ตอนที่แล้วบทที่ 6 เจรจาต่อรอง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 8 การปรุงยาที่ผิดพลาด

บทที่ 7 หนี้สินมหาศาล


แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าจะหาทางมาชำระอย่างไรหรือแม้กระทั่งจะต้องจ่ายด้วยอะไร เจียงอี้ก็ยังคงกัดฟันของเขาและถามว่า "เจ้าต้องการให้ข้าคืนเงินเยี่ยงไร?"

พ่อบ้านเจ้าเล่ห์ยิ้มอย่างแผ่วเบาและราวกับว่าเขาพยายามที่จะขจัดปัญหาเช่นอยู่แล้ว เขากล่าวด้วยท่าทีนิ่งๆว่า

"งานศิลปะชิ้นนี้ถูกซื้อมาจากหอสมบัติ และราคาของมันก็ประมาณสิบตำลึงทอง ดูสิข้าไม่ต้องการอะไรมากมายจากเจ้าหรอก สิ่งที่เจ้าต้องทำก็เพียงจ่ายเงินคืนค่างานศิลปะให้ข้าเช่นเดิม! มิฉะนั้น ... ฮึ ... แม้ว่าพวกข้าจะเฆี่ยนตีเจ้าสองคนจนตาย พวกข้าก็มีเหตุผลที่เหมาะสมที่จะทำเช่นนั้น "

"สิบตำลึงทอง?"

เงินเดือนรายเดือนของเจียงอี้มีค่าเพียงตำลึงเงินจิ๋วๆ แต่สิบตำลึงทองนั้นมีค่าเท่ากับหนึ่งร้อยตำลึงเงินทั่วไป!

มันไม่สามารถที่จะเป็นไปได้เลยที่จะหาได้ถึงสิบตำลึงทองแม้ว่าเจียงอี้จะถูกขายเป็นทาสอีกคนก็ตาม เป็นที่แน่ชัดว่าผู้ชายคนนี้ตั้งใจที่จะทำให้เจียงเสี่ยวนู๋ตกเป็นทาสของที่นี่อย่างสิ้นเชิง

หรือจะต่อสู้กับพวกเขาให้ตายกันไปข้างนึง?

เจียงอี้ส่ายหัว ยังมีผู้คนมากมายอยู่ข้างนอกนั่นและเขาก็ไม่เหลือแก่นแท้พลังสีดำในร่างกายอีกต่อไป ถ้าเขาทำเช่นนั้น ทั้งเขาและเสี่ยวนู่อาจต้องจบลงด้วยการถูกทิ้งเป็นศพไว้ที่นี่

พ่อบ้านนั้นพูดถูก – มันไม่สำคัญเลยถ้าหากพวกเขาจะเฆี่ยนตีเราสองคนจนตายเพราะตระกูลเจียงนั้นคงไม่สนใจที่จะสอบสวนเหตุการณ์เช่นนี้อย่างแน่นอน

พ่อบ้านผู้นี้นั้นช่างฉลาดและดวงตาก็ช่างเปล่งประกายไปด้วยความเฉียบแหลม หากมองจากเครื่องแต่งกายของเจียงอี้และความจริงที่ว่าเสี่ยวนู๋สาวใช้ของเขากำลังทำงานอยู่ที่นี่

ใคร ๆ ก็คงเดาได้ว่าตำแหน่งของเขาในตระกูลเจียงนั้นต่ำมาก ใครจะสามารถคาดการณ์ได้ว่าเขานั้นจะกล้าทำเรื่องใหญ่โตได้

เจียงอี้ถอนหายใจอย่างเงียบๆ บางครั้งสิ่งที่เขาทำได้คือเรียกความกล้าหาญที่เขามีและบังคับตัวเองให้พูดออกมาว่า "การชดใช้เจ้านั้นไม่ใช่ปัญหา แต่เจ้าช่วยขยายเวลาออกไปได้หรือไม่?สิบตำลึงทองภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน ถ้าหากข้าไม่สามารถหามาคืนได้ ข้าจะมอบมือข้าให้เจ้า"

"หนึ่งเดือน?"

สายตาที่มุ่งร้ายของพ่อบ้านผู้นั้นกำลังหรี่ตาลงและส่ายหัวอย่างรวดเร็วและตอบว่า "คำพูดพวกนั้นช่างไม่มีความหมายอะไรเลย - หากว่าเจ้าต้องการที่จะหนีไปล่ะ?”

“เจ้าจะต้องทิ้งอะไรไว้ที่นี่เป็นหลักประกัน หรือเจ้าจะทิ้งสาวใช้นางนี้ไว้ล่ะ”

หัวเจียงอี้นั้นตระหนักไปหมด ตัวเขานั้นมีอะไรที่มีค่าพอมากกว่าตำลึงเงินก้อนหนึ่งบ้างไหม? เขาจะต้องทิ้งเจียงเสี่ยวนู๋ไว้ที่นี่งั้นหรือ? ใครจะรู้ว่านางจะถูกทารุณโดยพวกสารเลวนี่ตลอดทั้งเดือนนี้เช่นไร ...

เจียงอี้พยายามหาสิ่งต่างๆ ในขณะนั้นเขาก็นึกได้ว่ามีป้ายคำสั่งจากบริเวณหน้าอกของเสื้อคลุมของเขา และได้โยนมันไปตรงหน้าพ่อบ้านผู้นั้นและพูดว่า "ข้าจะใช้สิ่งนี้เป็นหลักประกัน! ข้าจะแลกมันกลับมาในเวลาหนึ่งเดือน!

ป้ายคำสั่งนี้ ท่านหัวหน้าหรงได้เป็นผู้มอบให้แก่เจียงอี้ ซึ่งเป็นป้ายอนุญาตให้เขาเคลื่อนย้ายสมุนไพรเข้าและออกจากสวนสมุนไพรในเขาซีชานได้อย่างอิสระ

กฎหมายของตระกูลเจียงนั้นเข้มงวดอย่างยิ่ง หากตำหนักลงทัณฑ์พบว่าเขาใช้ป้ายคำสั่งมาเป็นสิ่งค้ำประกันเขาจะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง

อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้นตัวเลือกที่มีอยู่อย่างจำกัดของเขานั้นไม่เหลืออะไรแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือก นอกจากจะต้องทำเช่นนี้

“โอ้ ?? เจ้าเป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลเจียงจริงๆด้วย!”

พ่อบ้านนั้นรับป้ายคำสั่งด้วยความประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่ตอบตกลงในทันที เขาก้มหัวคิดแล้วเริ่มบ่นและพึมพัมกับตัวเองแทน

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆและดำเนินไปเรื่อยๆ ร่างกายและกล้ามเนื้อของเจียงอี้ก็เกร็งขึ้นเมื่อเหงื่อเย็นๆไหลลงไปที่หลัง

เจียงเสี่ยวนู๋เปิดเผยถึงความกลัวและความกังวลใจของนางออกมาตามใบหูเล็กๆของนาง

ทางเดียวที่เจียงอี้และเจียงเสี่ยวนู๋จะออกจากหอนางโลมเฟิงเยว่ได้อย่างปลอดภัยคือคำตอบของพ่อบ้านคนนี้เพียงผู้เดียวเท่านั้น

"เอาล่ะ!"

ในที่สุดพ่อบ้านนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองที่เจียงอี้ก่อนที่จะพยักหน้าของเขาและตอบว่า

"คราวนี้ข้าจะไว้หน้าแก่ตระกูลเจียง - หลังจากนี้ สมาชิกทุกคนในตระกูลเจียงนั้นมีความสัตย์จริงโดยไม่ต้องสงสัยต่อคำพูดของพวกเขา

และแน่นอน ... ถ้าหากเจ้าผิดคำพูดในการชำระเงินในเวลาหนึ่งเดือน ข้าจะนำป้ายคำสั่งนี้ไปยังตำหนักลงทัณฑ์ของตระกูลเจียงเพื่อเรียกร้องเรื่องเงินแน่ๆ….. ตอนนี้พวกเจ้าออกไปได้แล้ว "

“ออกไป!!!”

เขารู้สึกราวกับว่าภาระอันหนักอึ้งนั้นผ่อนลง เจียงอี้ขบฟันของเขาและเดินไปโอบอุ้มเสี่ยวนู๋ก่อนที่จะเดินออกไปที่สนามหลังบ้านอย่างช้าๆและออกจากหอนางโลมเฟิงเยว่ไปตามสนามของบ้านตระกูลเจียง

ใบหน้าของเจียงอี้นั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ไปจากเดิมเลย แต่ภายในร่างกายของเขานั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดถึงที่สุด พ่อบ้านคนนั้นได้โจมตีเจียงอี้เข้าที่ส้นเท้าข้างขวา

หากเจียงอี้ไม่สามารถหาเงินมาคืนได้ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน คนผู้นั้นจากหอนางโลมเฟิงเยว่ก็คงจะมาเยี่ยมตระกูลเจียง และตำหนักลงทัณฑ์ของตระกูลเจียงก็คงจะทำลายทั้งขาของเขาและเจียงเสี่ยวนู๋อย่างไม่ต้องสงสัย ...

หอนางโลมเฟิงเยว่นั้นอยู่ไม่ไกลจากตำหนักของตระกูลเจียงเลย แต่เจียงอี้และเจียงเสี่ยวนู๋นั้นใช้เวลาทั้งชั่วโมงกว่าจะกลับไปถึงที่พักฝั่งตะวันตกของบ้านตระกูลเจียง

ทั้งสองคนนั้นได้รับบาดเจ็บทั้งคู่ แต่โชคดีที่พ่อบ้านผู้ที่เฆี่ยนตีเจียงเสี่ยวนู๋อย่างเลือดเย็นนั้นไม่ได้ใช้แก่นแท้พลังทำร้ายนาง ดังนั้นบาดแผลของเจียงเสี่ยวนู๋ที่เกิดขึ้นทั้งหมดจึงมีเพียงแค่บาดแผลจากภายนอกเท่านั้น

นางรู้สึกขอบคุณที่ตนเองไม่ได้รับบาดเจ็บภายในกล้ามเนื้อหรือซี่โครงมิฉะนั้นเจียงอี้ก็คงไม่รู้ว่าจะพานางกลับบ้านได้อย่างไร

เมื่อพวกเขากลับไปถึงที่พักข้ารับใช้ทางฝั่งตะวันตกของบ้านตระกูลเจียง มันก็เย็นมากแล้ว

ขณะนั้น ตรงกลางลานด้านตะวันตกนั้นมีผู้คนหนาแน่นและเสียงดัง เนื่องจากข้ารับใช้ของตระกูลเจียงที่อาศัยอยู่ที่นั่นเพิ่งกลับมาถึงที่พักเมื่อท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้ม

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครรบกวนพวกเขา... อย่างมากก็แค่มองอย่างเยาะเย้ยและหัวเราะ...

หลังจากหลายปีที่เจียงอี้และเสี่ยวนู๋มาอยู่ที่นี่และถูกคนเหล่านั้นเย็นชาใส่ ทั้งสองก็ไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่ปฏิกิริยาจะไม่เป็นมิตรและผู้คนมีท่าทีที่ประหลาดต่อพวกเขา

เมื่อเจียงอี้และเสี่ยวนู๋ถึงโถงเล็กๆของบ้านพวกเขา ขาของเจียงอี้ก็เหลวจนกลายเป็นวุ้นก่อนที่จะถึงประตูหลักของบ้านเสียอีก

เขาฟุบลงที่พื้นและจับไหล่ข้างซ้ายด้วยความเจ็บปวด เจียงอี้ค่อยๆสูดลมหายใจเข้าลึกๆผ่านทางปาก

เขาถูกทหารผู้ที่เป็นขั้นที่สามของขอบเขตฉูติ่งปล่อยหมัดเข้าให้อย่างจัง แม้ว่าเจียงอี้จะสามารถป้องกันการจู่โจมด้วยการปะทะฝ่ามือของเขา แต่ใครๆก็คงเดาได้ว่ากระดูกของเจียงอี้นั้นต้องแตกเป็นเสี่ยงๆ

ยิ่งไปกว่านั้นเขายังได้ใช้วิชาการต่อสู้อย่างหนักหน่วง แถมไม่ต้องพูดถึงเส้นทางที่ยาวไกลที่เขาต้องเดินกลับบ้าน ทุกสิ่งเหล่านี้ทำให้แผลของเจียงอี้ระคายเคืองและทำให้เขาต้องเจ็บปวดอย่างมาก เหงื่อของเขาก็ยังคงผุดขึ้นมาบนหน้าผากอย่างไม่ลดละ

"นายน้อย, นายน้อยเจียงอี้.... ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม??"

เจียงเสี่ยวนู๋รีบตามมาดูอย่างรวดเร็ว ใบหน้าที่เปรอะเปื้อนของนางแสดงความเจ็บปวดและเสียใจออกมา และน้ำตาก็ไหลอาบแก้มขณะที่นางพูดออกมา

เจียงอี้แสดงทีท่าว่าไม่เป็นไรและฝืนยิ้มออกมา เขาเอื้อมมือไปแตะที่หัวของเสี่ยวนู๋และปลอบใจนางด้วยการพูดว่า

"เสี่ยวนู๋อย่าร้องไห้เลย ข้าสบายดี นายน้อยของเจ้าน่ะ…ไม่ใช่ผู้ที่จะอ่อนแอได้ง่ายๆนะ”

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว!! นายน้อยของข้าเก่งที่สุด!” เจียงเสี่ยวนู๋ผงกหัวของนางอย่างรวดเร็วเหมือนกับไก่ที่กำลังจิกข้าวบนพื้น แต่นางก็ยังคงสะอื้นอยู่

“แต่…นายน้อย พวกเราจะหาสิบตำลึงทองภายในเดือนเดียวมาได้เช่นไร อาห์ ทั้งหมดมันเป็นความผิดของเซียวนู๋ ข้าเองที่สร้างภาระให้กับนายน้อย ...”

“อย่าพูดเช่นนั้น....มันไม่เกี่ยวว่าจะเป็นภาระหรือไม่!” สีหน้าของเจียงอี้อึมครึมขึ้นมาและจ้องมองเสี่ยวนู๋อย่างแผ่วเบาก่อนที่จะหลบหน้า

“เสี่ยวนู๋ เจ้าอย่าคิดที่จะพูดเรื่องบ้าๆเช่นนั้นออกมาอีกนะ เจ้ามีเพียงข้า นายน้อยคนเดียวที่เจ้ารักในโลกนี้ เข้าใจไหม? และแน่นอน ว่ามันจะไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเจ้าเช่นกัน!”

"เจ้าค่ะ นายน้อยของข้าเก่งที่สุด!" เสี่ยวนู๋นั้นซาบซึ้งใจมากจนนางร้องไห้ออกมาอย่างหนัก น้ำตาของนางรินไหลลงมาดั่งสายฝน

"เอาล่ะ เชื่อในนายน้อยของเจ้า.... ข้าจะคิดหาหนทางขึ้นมา เรามาช่วยกันเถอะ"

เจียงอี้พยายามยืนขึ้นและพยุงซึ่งกันและกัน และเขาก็ได้เดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับเจียงเสี่ยวนู๋

เมื่อเข้ามาถึงห้องของเจียงอี้เรียบร้อยแล้ว เจียงเสี่ยวนู๋ที่หน้ายังเต็มไปด้วยคราบน้ำตาก็ช่วยพยุงเจียงอี้ไปที่เตียงและจุดเทียนให้นายน้อยของนาง หลังจากนั้นนางก็รีบทาขี้ผึ้งไปบนบาดแผลของเขา

เจียงอี้ได้ส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น  "เจ้าทามันผิดที่แล้ว เจ้าเด็กโง่ ข้ามีอาการบาดเจ็บจากภายใน ฉะนั้นเจ้าจงไปนำยารักษาอาการบาดเจ็บภายในที่บำรุงเลือดที่ผลิตโดยตระกูลเจียงมาให้ข้าและวางยาขี้ผึ้งไว้ที่นี่ก่อน และเจ้าสามารถนำไปใช้กับอาการบาดเจ็บของเจ้าได้ในภายหลัง "

เจียงเสี่ยวนู๋เกาหัวของนาง ใบหน้าเล็กๆของนางนั้นเต็มไปด้วยท่าทางที่ดูอึดอัดใจก่อนที่จะรีบเดินออกไป

ในระหว่างทางกลับบ้าน เจียงอี้สังเกตว่าอาการบาดเจ็บของเสี่ยวนู๋นั้นไม่ได้ร้ายแรงอะไร เขาจึงไม่ค่อยรู้สึกเป็นกังวลกับนางมากนัก และหันไปจ้องมองเปลวไฟใต้แสงเทียนที่ริบหรี่แทน

ในตอนนั้นเองที่เขาเริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจและวิตกกังวลขึ้นเรื่อย ๆ ...

จากเมื่อวานจนถึงตอนนี้ สิ่งต่างๆเกิดขึ้นมากมายจนถึงจุดที่สมองของเขาแทบจะหลอมรวมกัน

เขาส่ายหัวตัวเองและเตรียมพร้อมที่จะรักษาจิตใจและสิ่งต่างๆภายในร่างกายตนเอง หลังจากที่เขารักษาบาดแผลตรงนี้ของเขาเสร็จแล้ว

ไม่นานเจียงเสี่ยวนู๋ก็เดินเข้ามาพร้อมถือขวดลายครามสีขาวขนาดเล็กและน้ำสะอาดหนึ่งถ้วยเข้ามาด้วย

"นายน้อย" นางพูดขณะที่วางของไว้บนโต๊ะข้างเตียง "ท่านต้องการจะดื่มยานี่ทันทีเลยหรือไม่?

หรือท่านอยากจะทานอะไรก่อนหรือไม่? โอ้ไม่นะ…นายน้อย ท่านยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันใช่ไหม? ท่านต้องการให้ข้าไปเตรียมบะหมี่สักสองชามก่อนไหมเจ้าคะ?"

"ไม่ต้องคิดมากเช่นนั้น!" เจียงอี้ส่ายหัว แล้วถามว่า " ยังพอมีเนื้อตากแห้งเหลืออยู่บ้างไหม ข้าจะกินอะไรที่ง่ายๆก่อน จากนั้นข้าค่อยรักษาบาดแผล "

"แน่นอนเจ้าค่ะ!"

เจียงเสี่ยวนู๋ก็รีบออกไปนำเนื้อตากแห้งกลับมา นางเคยออกไปข้างนอกเป็นประจำเพื่อทำงานและเตรียมเนื้อตากแห้งเอาไว้เพราะเกรงว่าเจียงอี้นั้นอาจจะหิวขึ้นมา

ในขณะนี้เนื้อตากแห้งคงจะมีประโยชน์อย่างมาก

อีกไม่กี่นาทีต่อมาเจียงเสี่ยวนู๋ก็นำเนื้อตากแห้งกลับมา ซึ่งทั้งสองคนก็กินกันอย่างมูมมามและรวดเร็ว

และเจียงอี้ก็มีเวลาซักถามเสียที "เสี่ยวนู๋เกิดอะไรขึ้นในวันนี้ ข้ารู้สึกว่าบางสิ่งมันไม่ค่อยสมเหตุสมผลกับเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ คนที่หอนางโลมเฟิงเยว่ตั้งใจที่จะหลอกลวงเจ้าหรือไม่?"

เจียงเสี่ยวนู๋จ้องมองด้วยความว่างเปล่าและกระพริบเป็นครั้งคราว ตอบกลับด้วยความงุนงงว่า "หลอกลวงข้าเหรอ? พวกเขาจะมาหลอกอะไรข้า ข้าทำภาพวาดขาด…"

"เด็กโง่!" เจียงอี้ถอนหายใจอย่างไร้ประโยชน์ และเขานั้นก็ไม่ได้อธิบายอะไรต่อ แต่เขาเปลี่ยนคำถามใหม่ "ทำไมเจ้าไม่บอกรายละเอียดล่ะ ว่าเกิดอะไรขึ้น?"

"อ๋อ ได้เจ้าค่ะ."

เจียงเสี่ยวนู๋เล่ารายละเอียดเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนั้นทันที เมื่อนางเล่าเสร็จ นางก็ถามด้วยความสับสนอย่างต่อเนื่องว่า "นายน้อย มีอะไรที่ท่านอยากจะถามข้าอีกไหม?"

เจียงอี้ไม่พูดอะไรเลย แต่นัยน์ตาของเขาดูเหมือนจะพ่นไฟออกมายังไงอย่างงั้น

จากสิ่งที่เสี่ยวนู๋กล่าวมา รวมกับสิ่งต่างๆที่เขาได้เห็น เขาสามารถยืนยันได้อย่างแม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้มีสาเหตุมาจากพ่อบ้านจากหอนางโลมเฟิงเยว่นั่น

เจียงเสี่ยวนู๋มักจะไปที่หอนางโลมเฟิงเยว่กับชุนหยาทุกวันทำงาน ซึ่งนางช่วยซักเสื้อผ้าและผ้าลินิน ที่เปลี่ยนโดยสตรีของคฤหาสน์

โดยปกติแล้วพวกนางทำงานในสวนหลังบ้านและไม่เคยได้รับอนุญาตให้ไปที่สนามหน้าบ้านหรือเข้าไปภายในตำหนัก

บุคลิกที่ซื่อสัตย์ของเสี่ยวนู๋นั้นยิ่งทำให้มั่นใจว่านางจะไม่วิ่งแล่นไปทั่วอาคารโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต

โดยปกติ เสื้อผ้าที่ซักแล้วจะถูกนำเข้าไปในตำหนักโดยคนรับใช้จากหอนางโลมเฟิงเยว่

แต่ในวันนี้ไม่มีคนจากหอนางโลมเฟิงเยว่ออกมารับเสื้อผ้า หญิงชราผู้หนึ่งจึงได้สั่งให้เจียงเสี่ยวนู๋ช่วยกันนำเสื้อผ้าเข้าไปในตำหนักด้วยกันแทน

ในตอนนั้นเจียงเสี่ยวนู๋ก็เริ่มกังวลที่ปล่อยเจียงอี้ไว้คนเดียว และนางต้องการทำงานเสร็จให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้กลับบ้านโดยเร็ว...เจียงเสี่ยวนู๋ก็ถือผ้าถังใหญ่ของนางเดินตามหญิงชราเข้าไปในตำหนักโดยไม่ได้เอะใจอะไร

ซึ่งผลที่ตามมาคือ เสี่ยวนู๋ที่เพิ่งก้าวเท้าเข้ามาในตำหนักและทหารนั้นก็ "บังเอิญ" ทำให้นางสะดุด และเสี่ยวนู๋ก็ดัน "บังเอิญ" ชนเข้ากับโต๊ะตรงกำแพงและสิ่งที่ถูกวางไว้นั้น "กลายเป็น" งานศิลปะที่มีชื่อเสียง " ที่ถูกซื้อมาโดยตำลึงทองมากมาย

หลังจากนั้น พ่อบ้านผู้นั้นก็ปรากฏตัวขึ้นและตบตีเจียงเสี่ยวนู๋อย่างโหดร้าย และอนุญาตให้ทหารนำเสี่ยวนู๋ไปขังไว้ที่สนามหลังบ้าน โดยเรียกร้องให้นางจ่ายค่าเสียหายหรือลงนามในสัญญาและขายตัวเองให้กับที่นั่น ...

เสี่ยวนู๋นั้นเป็นคนที่ซื่อบื้อมากระดับที่.. หากแม้ว่านางกำลังจะถูกขายออกไป นางก็ยังคงต้องการที่จะช่วยให้ผู้ที่ขายนางนั้น ได้กำไร

ส่วนเจียงอี้ก็เป็นคนที่ฉลาดและตื่นตัวตั้งแต่เด็ก เขาเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างแจ่มแจ้งหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

เขาถอนหายใจยาวและแผ่ความรู้สึกมุ่งร้ายออกมา เขากัดฟันของเขา และเขาสาบานออกมาด้วยเสียงเบาๆ "ได้..พวกเจ้าเยี่ยมมาก พวกหอนางโลมโลมเฟิงเยว่

พวกมันกล้าที่จะหลอกลวงและทำอันตรายต่อเสี่ยวนู๋เช่นนี้ได้อย่างไร? คอยดู วันหนึ่ง ข้า เจียงอี้ผู้นี้จะทำลายพวกเจ้าและเรือนที่แสนใหญ่โตของพวกเจ้าให้กลายเป็นจุณ... "

"นายน้อย ได้โปรดอย่าทำเช่นนั้นเลย! ข้าได้ยินมาว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังผู้คนของหอนางโลมเฟิงเยว่นั้นทรงพลังมาก..ท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาเลย!"

เมื่อเห็นท่าทีการแสดงออกของเจียงอี้ เจียงเสี่ยวนู๋รู้สึกกลัวและกังวลใจ เสี่ยวนู๋ตระหนักถึงสิ่งที่เขาได้ทำลงไปในวันนี้ได้ทันที นางก็ถามอย่างฉงนใจว่า

"อ้อ เดี๋ยวนะ นายน้อย ท่านแข็งแกร่งขึ้นมากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ตอนนี้ท่านมีพลังมากมายจนสามารถทำร้ายคนเลวเหล่านั้นได้ ... "

"อืม…เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลกับสิ่งเหล่านี้ เชื่อข้า! เสี่ยวนู๋ บางที ... ในเร็วๆนี้ข้าอาจจะสามารถมอบชีวิตที่ดีให้กับเจ้าได้ และเจ้าก็จะไม่จำเป็นต้องออกไปทำงานข้างนอกอีกต่อไป"

เมื่อเจียงอี้นึกเกี่ยวกับแก่นแท้พลังลึกลับสีดำขึ้นมา จิตใจของเจียงอี้ก็มีแรงมากขึ้นและกลับมาวุ่นวายอีกครั้ง เขาซัดเนื้อตากแห้งที่เหลือทันทีด้วยการกินอย่างรวดเร็วในไม่กี่คำ

เขาพร้อมที่จะเริ่มรักษาเมื่อเขากินเสร็จ และต่อมาเขาก็จะเริ่มศึกษาแก่นแท้พลังสีดำอย่างระมัดระวัง

และเจียงอี้มีความรู้สึกว่าบางทีแก่นพลังสีดำอันลึกลับนี้จะทำให้ชีวิตของเขาพลิกกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์

"โอ้! โอ้! พลังนายน้อยช่างมากมายนัก! ท่านจะต้องทำได้ นายน้อย!" เจียงเสี่ยวนู๋ที่ใสซื่อและเต็มไปด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์นั้นหยุดถามคำถามอย่างรวดเร็ว

นางพยักหน้าอย่างรวดเร็วและดวงตาของนางกลมโตราวกับดวงจันทร์ เห็นได้ชัดว่านางแหงนมองเจียงอี้อย่างตื่นเต้น

เมื่อทั้งคู่กินเนื้อตากแห้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจียงอี้ก็ได้ตรวจสอบบาดแผลของเสี่ยวนู๋อีกครั้ง เพื่อยืนยันว่านางไม่มีกระดูกหรือซี่โครงส่วนไหนหักหรือได้รับบาดเจ็บ

เขาจึงค่อยให้นางกลับบ้านเพื่อตามชุนหยามาช่วยทาขี้ผึ้งให้นาง เจียงอี้พลางสั่งนางไม่ให้สมาชิกครอบครัวคนใดรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนี้

เจียงเสี่ยวนู๋นั้นเชื่อฟังเจียงอี้มาตั้งแต่นางยังเด็กแล้ว หลังจากถามคำถามเสี่ยวนู๋สองสามข้อจนหมดความกังวลแล้ว เสี่ยวนู๋ก็เดินโซซัดโซเซออกจากบ้านไป

ความอ่อนแอและลีบผอมที่สะท้อนท่ามกลางแสงเที่ยนนั้นดูน่าสมเพชเหลือเกิน ... มันเป็นสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดให้กับเจียงอี้เป็นอย่างมาก

หลังจากที่เสี่ยวนู๋ออกไปแล้ว เจียงอี้ก็นั่งบนเตียงของเขาด้วยความมึนงง เขาใช้โอกาสในการชำระล้างจิตใจที่ยุ่งเหยิงของเขา

เมื่อวานนี้เขาเพิ่งถูกทุบตีโดยเจียงหยูหู่กับลูกน้องของมัน และอยู่ในสภาพเลวร้ายตลอดทั้งเช้า เมื่อกลับถึงบ้าน บทสวดนิรนามก็ปรากฏขึ้นอย่างลึกลับในจิตใจของเขา

จากนั้นเขาก็ฝึกแก่นแท้พลังลึกลับสีดำผ่านบทสวดนิรนาม และการยืมแก่นแท้พลังสีดำนี้มาใช้ เขาจึงเอาชนะเจียงเป่าและได้ไปช่วยเสี่ยวนู๋ออกมาจากหอนางโลมเฟิงเยว่

และตอนนี้เขามีหนี้จำนวนมหาศาลซึ่งมีค่าเท่ากับสิบตำลึงทองอีก ...

"ตั้งสิบตำลึงทอง...."

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เจียงอี้ก็เริ่มเบ้ปาก เขาจะไปหาสิบตำลึงทองนั่นมาได้จากที่ไหนภายในหนึ่งเดือน?

นอกจากนี้เขายังทำร้ายเจียงเป่าในตอนเช้า....แน่นอนว่าหัวหน้าของมัน ไอ้เจียงหยูหู่ก็คงจะมาแก้แค้นในเร็วๆนี้

แม้ว่าความสามารถของเจียงหยูหู่นั้นค่อนข้างธรรมดา แต่พ่อของมันเป็นหัวหน้าพ่อบ้านของตระกูล แถมเจียงหยูหู่นั้นไม่เคยขาดแคลนยาสมุนไพร ซึ่งมันสามารถช่วยเพิ่มพลังให้กับเขาไปถึงขั้นที่สี่ของขอบเขตฉูติ่ง

และถึงแม้ว่าเจียงอี้จะใช้แก่นแท้พลังสีดำของเขา แต่มันก็ยังคงยากที่จะชนะเจียงหยูหู่ในการต่อสู้ได้

"เป็นไงเป็นกัน ข้าไว้ใจเจ้า เจ้าพลังสีดำ!"

เจียงอี้เม้มริมฝีปากของเขาและรู้สึกราวกับมีแสงแห่งความหวังเปล่งประกายผ่านดวงตาของเขาออกมา แก่นแท้พลังสีดำนี้ช่างลึกลับและทรงพลังมาก

หากเจียงอี้ศึกษาอย่างรอบคอบ บางทีเขาอาจค้นพบพลังใหม่ที่ยังคงซ่อนอยู่ ซึ่งคงจะช่วยให้เขาหนีจากสถานการณ์ที่เลวร้ายของเขาได้ ...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด