ตอนที่แล้วGE310 เป่ยเหยา [ฟรี]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปGE312 วังอาภรณ์ม่วง [ฟรี]

GE311 แม้เป็นสหายก็ไม่อาจทดแทนได้ [ฟรี]


หลังจากพูดคุยกับเป่าเหยาจนเข้าใจ หนิงฝานและพวกนางก็พักอยู่ในวังราชาหมึกอีกหลายวัน

ในขณะที่ซีหลานและเป่ยเหยาพักรักษาตัว หนิงฝานก็ใช้ดวงจิตอสูรตัดวิญญาณ 300 ดวงเพื่อยกระดับทาสของตน

ส่วนพิษหนอนม่วง หนิงฝานดูดซับโลหิตอสูรที่ได้มาจนถอนพิษได้สำเร็จ สัมผัสเทพของเขาจึงบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณขั้นสูงสุด

ส่วนแมลงพิษที่เขาได้มาจากราชาหมึกนั้น ต้องเก็บเอาไว้ก่อนเพราะยังไม่มีเวลาได้ดูดซับพวกมัน การจะดูดซับพวกมันนั้นกินเวลานาน แต่เขาต้องรีบกลับเกาะดาราแล้ว

หนิงฝานมอบหน้าที่ให้ทหารศิลาดูแลควบคุมเรื่องทาส หากเทียบวิชายกระดับทาสที่ทหารศิลาให้ กับวิชาที่เป่ยเหยาให้ ของนางครบพร้อมและสมบูรณ์กว่าอย่างเทียบไม่ติด

ตามที่เป่ยเหยากล่าว เมื่อหนิงฝานได้ครอบครองวิชายกระดับทาส หากเขาได้ท่องไปในโลกใบต่างๆ รวบรวมทาสเอาไว้และยกระดับพวกมัน เขาจะกลายเป็นผู้ที่ไม่มีใครอยากเป็นศัตรูด้วย

“น่าเสียดายที่พันปียังนานเกินไป… ช่างเถอะ ข้าคงทำได้แค่ยกระดับทาสไปก่อน”

ทหารศิลาและแหวนหยวนเหยาที่เขามี จะให้เป่ยเหยาเห็นไม่ได้ เพราะกลัวจะเกิดปัญหาตามมาไม่จบสิ้น

หากจะยกระดับเหล่าทาส ก็ต้องมีทรัพยากรที่เพียงพอ ยามนี้หนิงฝานมีดวงจิตอสูรตัดวิญญาณขั้นต้นอยู่ทั้งหมด 207 ดวง ขั้นกลาง 55 ดวง ขั้นสูง 41 ดวง ขั้นสูงสุด 15 ดวง และกึ่งไร้ดัดแปลงอีก 9 ดวง

ดวงจิตขอบเขตตัดวิญญาณขั้นต้นใช้ได้เฉพาะกับทาสในขอบเขตตัดวิญญาณขั้นต้นเท่านั้น

หนิงฝานจึงเลือกที่จะใช้ดวงจิตขอบเขตตัดวิญญาณขั้นกลางไป 50 ดวง เพื่อทำให้ทาสในขอบเขตตัดวิญญาณขั้นต้น 5 ตน ยกระดับเป็นขอบเขตตัดวิญญาณขั้นกลางทั้งหมด

ใช้ดวงจิตขอบเขตตัดวิญญาณขั้นสูง 40 ดวง เพื่อยกระดับทาสขอบเขตตัดวิญญาณขั้นกลาง 4 ตน ไปเป็นขอบเขตตัดวิญญาณขั้นสูง

ใช้ดวงจิตขอบเขตตัดวิญญาณขั้นสูงสุด 10 ดวงเพื่อยกระดับให้กับทาสขอบเขตตัดวิญญาณขั้นสูง 1 ตน จนมันบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณขั้นสูงสุด

จากนั้นทุ่มดวงจิตทั้งหมด เพื่อยกระดับต่อให้มันกลายเป็นทาสขอบเขตกึ่งไร้ดัดแปลง ที่ทรงพลังเทียบเท่าชายชราตงสู่

ดังนั้นตอนนี้ หนิงฝานจึงมีทาสขอบเขตตัดวิญญาณขั้นกลาง 5 ตน ขั้นสูง 4 ตน และกึ่งไร้ดัดแปลงอีก 2 ตนหากรวมมังกรทมิฬ

นับว่าการทำสงครามที่ผ่านมาไม่สูญเปล่าแม้แต่น้อย

นอกจากการยกระดับพลังให้เหล่าทาสแล้ว ยังมีส่วนของการผสานพลังทาสอยู่ด้วย

การผสานพลังทาสคือการใช้ทาสส่วนหนึ่ง เพื่อเพิ่มพลังให้กับลทาสอีกส่วนหนึ่ง แต่วิธีการนี้ จะทำให้ทาสที่เป็นฝ่ายมอบพลังต้องเสียหายจนไม่อาจซ่อมแซมกลับคืน

หนิงฝานมั่นใจว่า หากเขานำพลังจากทาส 9 ตัวผสานให้ทาสในขอบเขตกึ่งไร้ดัดแปลง ทาสตัวนั้นจะทรงพลังเทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญไร้ดัดแปลงขั้นต้นในเวลาสั้นๆได้ นี่คือไพ่ตายที่หนิงฝานเก็บไว้

ในอนาคตหากกลับไปทะเลส่วนใน แม้เขาจะมีศัตรู 7 ผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุด เขาก็มั่นใจว่าจะเอาตัวรอดได้

แต่ถึงจะกล่าวเช่นนั้น หนิงฝานเองก็ยังไม่รู้ว่าในทะเลส่วนในจะมีผู้เชี่ยวชาญไร้ดัดแปลงอยู่หรือเปล่า

ทะเลไร้สิ้นสุดอยู่ในเขตปกครองของวิหารพิรุณ อยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ของวิหารพิรุณ นั่นหมายความว่า วิหารพิรุณทรงพลังมาก

อย่างน้อย ผู้เชี่ยวชาญกึ่งไร้ดัดแปลงทั้ง 7 ในทะเลส่วนในก็ยังไม่เพียงพอให้วิหารพิรุณต้องระวัง

“ห้ามดูถูกศัตรู ต่อให้เข้าทะเลส่วนในได้โดยไร้กังวล แต่ยังต้องระวังตัวให้มาก...”

หนิงฝานเก็บทาสทุกตนไป ยามนี้สัมผัสเทพของเขาบรรลุขอบเขตตัดวิญญาณขั้นสูงสุด

หากเป็นทั่วไป สัมผัสของจะยกระดับได้จากการปรุงโอสถหรือด้วยฝึกฝนวิชาบางอย่างที่ต้องใช้เวลา แต่หนิงฝานกลับระดับสัมผัสเทพได้อย่างรวดเร็ว

ด้วยวิชาสัมผัสเทพที่ยกระดับ ร่างวิญญาณของเขาสมควรยกระดับด้วย นอกจากนี้ หนิงฝานยังพบบางสิ่งที่ส่งผลกับการยกระดับสัมผัสเทพ

นั่นคือโลหิตโบราณในร่างของเขาเพิ่มจำนวนมากขึ้น

เดิมทีเขามีโลหิตฟู่ลี่อยู่ 4 หยด แต่ตอนนี้ เขาเห็นโลหิตสีดำในร่างเพิ่มขึ้นมาด้วย!

“นี่มัน...” หนิงฝานสงสัย

ตอนที่ชิงโลหิตบรรพบุรุษมา เขาก็เผาพวกมันเพื่อหยิบยืมพลังสังหารอสูรในดาราสมุทรไปมากมาย

แม้โลหิตมังกรทมิฬจะล้ำค่า แต่หนิงฝานมีโลหิตฟู่ลี่ในร่างอยู่แล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องใช้มัน

ตามคำบอกเล่า หากดูดซับโลหิตมังกรทมิฬ ปราณอสูรและความหนาแน่นของโลหิตโบราณจะเพิ่มมากขึ้น แต่สิ่งที่ไม่เพิ่มคือจำนวนโลหิต

นอกจากนี้ การเก็บโลหิตมังกรทมิฬไว้กับตัว ยังจะทำให้ตนเองกลายเป็นเป้าหมายตามล่าของจ้าวดารา เพราะของล้ำค่าเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องปรารถนาเป็นเรื่องธรรมดา

หรือเพราะการเผาโลหิต ทำให้จำนวนโลหิตโบราณในร่างของเขาเพิ่มมากขึ้น

“มีอะไรที่ข้ายังไม่รู้อยู่อีกงั้นเหรอ?”

หนิงฝานเลิกที่จะสนใจเรื่องโลหิตบรรพบุรุษ ในอนาคตหากเขาแข็งแกร่งขึ้น โลหิตบรรพบุรุษในร่างสมควรเข้มข้นและเพิ่มจำนวนมากขึ้น

หากในอนาคตหนิงฝานได้มีโอกาสครอบครองโลหิตบรรพบุรุษอีก หนิงฝานจะลองเผามันอีกครั้งเพื่อดูว่าจำนวนโลหิตของเขาจะเพิ่มขึ้นอีกหรือเปล่า

ผ่านไป 10 วัน

กุ่ยเฉินและนายกองอสูรคนอื่นๆรับผิดชอบดูเขตแดนของตน และสร้างอนุสรณ์ให้หนิงฝาน เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมพลังแห่งเพลิงธูป

เฟิงหานและคนของมันยังรั้งอยู่ในวังราชาหมึกชั่วคราวเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ เมื่อพวกมันหารือกันเสร็จสรรพ พวกมันตัดสินว่าจะกลับออกไปยังแดนอสูร

ส่วนหนิงฝานเอง หลังจากเขาจัดแจงเรื่องต่างๆเสร็จ เขาก็มุ่งหน้ากลับเกาะดารา

หนิงฝานได้เปลี่ยนขนาดให้กับมังกรทมิฬ ทำให้ตัวมันมีขนาดเล็กลง เพื่อจะได้ไม่ทำให้ผู้คนหวาดกลัว แต่ถึงขนาดจะเล็กลง ความแข็งแกร่งและความเร็วในการลากรถของมันก็ยังไม่เปลี่ยน

หนิงฝานเดินทางออกจากเกาะดาราได้ 2 เดือนแล้ว การปรากฏตัวของเป่ยเหยาแสดงให้เห็นความ ชายชราเว่ยฉวนไม่อาจถ่วงเวลาให้เขาได้อีก ดังนั้น อาจมีผู้เชี่ยวชาญจากแดนสวรรค์ลงมาที่นี่ก็เป็นได้

การเดินทางเข้าสู่วังสวรรค์ สิ่งที่หนิงฝานต้องทำคือจัดการเรื่องสนมอสูรจื่อ ช่วยลู่หวู่ และชิงดาราจักรพรรดิ

การฆ่าล้างสังหารตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ไม่ทำให้หนิงฝานเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้น ในแววตาของเขากลับซ่อนไว้ซึ่งความกังวล

“เจ้ามีรถเพลิงทองคำ… สิ่งนี้คือรถศึกที่ใช้ในลานสวรรค์โบราณ เจ้าไปได้มายังไง?” ยามนี้เป่ยเหยาอารมณ์ดีขึ้นมาก นางนั่งมองทิวทัศน์ของทะเลที่งดงาม พลางหวีผมอย่างผ่อนคลาย

“ข้าแค่โชคดีได้มา… ว่าแต่ ข้าเองก็มีเรื่องจะถามท่าน ในวันที่ข้าช่วยท่าน ข้าเห็นซากของอสูรร่วงลงมาท่าน… มีอสูรแค่ตนเดียวเหรอที่ตามล่าท่าน?” หนิงฝานกล่าวถาม

“ตนเดียว! เป็นไปไม่ได้ ก่อนที่ข้าจะหมดสติไป ข้าใช้วิชาทำลายพวกมันไปแล้ว พวกมันสมควรตายทั้งสองตัว!”

แววตานางแปรเปลี่ยนเย็นชา แต่ความเย็นชานี้ ไม่ได้เพ่งมาที่หนิงฝาน

“เป็นไปได้ว่าอีกตัวยังรอดอยู่! มันอยู่ที่ไหนกัน!” นางขบคิด

“บางทีมันอาจจะบาดเจ็บและหนีไปแล้วก็ได้” ซีหลานสลักบางสิ่งลงไปในแผ่นหยกในมือ นางเก็บไว้ไม่ให้หนิงฝานเห็น ราวกับมีความลับของนางอยู่ในนั้น

“ไม่… มันไม่น่าจะหนีไปไหน… มีโอกาส 7 ส่วนที่มันกำลังรอโอกาสเพื่อจู่โจมท่าน อีก 3 ส่วนมันอาจตายจนร่างไม่เหลือซาก… ถ้าเป็นอย่างหลังก็คงดี...” หนิงฝานกล่าว นั่นคือความกังวลที่เขาเก็บซ่อนไว้

เขากลัวว่าอสูรตนนั้นยังไม่ตาย และกำลังหาโอกาสที่จะจู่โจมเป่ยเหยา

“ทำไมเจ้ามั่นใจขนาดนั้น เจ้าคิดว่ามันยังไม่หนีไปเหรอ? ไหนหล่ะหลักฐาน?” นางสนใจในตัวหนิงฝาน แม้อายุกระดูกเพียง 400 ปี แต่คำกล่าวกลับฟังดูมีเหตุผลและลึกล้ำ

“ท่านกำลังทดสอบข้าอยู่เหรอ?” หนิงฝานจ้องมองนาง

“อืม...”

“โดยทั่วไป พวกโลกอสูรจะจู่โจมเซียนที่เดินทางข้ามมิติ แต่ตัวท่านแม้จะเป็นเซียนแต่ถูกผนึกพลังไว้เพียงขอบเขตไร้แบ่งแยก ถึงอย่างนั้น พวกมันก็ยังเลือกที่จะจู่โจม...ข้าว่ามันไร้เหตุผล อีกอย่าง พิษกร่อนเซียนก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกมันสมควร ข้าจึงคิดว่ามีใครบางคนอยู่เบื้องหลัง หากสังหารท่านไม่สำเร็จ อสูรตนนั้นก็ยังสมควรอยู่ที่นี่”

“แต่วังสวรรค์ที่อยู่ชั้นถัดไป รองรับพลังได้เพียงขอบเขตไร้ดัดแปลง หากผู้ที่มีระดับพลังมากกว่านั้นเข้าไป ที่นั่นจะล่มสลาย ข้าจึงเดาว่า ถ้ามันไม่ตาย ก็สมควรบาดเจ็บสาหัสจนระดับพลังลดลง ยามนี้มันอาจซ่อนตัวและตามหาท่านเพื่อลอบสังหาร” หนิงฝานกล่าว

เป่ยเหยาพยักหน้า

“ข้าก็คิดเหมือนเจ้า… เจ้ามีจิตใจที่เข้มแข็ง แข็งแกร่ง เพียงแต่วิชาที่ฝึกฝนยังมีระดับต่ำอยู่มาก...” นางถอนหายใจพลางมองหนิงฝานด้วยแววตาที่เสียดาย

“วิชาแปลงหยินหยาง คือวิชาที่ใช้หยินเสริมหยาง ไม่ใช่วิชาฝ่ายธรรมะ และยากที่จะยกระดับให้ถึงจุดสูงสุด… ในอดีต ข้าเองก็มีสหายที่เฝ้าตามหาวิชานี้อยู่ และวันหนึ่ง นางก็ได้พบสร้อยหยินหยางที่จักรพรรดิสวรรค์ตกทอดไว้”

เป่ยเหยาถอนหายใจ หลั่วโยว่ที่อยู่ในสร้อยหยินหยางเองก็ถอนหายใจ

แม้ในอดีตทั้งสองจะไม่ค่อยถูกกันนัก แต่นั่นก็ทำให้ทั้งสองกลายเป็นเหมือนสหาย

“วิชาแปลงหยินหยาง?” ซีหลานสงสัย หนิงฝานคืออสูรเผ่าพันธุ์ฟู่ลี่ เหตุใดถึงฝึกฝนวิชาปีศาจ

เป่ยเหยาไม่อธิบาย นางกล่าวต่อ “วิชานี้ไม่เหมาะกับเจ้า การดูดซับพลังจากสตรีจะสร้างปัญหาให้เจ้ามากมาย จนยากที่จะบรรลุจุดสูงสุดของวิชา… หากข้าคลายผนึกได้เมื่อไหร่ ข้าสามารถถ่ายทอดวิชาเซียนระดับสูงให้เจ้าได้ อีกอย่าง ข้าเองก็มีเส้นสายอยู่ในวิหารสาบสูญ ข้าย่อมช่วยขอให้เจ้าให้ได้เป็นผู้ถูกเลือกของวิหาร เพื่อมีโอกาสที่จะได้ขึ้นไปยังแดนสวรรค์ในอนาคต”

นางหวังดีกับหนิงฝาน ทั้งยังบอกว่าวิชาแปลงหยินหยางไม่เหมาะกับเขา

แต่หากนางรู้ว่าวิชาแปลงหยินหยางไม่ได้แย่เหมือนที่นางเข้าใจ ทั้งยังช่วยให้เขาฝึกฝนวิชาของทั้ง 3 เผ่าพันธุ์ได้ นางคงไม่กล่าวแบบนี้

“ผู้ถูกเลือก?” หนิงฝานจ้องมองเป่ยเหยา ดูเหมือนเขาจะได้โอกาสนี้ครั้งที่ 3 แล้ว

เป่ยเซี่ยนเหมินอยากให้เขาเป็นผู้ถูกเลือกของวิหารสาบสูญ เป่ยลี่เองก็เช่นกัน และยามนี้ เป่ยเหยายังมอบโอกาสให้เขาอีก

“ข้าจะยังฝึกฝนด้วยวิชานี้ต่อไป!” หนิงฝานกล่าวอย่างหนักแน่น

“วิชาที่ข้าฝึกฝนนั้นทรงพลังมาก ยิ่งผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างเจ้า หากฝึกฝนอย่างหนัก เพียงพันปีก็จะบรรลุขอบเขตไร้ดัดแปลง หมื่นปีบรรลุขอบเขตไร้แบ่งแยก สามหมื่นปีบรรลุเซียน และแสนปีจะบรรลุเป็นจักรพรรดิสวรรค์… แบบนั้นแล้วเจ้าจะเลือกวิชาแปลงหยินหยางอยู่อีกเหรอ?” เป่ยเหยาขบริมฝีปาก นางไม่เคยหยิบยื่นโอกาสและความหวังดีเช่นนี้ให้กับบุรุษผู้ใดมาก่อน

นางอุตส่าห์หยิบยื่นโอกาสให้… แต่เขากลับปฏิเสธ ถึงอย่างนั้น ตัวนางย่อมไม่รู้เหตุผลที่เขาปฏิเสธ

นางอยากให้หนิงฝานมีอนาคตกว้างไกล เพื่อลดระยะห่างระหว่างทั้งสอง… บางทีนางอาจมีบางสิ่งในใจ ที่หากไม่ลดระยะห่างก็ไม่อยากเป็นอย่างที่นางหวังได้

“เจ้าไม่ชอบที่ข้าหยิบยื่นโอกาสให้เหรอ?”

“ไม่ใช่อย่างนั้น”

หนิงฝานมองนางด้วยแววตาที่อ่อนโยน

“วิชานี้คือความหวังที่จะทำให้ข้าได้แก้แค้น... ข้าให้สัญญากับสตรีนางหนึ่งไว้ ว่าจะยกระดับวิชานี้เพื่อช่วยให้นางเป็นอิสระ… ข้าก็สัญญากับอาจารย์ไว้ ว่าข้าจะยกระดับวิชานี้ เพื่อหาทางช่วยภรรยาของท่าน และที่สำคัญ… วิชานี้ คือวิชาที่ภรรยาของข้าเป็นหยิบยื่นให้ นี่คือเต๋าของข้า เป็นสิ่งที่ข้ายึดมั่น ข้าจะไม่ผิดคำสัญญากับอาจารย์ กับสตรีนางนั้น และกับภรรยาของข้า… ข้าไม่รู้ว่าหากปฏิเสธวิชาของท่านไปจะเกิดอะไรขึ้น แต่ข้าก็ยังจะเลือกเส้นทางนี้...” หนิงฝานกล่าวอย่างหนักแน่น

แม้ร่างกายหนิงฝานจะดูผอมบาง แต่แผ่นหลังและแววตาของเขากลับดูราวกับขุนเขาที่มั่นคง

“นี่คือเต๋าของข้า!”

ประโยคนี้สะท้อนก้องอยู่ในหัวของเป่ยเหยา

ด้วยระดับพลังของนาง นางย่อมไม่เห็นหนิงฝานอยู่ในสายตา แต่จิตใจที่หนักแน่นมั่นคงราวกับขุนเขา กลับทำให้นางรู้สึกว่าตนด้อยกว่า

“ถ้าเจ้าเกิดก่อนสักล้านปีคงจะดี...” นางหันมองท้องนภาอันไพศาลพลางยิ้มอย่างขมขื่น

“พี่เป่ยเหยา ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูด?” ซีหลานกล่าว

“ไม่มีอะไรหรอก… จากที่เจ้าว่ามา หากอสูรตนนั้นกำลังรอโอกาสลอบสังหารข้าอยู่จริง ก่อนจะเข้าไปวังสวรรค์ ข้าว่าเราควรแยกทางกัน แบบนั้นจะปลอดภัยกับเจ้ามากกว่า...”

“นี่ท่านดูแคลนข้าขนาดนั้นเลยเหรอ? ถึงข้าจะเห็นแก่ตัว แต่เมื่อมีสตรีมาพึ่งพิง ข้าย่อมไม่อาจอยู่เฉย” หนิงฝานยิ้ม

“จนกว่าพลังของท่านจะกลับมา ข้าจะไม่ทิ้งท่านไปไหน” หนิงฝานจ้องมองนาง ทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหว ทุกการกระทำของนาง ช่างน่ามองไปซะหมด ไม่แปลกที่เป่ยเซี่ยวเหมินจะได้นิสัยแปลกๆติดตัวมา

“เห้อ… นางเป็นถึงเซียน ตัวตนที่สูงส่งยิ่งใหญ่ ถึงข้าจะมีโอกาสได้ร่วมรักกับนาง แต่คงไม่มีครั้งที่สองอีกแล้ว… ตัวนางและข้าต่างกันเกินไป นางไม่มีทางมาชอบข้าหรอก...”

หนิงฝานรู้ว่าระหว่างเขาและนางยังต่างกันเกินไป

จามนิสัยหนิงฝานแล้ว หากอีกฝ่ายไม่ชอบ เขาก็จะไม่ตามตื้อ

หนิงฝานนิ่งเงียบไม่กล่าว เป่ยเหยาเองจึงแปลกใจ

ความรู้สึกซับซ้อนหลากหลายปรากฏ เดิมทีนางไม่เคยให้ผู้ใดต้องปกป้อง แต่ยามนี้ ยามที่นางต้องเผชิญหน้ากับอสูรที่ทรงพลัง หนิงฝานกลับเลือกที่จะปกป้องนาง นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกเช่นนี้

“ข้าไม่ได้ดูแคลนเจ้า… ข้าแค่...”

“แค่อะไร?”

“ก็แค่… ช่างเถอะ เดี๋ยวเจ้าก็เข้าใจเอง ส่วนมากผู้คนมักเลือกเส้นทางที่ผิด”

นางเหม่อมองทิวทัศน์รอบข้าง พลางหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต

ไม่รู้ว่านานขนาดไหนแล้วที่นางไม่ได้จ้องมองท้องนภาเช่นนี้

นางคิดว่าหนิงฝานคงเข้าใจในสิ่งที่นางกล่าว ในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่า แม้เป็นสหายก็ไม่อาจทดแทนได้ อยู่

ภายในอาณาเขตของจ้าวดาราฉีชา อสูรที่ร่างกายแทบจะคงสภาพไม่อยู่ ได้ดูดซับโลหิตอสูรจำนวนมหาศาล จนทำให้อาการบาดเจ็บของมันทรงตัว

มันกลายร่างเป็นบุรุษผู้หนึ่ง สวมหมวกปิดบังใบหน้า ดวงตาเป็นสีเขียวน่าสะพรึงกลัว

“คาดไม่ถึงว่าจะบาดเจ็บขนาดนี้ ดีที่ข้าผนึกพลังของนางไว้ในขอบเขตดวงจิตแรกเริ่มขั้นต้น ต่อให้นางรอด นางก็สมควรถูกอสูรตนอื่นๆสังหารตายไปแล้ว… แต่ยังไงซะข้าก็ต้องหากระดูกนางให้พบแล้วนำกลับไปรายงานนายท่านให้ได้!”

บุรุษผู้นั้นก้าวย่างข้ามระยะทาง 1 แสนลี้ในพริบตา นั่นหมายความว่า มันมีระดับพลังอยู่ในขอบเขตไร้ดัดแปลงขั้นต้น

“ถ้าเจ้ายังไม่ตาย ข้าจะเป็นคนปลิดชีพเจ้าเอง! ท่านจ้าววิหารสาบสูญ… เป่ยเหยา!”...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด