Re-new ตอนที่ 61 ฟื้นแล้ว
ตอนที่ 61 ฟื้นแล้ว
ในสายตาของคนนอก ตั้งแต่หยูไห่ได้รับบาดเจ็บ อาการของเขาก็ดูเหมือนขึ้น ๆ ลง ๆ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เขามีไข้ต่ำ ๆ และบางครั้งไข้เขาจะสูงมากถึงขนาดที่ว่าจับทีมือแทบจะพองด้วยความร้อน นอกจากคนของบ้านสองแล้ว คนที่เหลือในตระกูลหยูต่างรู้สึกว่าเขาคงไม่รอดแน่แล้ว แต่ทว่าหยูไห่ก็ฟื้นขึ้นมาในวันที่หก
เฒ่าหยูกับคนบ้านสองเป็นพวกเดียวในตระกูลหยูที่ดีใจอย่างแท้จริง หยูไซตี้ที่มีนิสัยอ่อนโยนและไม่เคยยุ่งเรื่องของคนอื่นก็อาจจะดีใจจากใจจริงด้วยเช่นกัน
“ท่านปู่เจ้าคะ ท่านพ่อมิได้กินอะไรมา 5 วันแล้ว ข้าจะไปทำก๋วยเตี๋ยวมาให้ท่านพ่อนะเจ้าคะ” แม้ว่าน้ำหินศักดิ์สิทธิ์จะช่วยให้พ่อของนางรอดชีวิตมาได้ แต่การกินอาหารย่อมมีประโยชน์มากกว่าสำหรับการฟื้นตัวจากการอาการบาดเจ็บ
เฒ่าหยูพยักหน้าแล้วพูดว่า “เอาสิ ต้มไข่ให้พ่อของเจ้า 2 ฟองด้วย ดีแล้วที่เขาฟื้น บรรพบุรุษของเราได้อวยพรและปกป้องเขาแล้ว...ข้าจะให้ต้าชานเข้าเมืองวันพรุ่งนี้เช้า ไปขอให้หมอซุนมาตรวจอาการของต้าไห่ว่าพ้นขีดอันตรายแล้วหรือยัง”
นางจางมองเขาแล้วทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูดออกมาและคิดในใจว่า ‘เห็นแก่เงิน 300 ตำลึง ข้าจะยอมอดทนก็ได้’
“เจ้าค่ะ ! ขอบคุณค่ะท่านปู่ !” หยูเสี่ยวเฉาตอบเสียงดังพร้อมกับยิ้ม แผ่นแป้งหยาบกับซุปเต้าเจี้ยวที่พวกเขากินเป็นอาหารเช้ามิใช่ของที่มนุษย์ควรกินเลยสักนิด ! ในเมื่อท่านปู่อนุญาตแล้ว นางจะผสมแป้งสาลีกับแป้งถั่วสองกำมือ แล้วทำก๋วยเตี๋ยวเพิ่มอีกนิดหน่อย ครอบครัวนางจะได้กินอาหารที่พิเศษบ้าง
“ท่านแม่ ข้าก็อยากกินไข่ต้มด้วยเหมือนกัน... !” ลูกชายของบ้านหนึ่งที่อ้วนจนตาแทบจะถูกบีบเข้าด้วยกันก็ได้ตะโกนออกมาพร้อมกับโยนแผ่นแป้งในมือทิ้ง
นางหลี่โมโหเป็นอย่างมากจึงตีเขา “กิน กิน กิน ! เอาแต่กิน ! มิกลัวพุงแตกตายหรือเยี่ยงไรกัน !”
หยูเสี่ยวเฉาถือแผ่นแป้งเอาไว้แล้วบีบจมูกซดซุปเต้าเจี้ยวจนหมด หลังจากนั้นก็ดึงเสี่ยวเหลียนเข้าไปในครัว
ฉีโตวทำตามพี่สาว เขารีบกินซุปเต้าเจี้ยวที่มีรสชาติไหม้ให้หมด แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะไปช่วยดูเตาไฟด้วย”
หลังจากหยูเสี่ยวเฉามองไปทั่วห้องครัวแล้ว นางก็รู้ว่าแทบไม่มีอาหารอยู่เลยยกเว้นหัวไชเท้าแห้งไม่กี่หัว แป้งถั่วครึ่งถุง และแป้งมันถุงใหญ่หนึ่งถุง นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามเสี่ยวเหลียนว่า “เรายังมีผักแห้งอยู่ที่บ้านอีกหรือไม่ ?”
เสี่ยวเหลียนคิดชั่วครู่แล้วถามว่า “เรามีใบมันเทศกับใบผักกาดตากแห้งอยู่บ้าง ใช้ได้หรือไม่ ?”
“เยี่ยงนั้นก็ใช้ใบมันเทศ !” หยูเสี่ยวเฉายักไหล่ราวกับไม่ได้คาดหวังอะไรมากอยู่แล้ว “เสี่ยวเหลียน มาทำก๋วยเตี๋ยวจากแป้งสาลีผสมแป้งถั่วกัน !”
“พี่สามทำอาหารอร่อยที่สุดอยู่แล้ว ! แต่บ้านเราท่านย่ามิค่อยยอมให้ใช้แป้งสาลีทำอาหารเลยนะ ถ้าหากใช้มากเกินไป ประเดี๋ยวท่านย่าก็ดุเราอีก”
ฉีโตวมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของพี่สามของเขามาก เขายอมเชื่อเรื่องของเสี่ยวเฉาที่ว่าไปนรกมา และสัญญาจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับให้ ตอนที่พี่สามไปเดินอยู่ในปรโลก นางได้รับความโปรดปรานจากเทพแห่งโชคลาภอย่างไม่คาดคิด และได้รับการสอนทำอาหารและการหาเงินมาด้วย นี่นับว่าเป็นโชคดีในโชคร้ายได้หรือไม่ ?
หยูเสี่ยวเฉาทำบะหมี่ถั่วเก่งกาจเป็นอย่างมากหากจะเรียกว่าชำนาญการก็มิได้เกินจริง ชาติก่อนนางกับน้อง ๆ มีชีวิตที่ยากลำบากหลังจากพ่อและแม่ตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ดังนั้นนางจึงได้พัฒนาความสามารถในการทำอาหารอร่อย ๆ ด้วยวัตถุดิบที่เรียบง่ายเหล่านั้น
หยูเสี่ยวเฉายิ้มพร้อมกับบีบจมูกฉีโตวแล้วเอ่ยว่า “วางใจเถิด ! มันมิต้องใช้แป้งสาลีเยอะหรอก อีกทั้งยังทำได้เยอะอีกด้วย”
ขณะที่พูดนางก็แช่ใบมันเทศตากแห้งลงในน้ำเพื่อทำให้นิ่มก่อนจะใส่ลงไปในหม้อก๋วยเตี๋ยว หลังจากนั้นนางก็ตักแป้งถั่วออกมาไม่ถึงครึ่งทัพพีแล้วตักแป้งสาลีจากตะกร้าที่แขวนอยู่บนราวหนึ่งถ้วยใหญ่ ๆ มีแป้งสาลีอยู่ในตะกร้าไม่มากนัก ดังนั้นเมื่อนางตักแป้งออกมาถ้วยใหญ่ แป้งในตะกร้าจึงหายไปเกือบครึ่ง
เสี่ยวเหลียนทำตาโตแล้วอุทานออกมาว่า “พวกเราจะใช้แป้งเยอะขนาดนั้นทำก๋วยเตี๋ยวแค่ชามเดียวได้เยี่ยงไรกัน ? ถ้าท่านย่าเห็นเข้า ประเดี๋ยวนางก็ด่าพวกเราอีกหรอก...”
“ก็ด่าไปสิ ! ไม่ว่าเราจะทำดีถึงเพียงไหน ท่านย่าก็หาเรื่องด่าได้ตลอดมิใช่รึ ถ้าอยากด่าก็ปล่อยให้ด่าไป เราก็แกล้งทำเป็นมิได้ยินเสีย !” เสี่ยวเฉาเทน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ลงในกะละมังแล้วผสมแป้งมัน แป้งถั่ว และแป้งสาลี เข้าด้วยกัน
หยูเสี่ยวเหลียนมองน้องสาวนวดแป้งอย่างชำนาญ ฝีมือการทำอาหารของนางดีกว่าแม่เสียอีก หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสี่ยวเฉาก็รีดแป้งให้เป็นแผ่นวงกลมแบน ๆ ขนาดใหญ่ แล้วก็โรยแป้งถั่วเพื่อป้องกันไม่ให้มันเกาะติดกัน จากนั้นก็พูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาว่า “เส้นบะหมี่จะบางเกินไปมิได้ ถ้าบางเกินไปมันจะพันกันจนยุ่งและจะเหนียวติดกันเป็นก้อน ๆ”
เสี่ยวเฉาตัดแป้งเป็นเส้น ๆ เส้นบะหมี่ถั่วไม่ควรตัดเป็นเส้นใหญ่เกินไปแต่ควรทำให้หนาแล้วต้มจนนุ่มและเหนียวจะอร่อยกว่า สิ่งเดียวที่ไม่ใช่เรื่องสำคัญก็คือความยาวของเส้น
“พี่สาม มันดูน่ากินมากเลย !” ฉีโตวมองเส้นบะหมี่อย่างตื่นเต้น ทุกเส้นหนาเกือบเท่ากันหมดและมีสีเหลืองซีด เขามองดูเส้นบะหมี่ถั่วแล้วอดที่จะกลืนน้ำลายไม่ได้
หยูเสี่ยวเฉาหยิกแก้มเด็กน้อยและทิ้งคราบแป้งสาลีสีขาวเอาไว้บนหน้าเขา นางยิ้มบาง ๆ แล้วก้มหน้าหั่นต้นหอมและผักตากแห้งที่แช่น้ำแล้ว
นางมองไปที่ตะกร้าที่ใส่แป้งสาลีแล้วเจอเนื้อหมูรมควันที่มีมันอยู่ในนั้น ดังนั้นนางจึงหยิบมันออกมาและเอาไปถูกับกระทะเหล็กร้อน ๆ น้ำมันจึงไหลออกมาทันที
เสี่ยวเฉาวางเนื้อหมูที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนกลับเข้าไปในตะกร้า และบอกให้เสี่ยวเหลียนเอากลับไปแขวนที่ราวดังเดิม หลังจากนั้นนางก็ผัดหัวหอมและผักแห้งอย่างรวดเร็วและใส่เกลือลงไป
เมื่อต้นหอมถูกผัดด้วยน้ำมันหมู มันก็ส่งกลิ่นหอมน่ากินออกมา ฉีโตวสูดเอากลิ่นหอมนั้นเข้าไปแล้วเลียปาก “หอมมากเลย น้ำลายไหลแล้ว !”
ตั้งแต่เกี๊ยวที่ได้กินตอนปีใหม่ อาหารของบ้านหยูก็มีแต่ที่ทำจากธัญพืชเม็ดหยาบเท่านั้น ไม่เพียงแต่ไม่อิ่ม มันยังไม่มีน้ำมันอีกด้วย ฉีโตวมีความสุขมากที่จะได้กินบะหมี่ที่ทำจากแป้งถั่วผสมกับแป้งสาลี
นางจางที่กำลังนั่งผิงแดดอยู่ในสนามหลังจากมื้ออาหารเช้า พอได้กลิ่นน้ำมันหมูจึงรีบวิ่งเข้าไปในครัวแล้วเอาตะกร้าลงมาทันที หญิงชราตรวจสอบเนื้อหมูรมควันขนาดเท่าฝ่ามือนั้นอย่างละเอียดแล้วมองเข้าไปในหม้อ เมื่อไม่พบอะไรผิดปกตินางจึงจงใจตะโกนขึ้นว่า “ก๋วยเตี๋ยวชามเดียวต้องทำเส้นมากถึงเพียงนั้นเลยรึ ? หึ พวกสุรุ่ยสุร่าย พวกเจ้าจะใช้ของในบ้านหมดแล้ว”
เสี่ยวเฉาชี้ไปที่เส้นบะหมี่บนเขียงแล้วเอ่ยว่า “ก็ข้าทำบะหมี่ครั้งแรกเลยกะจำนวนไม่ถูก แต่ข้าทำด้วยแป้งถั่วครึ่งหนึ่งแป้งสาลีครึ่งหนึ่งนะ ไม่ได้ใช้แป้งสาลีมาก ๆ สักหน่อย !”
นางจางหยิบถุงแป้งขึ้นมาดูและเห็นว่ายังมีแป้งสาลีเหลืออยู่ข้างใน อีกทั้งเส้นบะหมี่ก็มีสีเหลืองและกลิ่นเหมือนถั่ว นางจึงได้แต่บ่นพึมพำและออกจากครัวไป
เมื่อน้ำเดือด หยูเสี่ยวเฉาก็ใส่เส้นบะหมี่ลงในหม้อและตอกไข่ลงไป 2 ฟอง จากนั้นก็ปิดฝาและต้มไฟอ่อน ๆ อยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเส้นนุ่มเหนียวก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
หยูเสี่ยวเหลียนกับฉีโตวมองหน้ากันไปมา ฉีโตวทนมองเส้นบะหมี่แฉะ ๆ พวกนั้นไม่ได้และถามเสียงเบาว่า “มันต้มนานไปหน่อยหรือไม่ ?”
เสี่ยวเฉาเอาบะหมี่ใส่ถ้วยให้เด็กน้อยแล้วบอกด้วยรอยยิ้มว่า “ลองสิ ฝีมือของพี่สามเป็นเยี่ยงไรบ้าง ?”
ฉีโตวเป่าเส้นบะหมี่แล้วเอาใส่ปาก ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาทันที เขาตักเข้าปากอีกคำทั้งที่ยังร้อน ๆ เคี้ยวไปก็พึมพำไปด้วยว่า “อร่อย ! อร่อยสุด ๆ ไปเลย ! อร่อยกว่าก๋วยเตี๋ยวแป้งสาลีที่ข้าเคยกินมาเสียอีก”
เสี่ยวเฉาหยิบหัวไชเท้าอีกอันที่มีระดับความชื้นสูงและหั่นเป็นเส้นเล็ก ๆ บาง ๆ บะหมี่ถั่วไม่จำเป็นต้องเสิร์ฟกับเครื่องเคียงหรูหราอะไรมากมาย หัวไชเท้าเย็นหั่นฝอยหรือกะหล่ำปลีเผ็ดคือเครื่องเคียงที่ดีที่สุด
เสี่ยวเฉาใส่บะหมี่ถั่วลงในถ้วยของฉีโตวอีกหนึ่งช้อน จากนั้นก็ตักใส่ถ้วยให้ตัวเองกับเสี่ยวเหลียน พวกเขาเริ่มกินบะหมี่กันในครัวอย่างรวดเร็ว บะหมี่ถั่วกับเครื่องเคียงทำขึ้นอย่างง่าย ๆ และมีวัตถุดิบที่ไม่สมบูรณ์ แต่ด้วยฝีมือการทำอาหารของหยูเสี่ยวเฉารวมกับการเสริมด้วยน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เด็กทั้งสามคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อยจนแทบจะเลียถ้วย
เมื่อนางหลี่ได้กลิ่นหอมและเดินเข้ามาพร้อมกับลูกชาย สามพี่น้องก็กินบะหมี่ส่วนใหญ่ไปแล้วและเหลือเอาไว้ให้พ่อแค่ถ้วยใหญ่ถ้วยเดียว พวกเขาล้างถ้วยเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วย
“เจ้าพวกเหลือขอ มาแอบกินในครัวล่ะสิ มีอีกหรือไม่ ? เอามาให้พี่ไห่สือถ้วยหนึ่งด้วย !” นางหลี่เปิดหม้อแล้วจ้องไปที่ชามบะหมี่ด้วยสายตาที่อยากจะกินมัน
“มิมีแล้ว แป้งที่บ้านมีจำกัด ท่านปู่บอกให้พวกเราทำให้ท่านพ่อหนึ่งถ้วย เรามิกล้าทำมากกว่านั้นหรอก หากพวกเรากล้าทำเช่นนั้นท่านย่าคงได้ฆ่าพวกเราเป็นแน่ นี่ไงเจ้าคะมีแค่ถ้วยเดียว ฉีโตวอยากกินจนน้ำลายหกแล้วก็ยังมิกล้ากินสักคำ !” หยูเสี่ยวเฉาทำสีหน้าประหนึ่งว่า ‘ถ้ามิเชื่อก็ดูเอาเองสิ’
นางหลี่ไม่เชื่อและมองไปทั่วทั้งห้องครัว เมื่อไม่พบอะไรก็มองไปที่บะหมี่ถั่วเพียงถ้วยเดียวนั้น “พ่อของเจ้าเพิ่งฟื้นหลังบาดเจ็บสาหัส เขากินได้มิเยอะหรอก แบ่งมาครึ่งหนึ่งแล้วเอามาให้พี่ไห่สือ...” นางเอ่ยออกมาพร้อมกับเอื้อมมือมาจะคว้าเอาถ้วยบะหมี่ไปแบ่ง
หยูเสี่ยวเฉารีบหยิบถ้วยบะหมี่แล้ววิ่งไปที่ประตูครัวพร้อมกับตะโกนว่า “ท่านพ่อมิได้กินอะไรเลยมา 5 วัน ต้องให้กินเยอะ ๆ จะได้หายเร็ว ๆ... ท่านปู่ ท่านปู่เจ้าคะ ! ท่านพี่ไห่สือจะขโมยบะหมี่ที่ข้าทำให้ท่านพ่อเจ้าค่ะ... !”
เมื่อเห็นไห่สือจะเข้ามาแย่งถ้วยบะหมี่ในมือนาง หยูเสี่ยวเฉาก็วิ่งและตะโกนไปทางลานบ้าน ไห่สือมิเคยกลัวผู้ใด แต่เขากลัวสายตาของท่านปู่มากที่สุด เขากลัวมากเสียจนรีบดึงมือกลับและปล่อยให้เสี่ยวเฉาหลุดรอดไปได้
ปกติเวลานี้เฒ่าหยูมักจะซ่อมอวนอยู่ที่ลานบ้าน หยูเสี่ยวเฉาที่วิ่งออกมาจากในครัวรู้ว่านางหลี่กับลูกชายไม่กล้าแย่งบะหมี่ไปจากนางในที่โจ่งแจ้งเป็นแน่ นางมองกลับไปที่นางหลี่ด้วยสายตาดูถูก แล้วก็ถือถ้วยบะหมี่กลับไปที่ห้องของนาง
ในห้อง นางหลิวกำลังป้อนน้ำให้หยูไห่ด้วยช้อน ใบหน้าของหยูไห่เป็นสีแดง เห็นได้ชัดว่าเขายังมีไข้สูงอยู่ เขาขยับเข้ามาใกล้มือของนางหลิวแล้วดื่มน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ช้า ๆ นางหลิวเช็ดน้ำที่มุมปากของเขาอย่างระมัดระวัง ใบหน้าซูบผอมซีดเซียวของนางเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ทั้งสองนั่งมองหน้ากันราวกับมีกันอยู่เพียงแค่สองคนเท่านั้นในโลกใบนี้...
เสี่ยวเฉารู้สึกว่าการขัดจังหวะพวกเขาเป็นบาปที่ไม่สมควรได้รับการอภัย นางหลิวเป็นคนแรกที่รู้สึกตัวว่าเสี่ยวเฉาได้เข้ามาในห้อง เมื่อเห็นถ้วยบะหมี่ในมือของเสี่ยวเฉา นางก็ตกตะลึงทันที เมื่อก่อนถ้าคนของบ้านสองไปกินข้าวไม่ทัน ก็ต้องอดจนถึงมื้อต่อไป พวกเขาไม่เคยได้รับอนุญาตให้ทำอาหารอีกรอบเลยสักครั้ง บะหมี่ชามใหญ่นี้ก็ไม่ใช่ของที่พวกเขาจะได้กินเป็นอาหารเช้าเป็นแน่...
เสี่ยวเหลียนเห็นแววตาสงสัยของแม่จึงหัวเราะออกมา “ท่านปู่ได้ยินว่าท่านพ่อฟื้นแล้ว ก็เลยอนุญาตให้เราทำบะหมี่ถ้วยนี้เจ้าค่ะ เสี่ยวเฉาตั้งใจทำให้เยอะ ๆ ด้วย ท่านแม่จะได้กินด้วยกันได้...”
แม้ว่าจะมีการผสมแป้งถั่วลงไปด้วย แต่ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นแป้งสาลีอยู่ดี อีกทั้งยังมีน้ำมันที่หายากอยู่ในนั้นด้วย แน่นอนว่านางหลิวไม่เต็มใจจะกินและอยากให้ลูก ๆ ของนางได้กินเสียมากกว่า