอได้อย่างง่ายดาย  เช้าวันนี้สามพี่น้องจึงได้ฟืนมากองโต

หยูเสี่ยวเหลียนที่ดูแลน้อง ๆ มาตั้งแต่เล็กแต่น้อยก็รับหน้าที่แบกฟืนส่วนใหญ่ นางยอมให้น้องสาวที่อ่อนแอและน้องชายแบกฟืนบ้างนิดหน่อยพอให้ได้ช่วยบ้าง เมื่อชาติก่อนหยูเสี่ยวเฉาเป็นคนดูแลน้อง ๆ มาตลอด จึงรู้สึกแปลกที่ตอนนี้เป็นฝ่ายถูกดูแล นางพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าสุขภาพของนางดีขึ้นมากแล้วและสามารถแบกได้มากกว่านี้ แต่เสี่ยวเหลียนก็ปฏิเสธนางทุกครา

“พี่สอง พี่สาม มีแขกมาที่บ้าน” ทันทีที่ฉีโตวเงยหน้าขึ้นเขาก็เห็นนางหลี่กุลีกุจอเชิญผู้หญิงวัยกลางคนแต่งกายด้วยชุดสีสันสดใสเข้ามาในลานบ้าน เขาจึงวิ่งเข้าไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น

หยูเสี่ยวเฉากับเสี่ยวเหลียนมองหน้ากันและเห็นแววตาสงสัยจากอีกฝ่าย ผู้หญิงคนนั้นสวมเสื้อผ้าแพรและมีปิ่นปักผมสีทองบนหัว พวกชาวบ้านธรรมดามิมีปัญญาซื้อของพวกนี้เป็นแน่ ตระกูลหยูก็มิมีญาติแบบนี้ แล้วคนผู้นี้เป็นใครกัน ?

“ดูจากที่ท่านป้าใหญ่ประจบประแจงนาง เป็นไปได้หรือไม่ว่านางมาที่นี่เพราะท่านพี่ไห่สือ ?” ไห่สือที่มีชื่อจริงว่าหยูเก่ออายุ 13 ปีแล้ว ในยุคนี้ก็ถึงวัยแต่งงานได้แล้ว หยูเสี่ยวเฉาคิดหาเหตุผลอื่นที่นางหลี่จะปฏิบัติกับผู้หญิงคนนี้เหมือนเป็นแม่ตัวเองไม่ออก

“เสี่ยวเหลียน เดี๋ยวข้าจะเข้าไปดูเสียหน่อย” หลังจากที่พ่อบาดเจ็บ หยูเสี่ยวเฉาก็คอยกังวลและดูแลเขาตลอด 5 วันโดยไม่ได้ออกข้างมาข้างนอกเลย พวกเขาไม่ค่อยมีแขกมาที่บ้านสักเท่าใดนัก เรื่องนี้จึงจุดประกายความอยากรู้อยากเห็นในตัวนาง

นางวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปในลานบ้านพร้อมกับฟืนบนหลังขณะที่นางจางและนางหลี่กำลังต้อนรับผู้หญิงคนนั้นเข้าไปในบ้านใหญ่อย่างมีความสุข

เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ผู้หญิงคนนั้นก็หยุดเดินและหันมามองเสี่ยวเฉาตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาของนางเหมือนกำลังประเมินสินค้าชิ้นหนึ่งที่เพิ่งได้มา ทำให้หยูเสี่ยวเฉารู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก

“ใช่คนที่ว่าหรือไม่ ? หน้าตาดีนะ ผิวขาวสะอาดสะอ้าน แต่ผอมไปหน่อย !” นายหน้าค้าทาสจวงเบะปากด้วยท่าทางจุกจิกจู้จี้

ตระกูลโจวเพิ่งปล่อยสาวรับใช้ที่ถึงวัยแต่งงานออกมากลุ่มหนึ่ง พวกเขาจึงจำเป็นต้องซื้อเด็กสาว 20 - 30 คน นายหน้าค้าทาสจวงจึงยุ่งมากในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ตระกูลโจวเป็นลูกค้าใหญ่ของนาง นางจึงมิสามารถทำพังได้

เมื่อเย็นวานมีคนมาแจ้งนางว่ามีคนจะขายเด็กหญิงที่มีความสามารถและซื่อสัตย์ที่หมู่บ้านตงชาน นางจึงจ้างรถม้ามาที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ แต่นางไม่คิดว่าเด็กหญิงคนนั้นจะผอมและตัวเล็กขนาดนี้

นางหลี่เห็นสายตาระแวงของหยูเสี่ยวเฉาก็ตอบเลี่ยง ๆ ไปว่า “มิใช่เด็กนี่หรอก แต่เป็นพี่สาวของนางต่างหาก เด็กคนนั้นเก่งมากนะแล้วก็ทำงานบ้านส่วนใหญ่ได้ พ่อของนางได้รับบาดเจ็บสาหัส แม่ก็อ่อนแอขี้โรค ครอบครัวจำเป็นต้องใช้เงิน เยี่ยงนั้นเราก็มิอยากทำเช่นนี้หรอก !”

นายหน้าค้าทาสจวงมองไปรอบ ๆ บ้านขนาดห้าห้องที่ทั้งโปร่งและกว้างขวาง มีรั้วที่ทำจากอิฐโคลนตากแห้งอีกด้วย นางยิ้มเยาะอยู่ในใจพร้อมกับคิดว่า ‘ดูบ้านหลังนี้สิ ครอบครัวนี้ดูไม่เหมือนจะขาดเงินจนต้องขายลูกหลานตัวเองเสียหน่อย ! ’ แต่นางมาที่นี่เพื่อจัดการธุระให้เสร็จเท่านั้น ไม่คิดจะเข้าไปยุ่งเรื่องสกปรกในบ้านของผู้อื่น

หยูเสี่ยวเฉามิใช่เด็กโง่เขลา นางรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติจากสายตาตรวจสอบของนายหน้าค้าทาสจวงและสีหน้ามีพิรุธของนางหลี่ ดังนั้นนางจึงเอ่ยถามว่า “พวกเจ้าจะทำอะไรกับเสี่ยวเหลียน ?”

“ไป ๆ ๆ ! ผู้ใหญ่กำลังคุยกันเด็กมายุ่งอะไรด้วย ? ไปเล่นที่อื่นไป !” นางจางโบกมือไล่อย่างหงุดหงิดราวกับกำลังไล่ไก่ตัวเล็ก ๆ หลังจากนั้นนางก็หันไปยิ้มให้นายหน้าค้าทาสจวงและเอ่ยว่า “ไปคุยกันข้างในดีกว่า ในห้อง... !”

“จะมิใช่เรื่องของพวกเราได้เยี่ยงไร ? ถ้าพวกท่านพยายามวางแผนร้ายกับบ้านสองของข้า เยี่ยงนั้นมันก็ต้องเกี่ยวกับข้าแน่ ๆ ล่ะ !” หยูเสี่ยวเฉาตะโกนขณะที่ความสงสัยเพิ่มสูงขึ้นไปอีก

“ใครเขาพูดกับผู้ใหญ่เช่นนี้เยี่ยงเจ้าบ้าง ? แม่เจ้าสั่งสอนเจ้ามาเช่นนี้รึ ? พวกเราเลี้ยงเจ้ามา 8 - 9 ปี ให้อาหาร ให้ยารักษา เจ้ายังโตขึ้นมาเป็นเด็กอกตัญญู กล้าเถียงย่าตนเองเยี่ยงนี้นี้ ข้าน่าจะปล่อยให้เจ้าตายไปเสีย !” เมื่อเห็นสีหน้าหงุดหงิดของนายหน้าค้าทาสจวง นางจางก็กัดฟันและตะโกนด่าเสียงดัง

นางหลิวได้ยินเสียงตะโกนจากในครัวจึงรีบเดินออกมาทันที นางดึงหยูเสี่ยวเฉาไปอยู่ด้านหลังนางและขอโทษซ้ำ ๆ “ท่านแม่ เสี่ยวเฉายังเด็ก ไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดหรอก อย่าใส่ใจเลยนะเจ้าคะ...”

นางจางตะโกนต่ออย่างต่อเนื่อง “เจ้าคนเดียวแหละที่คิดว่านังเด็กไร้ประโยชน์นี่มีค่า ! นังเด็กเหลือขอ ไปคุกเข่าทบทวนความผิดของตนเองในห้องเลยไป ! วันนี้ห้ามเจ้ากินข้าวเช้า !”

หยูเสี่ยวเหลียนเข้ามาพร้อมฟืนหนัก ๆ บนหลัง เมื่อนางได้ยินคำพูดของนางจาง นางก็รีบทิ้งฟืนแล้ววิ่งไปหาน้องสาว นางยืนด้านหน้าเสี่ยวเฉาแล้วเอ่ยว่า “น้องสามป่วยหนักตอนก่อนปีใหม่นี่เอง ถ้าล้มป่วยอีกท่านย่ามิต้องเสียเงินค่ารักษาอีกรึ ? ข้ายอมรับโทษแทนน้องเอง !”

นายหน้าค้าทาสจวงเคยเจอสถานการณ์ต่าง ๆ มามากมาย นางจึงรู้ทันทีว่าย่ากับป้าของเด็กกำลังแอบวางแผนขายเด็กโดยที่พ่อแม่ของเด็กมิได้รับรู้ด้วย นายหน้าค้าทาสจวงมีชื่อเสียงที่ดีในเมืองถังกู่มาตลอด เยี่ยงนั้นนางคงไม่มีลูกค้าที่มีสถานะทางสังคมสูง ๆ มากมายถึงเพียงนี้ ดังนั้นนางจะไม่ให้เด็กผู้หญิงคนเดียวมาทำลายชื่อเสียงของตนเองเป็นแน่

นายหน้าค้าทาสจวงยิ้มให้เสี่ยวเหลียนและชมนางว่า “เจ้านี่ซื่อสัตย์มีคุณธรรมดีนะ ถึงจะผิวคล้ำและผอมก็เถอะ โตขึ้นอีกหน่อยสักสองปีก็จะดูดีมิน้อย เวลาตระกูลขุนนางซื้อคนรับใช้ พวกเขาจะมองหาคนที่มีนิสัยดี ๆ เป็นคุณสมบัติสำคัญ เด็ก 2 คนนี้  คนหนึ่งฉลาดมีไหวพริบ ส่วนอีกคนซื่อสัตย์ไว้ใจได้ อีกทั้งยังหน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ ถ้าท่านขายหลานให้ข้าทั้งสองคน ข้าจะให้ราคาเป็นสองเท่า !”

ก่อนหน้านี้นางจางได้ยินนายหน้าค้าทาสจวงเอ่ยว่าเด็กหญิง 8 - 9 ขวบคนหนึ่งอย่างมากก็ได้ราคาเพียง 5 ตำลึง ถ้าเด็กสองคนราคาสองเท่าก็จะเป็น 20 ตำลึง ไม่เพียงแต่นางจะได้เงินที่เสียไปเป็นค่ารักษาของพวกบ้านสองในช่วงนี้คืนมาเท่านั้น ยังมีส่วนเกินมาอีกด้วย ถ้านางเพิ่มเงินนั่นเข้าไปในเงินที่พรานจ้าวได้จากการขายหมี...จู่ ๆ นางจางก็มีความสุขมากเสียจนยิ้มออกมาจนตาหยี

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด