CF:บทที่ 3 หนึ่งตบที่สดชื่น
CF:บทที่ 3 หนึ่งตบที่สดชื่น
คนที่สามารถทำให้อู๋ ฮ่าวเหรินเกรงกลัวไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นแม่ของเสี่ยว เฟิง แม่เสือที่เป็นเจ้าของที่ของบ้านนี้
เขาได้ยินเสียงไพเราะมาจากข้างนอก เสียงที่เหมือนเสียงนกขมิ้นร้องเพลง ชัดเจนและบริสุทธิ์ อ่อนโยนและนุ่มนวล
มันเป็นเสียงที่ไพเราะ ถ้าแค่ฟังมัน จะต้องคิดว่าเป็นสาวจากทางใต้ของแม่น้ำหยางซี ผู้หญิงที่อ่อนแอและงดงามแบบหลิน ไดยู
แต่อู๋ ฮ่าวเหรินหน้าเสียสุดๆเมื่อได้ยินเสียง เขาไม่คาดว่าเสี่ยว เฟิงจะพาใครมาถึงหน้าประตูตอนนี้ เขาคิดว่ามันน่าจะใช้เวลาอีกหลายวันกว่าเขาจะเจอปัญหา
เขาเคยมีประสบการณ์กับเรื่องแบบนี้มาแล้ว ไม่กี่อาทิตย์ก่อนที่เขาจะเช่าบ้านเมื่อปีที่แล้ว เขาถูกด่าจนไม่สามารถจะเงยหน้าได้ เขาเป็นคนที่อ่อนแอโดยสิ้นเชิง เขาไม่มีคุณค่าอะไรเอาแต่บอกว่าคนอื่นนั้นดีกว่า
อู๋ ฮ่าวเหรินยังคงจำความรู้สึกถูกฉุดรั้งและความไร้อำนาจได้ดี ตอนนั้นเงินในมือเขาต้องจ่ายค่าเช่า เหลืออยู่ไม่กี่ร้อยหยวน ถ้าเขากล้าขัดขืนล่ะก็แม้แต่งานที่เขาเพิ่งได้มาก็คงจบสิ้น ดังนั้นเขาทำได้แค่ทนโดนด่าไป
สถานะการณ์ตอนนั้นกับสถานการณ์ตอนนี้เทียบกันแล้วมันก็แทบจะเหมือนกัน หลังจากที่ซัดเสี่ยว เฟิงไปเขาก็ต้องพบเจอแม่เสือและเธอต้องด่าเขาต่อหน้าคนมากมาย ถ้าไม่ฟังเสียง มันก็เสือตัวเมียจริงๆ
ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิงแบบที่ฟังเสียงในจิตนาการ เห็นคนมากมายแม้ไม่เห็นหน้าเธอ ก็ทำไพร่พลนับพันตกใจกลัวได้
ต้องบอกเลยว่า ถ้าแขวนรูปคนไว้ที่หัวเตียงเพื่อกระตุ้นความสนใจแล้วล่ะก็ การแขวนรูปเธอที่หัวเตียงจะสามารถคุมกำเนิดได้อย่างแน่นอน
แม้แต่โจรข่มขืนยังต้องร้องขอความช่วยเหลือเมื่อเห็นเธอ
มันเป็นใบหน้าใหญ่ๆแบบที่ทำผีกลัวในตอนกลางคืนและทำคนกลัวตอนกลางวัน ร่างสูงของเสี่ยว เฟิงนั้นได้รับการถ่ายทอดมาจากแม่ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบ
ยิ่งกว่านั้น เขาได้ยินมาว่าสามีของผู้หญิงคนนี้ถูกทำให้สับสนเพราะเสียงของนางในคืนที่มืดและลมแรง ตอนนั้นเธอกึ่งหลับกึ่งเมาและมีความสัมพัธ์ที่สับสน พอเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันถัดไปแล้วเห็นหญิงสาวอยู่ข้างๆ เขาคิดว่าเขาเจอผีเข้าแล้ว
ว่ากันว่าหน้าตานั้นไม่สำคัญ ถ้าจิตใจดีงาม แต่ผู้หญิงคนนี้จิตใจนั้นตรงกับหน้าตาเลย
ชอบที่จะเอาเปรียบคนที่ต่ำกว่า ด่าว่าตามถนน ปากร้ายเสียยิ่งกว่าปากร้าย
อู๋ ฮ่าวเหรินไม่กลัวเธอจะไล่เขาออกไป ถ้าเธอทำเขาจะกล่าวขอบคุณ ค่าเช่าที่นี่ตั้ง 200 หยวนแพงกว่าที่ใกล้ๆกันเสียอีก เขาอยู่เพราะความจำเป็น
แต่ถ้าไม่เช่ามัน งานค่อนข้างดีที่ ต่อให้ตอนนี้ยังไม่เสียมันไป พี่ชายผู้จัดการของเธอก็จะกดดันเขาทุกวัน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเลื่อนขั้นและขึ้นเงินเดือนเลย
ดังนั้นทุกครั้งที่เกิดเรื่องแบบนี้ ผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นผู้หญิงคนนั้นด่าเขาอย่างไร้ความปราณีต่อหน้าทุกคน สุดท้ายเธอก็จะได้กำไรจากเขาเช่นค่าเช่าเดือนนี้ถูกบวกเพิ่มไปอีก 200 หยวน
“เธอบอกว่าเขาชื่ออู๋ ฮ่าวเหรินรึ เขาก็ไม่ใช่คนดีจริงๆแหละ ตอนลูกชายฉันไปเก็บค่าเช่าเขา เขากลับเริ่มหาเรื่องลูกชายฉัน ถ้าจะบอกว่าไม่มีเงินก็พูดสิ ฉันจะเลื่อนให้สองวันก็ได้ นี่มันวันปีใหม่แต่ดันเริ่มด้วยการต่อยตีคนอื่น”
“นั่นสิครับ ถ้ามันไม่ใช่เพราะเทศกาลปีใหม่และเขาก็ไม่ได้กลับบ้าน เขาคงน่าสงสารแย่ ด้วยหุ่นผมและอารมณ์ผม เขาคงลุกไม่ขึ้นถ้าผมซัดเขา”เสี่ยว เฟิงพูดตามยังไม่ลืมที่จะเบ่งว่าเขาจะให้อู๋ ฮ่าวเหรินต้องถูกซัด
เหมือนว่าหลังจากที่ชายคนนี้กลับไป เขาไปฟ้องแม่ปากดีของเขา มิเช่นนั้น เขาจะพูดเช่นนี้ได้อย่างไร
“ปัง!”
เสียงถีบประตูดังสนั่น ที่ปกติน่าจะเปิดประตูได้เลย แต่เพราะอู๋ ฮ่าวเหรินเพิ่งเอาของไปยึดไว้ ประตูจึงไม่ถูกถีบ เปิดออก แต่มีเสียงร้องอย่างเจ็บปวดมาจากข้างนอกแทน
อู๋ ฮ่าวเหรินรู้ว่าเขาซ่อนตัวไม่ได้ จึงยืนขึ้นและเดินไปที่ประตู เอาของที่ยึดประตูไว้ออกแล้วเปิดประตู
มีผู้หญิงแกร่งยืนอยู่นอกประตู มีรองพื้นหนาๆอยู่บนหน้า ซึ่งไม่สามารถซ่อนผิวขรุขระของเธอได้อยู่ดี
เธอน่าจะเพิ่งถีบประตูไปเมื่อครู่ เพราะตอนนี้เท้าขวาของเธอนั้นผิดธรรมชาติอย่างชัดเจนเลย
รอจังหวะที่หญิงปากร้ายจะอ้าปาก อู๋ ฮ่าวเหรินก็ชิงพูดก่อนว่า“คราวหน้ากรุณาเคาะประตูด้วย ผมไม่ปฏิเสธที่จะเปิดประตูให้คุณหรอก ถ้าประตูพัง ผมจ่ายให้ก็ได้ ยิ่งกว่านั้นคนที่เขาไม่รู้สถานการณ์จะคิดว่าคุณเป็นโจรนะ”
“พ่อหนุ่มที่น่าสงสาร แกกล้าพูดว่าฉันนักเลงหรอ เชื่อมั้ยว่า ฉันจะไล่แกออกจากบ้านเดี๋ยวนี้เลย”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนอู๋ ฮ่าวเหรินคงไม่กล้าพูดอะไร แต่กับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้เขาพูดอย่างเข้มแข็ง
“ถ้าคุณมีปัญญาคืนเงินผมได้ ผมจะไปเลย”
“โอ ฉันกล้าปฏิเสธเลยว่าฉันจะไม่คืนเงิน แกมันจนขนาดที่กลับไปหาครอบครัวไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แกกล้าหยาบคายใส่ฉัน…”
“เพี๊ยะ”
อู๋ ฮ่าวเหรินที่อยากตบหล่อนมานานแล้ว อารมณ์ดีสุดๆ ยังไงก็แล้วแต่ เขารู้ว่าถ้าเขาไม่รีบไปก่อนเสือตรงข้ามจะเกรี้ยวกราดเขาต้องจบอย่างอนาถแน่นอน
แม้ประตูจะไม่ได้ล็อกอู๋ ฮ่าวเหรินก็รีบวิ่งออกไปข้างนอกปล่อยให้คนในลานบ้านตกใจไป
“เมื่อกี้ใช่เสี่ยว อู๋รึเปล่า เด็กที่ถ่อมตัวและกลืนลมหายใจตัวเอง กลับลงมือลงไม้วันนี้ แถมซัดยัยเสือตัวเมียด้วย!”
“ใช่จริงด้วย เด็กนี่เหมือนจะรู้แล้วว่า ยิ่งเขาอดทดมากเท่าไหร่ เขาก็จะโดนรังแกหนักขึ้นเท่านั้น”
“...”
เสียงทุกเสียงนั้นเข้าหูของแม่เสือที่กลับมาตอบสนองแล้ว ซึ่งทำให้เธอหน้าเสียสุดๆและรองพื้นหนาๆบนหน้าของเธอก็ไม่สามารถปกปิดใบหน้าน่ารังเกียจเอาไว้ได้
เดิมทีเธออยากจะโกรธแต่ก็พบว่าอู๋ ฮ่าวเหรินหายตัวไปแล้ว เธอถีบประตู แล้วตบหน้าลูกชายเธอ
“แม่…”
เสี่ยว เฟิงเอามือบังหน้าเขา ด้วยความไม่พอใจและความกลัวบนหน้าเขา
“กลับบ้าน เจ้าสัตว์ป่าตัวน้อย ฉันเอาแกไว้ไม่ได้แล้ว”
อู๋ ฮ่าวเหรินที่วิ่งออกมาไม่รู้ว่าม้าปากเสียนั่นจะตอบโต้ยังไง แต่เขารู้ว่าลูกตบในวันนี้จะจบงานของเขาแน่นอน
พอใจเย็นลง เขาก็เสียใจนิดๆ เขามีแค่สองพันกว่าหยวนในมือเขา ถ้าถูกไล่ออกมาจากบ้านเช่าและไปเช่าที่อื่นเงินจะไม่พอ
นั่งอยู่ตรงข้างถนนสักพักลมเย็นๆก็พัดบนแก้มของอู๋ ฮ่าวเหรินทำให้เขารู้สึกหนาวนิดหน่อย
ได้ยินเสียงประทัดดังมาจากไกลๆทำให้เขาคิดถึงบ้านและคิดถึงที่พักอุ่นๆ
เดิมทีเขาอยากโทรหาครอบครัวเพื่อบรรเทาความหดหู่ในตอนนี้ แต่มือถือที่เขาหยิบมาด้วยนั้นไหม้และใช้การไม่ได้
ณ ตอนนี้ เขาคิดเกี่ยวกับระบบซองแดงที่น่าอัศจรรย์ในหัวของเขา เขาพบว่าเรื่องวันนี้เกิดขึ้นราวกับเป็นเพราะเขาได้ระบบมา ทำให้เขามีเศษเสี้ยวความเข้มแข็งจากภายในและปฎิวัติอย่างโกรธเกรี้ยว
ช่างมันเถอะในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ซัดคนพวกนั้นไปแล้ว ต่อให้เขากลับไปขอโทษมันก็เปล่าประโยนช์เพราะนิสัยสุดโต่งของแม่ลูกคู่นั้น
อู๋ ฮ่าวเหรินหันความสนใจไปที่ระบบซองแดงอีกครั้งและหวังว่าสิ่งนี้จะทรงอำนาจอย่างเช่นที่อธิบายในคู่มือและสามารถหยิบซองแดงจากมันได้
ตอนนี้ต้องเพิ่มกลุ่มก่อนและไปทดสอบว่ามันจริงหรือไม่
-------------------------------------