ตอนที่ 11 : เกล็ดมังกรและการประมูลอันดุเดือด
อเดลสงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็วพร้อมกับนั่งลงวิเคราะห์เกล็ดมังกรเพลิงอย่างใจเย็น ดูจากพลังเวทย์ที่ปล่อยออกมานั้นดูเหมือนว่ามังกรตัวนี้จะเป็นมังกรเพลิงที่อยู่ในชนชั้นกลางค่อนไปทางต่ำที่พึ่งจะตายได้ไม่นาน
เพราะพลังเวทย์ที่ปล่อยออกมาจากเกล็ดนั้นแลดูอ่อนแอและเบาบาง บางทีเกล็ดอันนี้อาจจะเป็นของมังกรที่ยังไม่โตเต็มที่ไม่งั้นมันคงจะไม่โผล่มาที่ทวีปทูรินนี้อย่างแน่นอน
มังกรนั้นจัดเป็นมอนสเตอร์ไม่สิมันต้องถูกเรียกว่าสิ่งมีชีวิตชั้นสูงที่เทียบเคียงได้กับภูติชั้นสูงและพวกเอลฟ์ชั้นสูงที่เป็นเผ่าพันธุ์ที่ถูกเรียกว่าลูกรักของผืนป่า
แต่พวกมังกรชั้นสูงนั้นแตกต่างออกไปพวกมันแข็งแกร่งกว่ามังกรปกติหลายสิบเท่าพวกมันมีพลังเพียงพอที่จะครอบครองโลกใบเล็กได้อย่างง่ายดายพวกมันถูกจัดเป็นจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารอย่างแท้จริงที่แม้แต่เมกัสก็ต้องคิดหนักหากต้องปะทะกับพวกมันโดยตรง
แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังมีมังกรอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ว่าจะยังไงก็ห้ามปะทะด้วยเด็ดขาด พวกมันถูกเรียกว่าจักรพรรดิมังกร เพียงแค่ชื่อก็ฟังดูแข็งแกร่งแล้วจักรพรรดิมังกรนั้นมีพลังมากกว่ามังกรชั้นสูงหลายร้อยเท่า พวกมันมีพลังเพียงพอที่จะเผาโลกใบเล็กทั้งใบให้วอดวายได้ในเวลาไม่กี่วัน
เหล่าจักรพรรดิมังกรนั้นถือเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตไม่กี่ชนิดที่ถูกบอกว่าพวกมันมีพลังเทียบเคียงกับพระเจ้า
ในอดีตอเดลเคยปะทะกับจักรพรรดิมังกรอยู่ตนหนึ่งทั้งคู่ต่อสู้กันยาวนานกว่าหลายวันจนเกือบจะทำให้โลกใบเล็กใบนั้นล่มสลาย การต่อสู้จบลงด้วยที่อเดลเสียแขนซ้ายไปข้างหนึ่งเพื่อแลกกับปีกขวาของจักรพรรดิมังกรแม้มันจะเสียปีกไปข้างหนึ่งแต่มันก็ดูจะไม่ได้กังวลสักเท่าไหร่นักเพราะเมื่อระยะเวลาผ่านไปด้วยพลังเวทย์ที่มีจำนวนมหาศาลของมันทำให้ปีกที่หายไปสามารถที่จะฟื้นฟูสภาพกลับมาได้เอง
ต่างจากตัวของอเดลที่แขนซ้ายของเขาไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ทำให้เขาจำใจต้องใส่แขนเทียม และเมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ได้รู้ตัวว่าการแลกกันครั้งนั้นดูจะไม่ค่อยแฟร์สักเท่าไหร่
อเดลจ้องมองเกล็ดมังกรเพลิงที่กำลังถูกประมูลอยู่อย่างสงบ แม้เขาจะอยากได้มันก็ตามแต่ตอนนี้ด้วยจำนวนเงินประมูลที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆดูเหมือนว่าเงินในกระเป๋าของเขาจะไม่พอที่จะแข่งขันกับเศรษฐีคนอื่นๆ
ในตอนนี้อเดลมีเงินในกระเป๋าจากการที่ประมูลโพชั่นอออกไปหลังจากหักค่าทำเนียมแล้วก็เหลือเพียงห้าแสนเหรียญทองเท่านั้น
แม้เขาจะมีอาติเฟคอีกสองชิ้นที่ยังรอการประมูลอยู่ในชิ้นถัดไปนั้นเขาก็ไม่แน่ใจนักว่ามันจะทำเงินได้มากน้อยแค่ไหน
ราคาของเกล็ดมังกรยังคงพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆจนตอนนี้แตะสี่แสนเหรียญทองเรียบร้อยแล้ว แม้เกล็ดมังกรชิ้นนี้จะไม่ได้สำคัญกับตัวเขามากนักแต่หากได้มันมาเขาก็สามารถนำมันมาสร้างอะไรได้อีกหลายอย่างดังนั้นจึงมีไว้ก็ไม่เสียหาย แต่ดูจากราคาแล้วเขาคงต้องยอมแพ้เพราะดูเหมือนราคาของมันอาจจะสูงถึงหกแสนเหรียญทองเลยก็ได้
หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วอเดลก็ตัดใจจากเกล็ดมังกรนี้ไปเพราะยังไงซะเมื่อเขาเข้าไปในโลกใบเล็กเขาก็มีโอกาสที่จะได้พบเจอกับมังกรอีกมาก อีกทั้งเกล็ดมังกรอันนี้ยังถือเป็นเกรดต่ำและมีจำนวนน้อย(มาก)ทำให้ไม่เพียงพอที่จะเอาไปสร้างอะไรอย่างจริงจังได้
เขาจึงตัดสินใจเก็บเงินไว้ประมูลของชิ้นอื่นจะดีกว่า
สุดท้ายเกล็ดมังกรเพลิงถูกประมูลออกไปด้วยราคากว่าแปดแสนเหรียญทองซึ่งมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้นิดหน่อย หลังจากเกล็ดมังกรเพลิงนั้นก็มีแร่จำนวนหนึ่งถูกนำออกมาประมูลซึ่งตัวของอเดลก็ได้ประมูล แร่ซาไฟต์กับอดาเมนไทป์ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของรูนบนอาติเฟคได้
และยังได้ประมูลหนังของมอนสเตอร์ระดับสูงและอื่นๆไปอีกนิดหน่อย
หลังจากนั้นก็เป็นรายการของอาติเฟคระดับต่ำที่ถูกนำมาประมูลซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรน่าดึงดูดใจเท่าไหร่นักจนมาถึงแหวนมิติของเขา
สาวงามเรวี่เดินขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับกล่องไม้ใบเล็กๆใบหนึ่งก่อนจะแสดงรอยยิ้มทรงเสน่พร้อมกับพูดขึ้นว่า
''อย่างที่ทุกท่านเห็นนี่คืออาติเฟคที่มีลักษณะเป็นแหวนซึ่งถูกเสริมด้วยเวทมนต์ประเภทมิติและกาลเวลา''
เมื่อได้ยินแบบนั้นผู้เข้าร่วมประมูลทุกคนก็ต่างฮือฮาขึ้นมาทันทีเพราะอาติเฟคที่ถูกเสริมด้วยเวทมนต์สองชนิดนั้นพบเห็นได้ยากมากจะมีก็แต่เหล่าตระกูลชั้นสูงในทวีปกลางเท่านั้น และยิ่งมันถูกเสริมด้วยเวทมนต์หายากอย่างเวทมนต์ประเภทมิติและเวทมนต์ประเภทกาลเวลาอีกด้วยยิ่งหายากเข้าไปใหญ่
หลังจากกระตุ้นผู้เข้าร่วมประมูลแล้วเรวี่ก็พูดขึ้นอีกครั้ง
''จากการทดสอบของทางเรานั้นปรากฏว่ามิติข้างในแหวนนั้นสามารถรับสิ่งของได้เกือบหนึ่งตัน แน่นอนว่าหลายท่านอาจคิดว่าหนึ่งตันนั้นดูน้อยแต่หากคิดกลับกันน้ำหนักสิ่งของหายไปถึงหนึ่งตันนั้นมีประโยชน์ได้หลากหลายเกินกว่าที่ทุกท่านจะจินตนาการได้''
อเดลพยักหน้าให้กับคำพูดของเรวี่เพราะการต่อสู้ในโลกใบเล็กนั้นอันตรายและเต็มไปด้วยสงครามไม่ว่าจะเป็นมอนสเตอร์หรือผู้คนด้วยกัน และเมื่อสงครามเกิดขึ้นสิ่งที่จำเป็นที่สุดของสงครามก็คือการขนส่งเสบียงและอุปกรณ์ต่างๆให้กับแนวหน้า
ในอดีตระหว่างสงครามนั้นมีการขนส่งเสบียงและอุปกรณ์นั้นมากกว่าสี่สิบตันทุกวัน สงครามขนาดใหญ่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำฉะนั้นสิ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกในด้านนี้จึงเป็นที่นิยมเป็นอย่างมากเพราะมันสามารถป้องกันเรื่องผิดพลาดได้หลายอย่าง
ยกตัวอย่างเช่นการโจมตีขบวนขนส่ง หรือการถูกดักสุ่มโจมตีด้วยการที่ใช้อาติเฟคประเภทนี้ทำให้เรื่องพวกนี้ยากที่จะเกิดขึ้นดังนั้นในอดีตอาติเฟคประเภทเก็บของจึงเป็นที่นิยมอย่างมาก
การพูดคุยของผู้เข้าร่วมประมูลเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆเมื่อเห็นแบบนั้นเรวี่จึงเปิดการประมูลทันที
''ราคาเริ่มต้นของอาติเฟคชิ้นนี้อยู่ที่ หนึ่งแสนเหรียญทองการเสนอราคาทุกครั้งจะไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นเหรียญทอง ถ้าทุกท่านเข้าใจกันแล้วดิฉันขอเริ่มต้นการประมูลอาติเฟคชิ้นนี้ได้เลยค่ะ !!''
ทันทีที่เรวี่พูดจบราคาของแหวนมิติก็พุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็วจากหนึ่งแสนเป็นสองแสน และยังคงเพิ่มขึ้นไปอีกเรื่อยๆ
''สองแสนสามหมื่นเหรียญทอง''
''สองแสนห้าหมื่นเหรียญทอง''
''สองแสนเจ็ดหมื่นเหรียญทอง''
''สามแสนเหรียญทอง''
...
..
.
ราคาของแหวนมิติยังคงพุ่งสูงขึ้นแม้มันจะเกินกว่าห้าแสนเหรียญทองแล้วก็ตาม
''ห้าแสนเจ็ดหมื่น''
''หกแสน''
''หนึ่งล้านเหรียญทอง !!''
ในจังหวะที่ทุกคนกำลังเสนอราคากันอยู่นั้นก็มีคนๆหนึ่งตะโกนราคาที่เหนือความคาดหมายออกมา ทุกคนเงียบลงพร้อมกับหันไปตามเสียงที่ถูกตะโกนออกมาซึ่งมันออกมาจากห้องรับรองพิเศษที่อยู่ด้านบนทันที
หลังจากความเงียบเกิดขึ้นเสียงหนึ่งก็ถูกส่งออกมาจากห้องนั้นอีกครั้ง
''ทุกท่านโปรดเห็นแก่หน้าของเราตระกูลทาเนียร์ด้วยเถิด''
เมื่อทุกคนที่ได้ยินคำว่าตระกูลทาเนียร์ก็ต่างหยุดเสนอราคากันทันที อเดลมองไปยังห้องรับรองพิเศษห้องนั้นพร้อมกับพิจารณาก่อนจะขบคิดว่าตระกูลทาเนียร์นั้นแลดูจะมีอำนาจไม่น้อยที่ทำให้เศรษฐีทุกคนต่างเกรงอกเกรงใจ
สุดท้ายด้วยอำนาจของตระกูลทาเนียร์การประมูลแหวนมิติก็ถูกหยุดลงด้วยราคาหนึ่งล้านเหรียญทอง แม้ตัวของอเดลอยากจะให้ราคามันสูงขึ้นอีกนิดนึงก็ตามแต่เขาก็พอใจกับเงินจำนวนนี้แล้วเพราะเขาสามารถนำเงินจำนวนนี้ไปทำอะไรได้หลายอย่าง
หลังจากการประมูลแหวนมิติจบลงพนักงานของโรงประมูลก็นำกล่องไม้ขึ้นมาบนเวทีซึ่งเป็นอาติเฟคชิ้นต่อไปและเป็นสินค้าชิ้นสุดท้ายที่จะถูกนำมาประมูลนั่นคือดาบที่อเดลได้เป็นของสร้างขึ้นมาซึ่งมันถูกเสริมด้วยเวทมนต์เล็กน้อยและถูกประมูลไปด้วยราคาสามแสนเหรียญทองโดยเศรษฐีคนหนึ่ง
งานประมูลของค่ำคืนนี้จบลงโดยรวมแล้วอเดลถือว่าพอใจกับผลลัพธ์นี้เป็นที่น่าพอใจเล็กน้อยเพราะเขาสามารถทำเงินได้มากกว่าหนึ่งล้านห้าแสนเหรียญทองแม้จะถูกหักภาษีก็ตาม