บทที่ 53: ฝึกฝน หาเงินและแต่งงานกับถังหยู่!
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ
••••••••••••••••••••
นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล
สารบัญ จอมมารสะท้านภพ (เรื่องใหม่)
••••••••••••••••••••
บทที่ 53: ฝึกฝน หาเงินและแต่งงานกับถังหยู่!
“อ่า ลืมเรื่องนั้นไปเถอะ ผมจะเข้าเรียนในมหาลัยดีๆเพราะผมได้ยินมาว่าเวทมนตร์ระดับสูงนั้นจะสอนเฉพาะในมหาลัยเท่านั้นน่ะนะ” โม่ฝานกล่าวออกมาเรียบๆพร้อมกับสายตายังคงจับจ้องไปที่อุปกรณ์ป้องกันเวทมนตร์อยู่ เมื่อหัวหน้าจ้านคงได้ยินเช่นนั้น เขาหงุดหงิดทันที
‘ไอ้เด็กบ้านี่ ฉันอุตส่าให้เกียรติเชิญแกเข้ารวมกองกำลังที่เต็มไปด้วยเกียรติยศแต่แกกล้าปฏิเสธงั้นเหรอ!’
“ออกไปได้แล้ว ไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก” จ้านคงกล่าวออกไปด้วยอารมณ์ที่บูดเบี้ยว
“อ้อใช่ ผมมีเรื่องจะถาม มีหมาป่าเวทเพียงตัวเดียวงั้นเหรอที่อยู่ในถ้ำนั้น?” ในขณะที่โม่ฝานกำลังจะออกไป เขานึกขึ้นได้ในทันทีว่าเขามีคำถามเตรียมไว้
“แน่นอนว่ามีตัวเดียว ถ้าหากมีตัวอื่นเพิ่มเติมอีก เธอก็คงจะตายตกไปแล้วเนื่องจากต้องกลายเป็นอาหารของมัน ทำไมล่ะ ยังจะสงสัยอะไรอีก?” จ้านคงบ่นออกมา
“ไม่มีอะไร ผมแค่อยากจะถามเฉยๆ” โม่ฝานพยักหน้าพร้อมกับหันไปหาไป่หยางที่อยู่ด้านข้าง “หมาป่าเวทของคุณรสชาติเยี่ยมยอดมาก”
ไป่หยางสงสัยคำพูดนั้นอย่างมากแต่โม่ฝานไม่ได้สนใจเขาแต่อย่างใด
“รีบออกไปได้แล้ว!” จ้านคงพูดออกมาอย่างหงุดหงิด
——
โม่ฝานถูกโยนออกมาด้านนอกอย่างรวดเร็ว เขาอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตนเอง “นักเวทรุ่นใหญ่เหล่านี้โกรธฉันเพราะต้องมอบอุปกรณ์เวทมนตร์ให้ฉันงั้นเหรอเนี่ย?”
ตอนนี้โล่เคียวกระดูกนั้นอยู่ในมือของโม่ฝาน…
ขนาดของมันใหญ่ครอบคลุมฝ่ามือของเขา เขามองมันพร้อมกับงุนงงในสิ่งเหล่านี้ แน่นอนว่าโม่ฝานนั้นไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับอุปกรณ์เวทมนตร์ เช่นนี้เขาจึงไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงกับมันต่อไป
‘อืม ในตอนนี้มันสามารถป้องกันฉันจากการโจมตีของอสูรเวทมนตร์ได้สินะ? แล้วเหล่าอสูรร้ายเหล่านั้นมันจะอยากโจมตีใส่โล่นี้งั้นเหรอ? ว่าไปแล้วรูปร่างของมันคล้ายกับโล่ของกัปตันอเมริกาเลยแฮะ!’
หลังจากที่เขาพยายามทำความเข้าใจกับมันอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็ได้รู้ถึงวิธีการใช้มัน
ในตอนนี้เขาจะต้องประทับตราความเป็นเจ้าของกับโล่นี่เสียก่อน เริ่มต้นด้วยการใส่พลังวิญญาณของตนเองเข้าไปด้านใน จากนั้นมันจะเชื่อมกับจิตวิญญาณของนักเวทอัตโนมัติ นี่คือเสร็จสิ้นการเป็นเจ้านายของมันแล้ว
หลังจากที่ประทับตราเรียบร้อยแล้ว โล่จะหายวับเข้าไปในร่างกายของผู้เป็นเจ้านายทันที
สำหรับการเรียกใช้งานมันนั้นเพียงแค่นึกถึงมันเท่านั้น มันจะปรากฏขึ้นตรงหน้าของเจ้าของทันที แต่โล่นั้นจะไม่ได้ปรากฏขึ้นมาในขนาดที่เทียบเท่ากับฝ่ามือเช่นก่อนหน้านี้ มันจะกลายเป็นกำแพงขนาดเล็กสำหรับป้องกันทันที หากเป็นเช่นนี้ทักษะของอสูรที่โจมตีมาจะไม่สามารถทำอะไรเขาได้อีกต่อไป
“อืม ไม่แปลกที่ราคาของมันสูงขนาดนั้น ถ้าฉันมีโล่เคียวกระดูกนี้ตอนที่สู้กับหมาป่าเวทล่ะก็… ฉันก็จะปลอดภัยและใช้เวทมนตร์อยู่ด้านหลังโล่นี้ได้อย่างสบายๆ” โม่ฝานนั้นมองไปที่โล่รูปสามเหลี่ยมเปียกปูนตรงหน้าอย่างภาคภูมิใจ เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
ในตอนนี้ด้วยอุปกรณ์เวทมนตร์ชิ้นนี้ เขาสามารถที่จะต่อสู้กับหยู่อั๋นแห่งตระกูลมู่แล้ว!
“อืม แต่จะว่าไปแล้วฉันน่ะมีทั้งธาตุสายฟ้าและธาตุไฟอยู่ในร่างกาย แม้ว่าทักษะอสนีบาตกับลูกบอลเพลิงจะยอดเยี่ยมมาก แต่มันก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเผชิญหน้ากับอสูรเวทมนตร์ได้เลยสินะ…” โม่ฝานได้แค่คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมทั้งหาจุดบกพร่องของตนเอง
แต่จะว่าไปแล้วการที่เขาสามารถสังหารหมาป่าเวทได้นั้นประกอบกับความโชคดีหลายอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะธาตุสายฟ้าที่ถ่วงเวลาให้เขาดึงหินย้อยออกมาจากผนังของถ้ำหรือว่าการวิ่งที่รวดเร็วของจางหู่ อีกทั้งการโจมตีพร้อมกันของเพื่อนร่วมห้องในเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น ถ้าหากไม่มีเหตุการณ์เหล่านี้ แน่นอนว่าเขาจะต้องถูกหมาป่าเวทฉีกเป็นชิ้นๆ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาเหล่านั้น เขาก็คงไม่มีโอกาสได้รับอุปกรณ์เวทที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้อย่างไร?
‘ฉันต้องเรียนรู้เวทมนตร์ของธาตุลมและธาตุดินไว้บ้างเพื่อที่จะเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วและสำหรับป้องกันตนเองให้ดีกว่านี้ ความเร็วของฉันในตอนนี้นั้นน่าเกลียดเกินไป แน่นอนว่าถ้าหากต้องเผชิญหน้ากับอสูรเวทที่แท้จริง ฉันจะต้องตายก่อนที่จะเชื่อมต่อกับดวงดาวทั้งเจ็ดได้สำเร็จ’
หลังจากการต่อสู้ที่โหดร้ายผ่านไปแล้ว โม่ฝานตระหนักได้ถึงความสำคัญของคาถาป้องกันและเคลื่อนไหวมากขึ้น
ซึ่งในระดับปฐมภูมิเช่นนี้ มีเพียงธาตุน้ำเท่านั้นที่จะได้เรียนรู้คาถาป้องกัน ภายในโรงเรียน… เด็กๆทุกคนล้วนแต่คิดว่าธาตุน้ำนั้นไร้ประโยชน์ที่สุด แต่ความจริงแล้วนักเวทธาตุน้ำนั้นจำเป็นอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในการต่อสู้กับอสูรเวทมนตร์ ซึ่งพวกเขาจะต้องทำหน้าที่ปกป้องทุกคน
“เอาล่ะ ตอนนี้ฉันมีโล่เคียวกระดูกแล้ว มันอยู่ในประเภทการป้องกัน ดังนั้นฉันควรจะรีบไปฝึกฝนด้านการเคลื่อนไหวให้รวดเร็วยิ่งขึ้นมากกว่าอย่างเช่นคาถาของธาตุลม… เอ้ะ หรือว่าจะเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมเหมือนที่อาจารย์ถังหยู่ดีนะ? การเคลื่อนย้ายของเธอนั้นรวดเร็วมากอีกทั้งยังเท่ห์มากอีกด้วย”
ธาตุลมนั้นเป็นตัวหลักสำหรับการต่อสู้อย่างมาก ถ้าหากไม่มีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของพวกเขา แน่นอนว่าคนอื่นๆจะไม่มีเวลาสำหรับร่ายคาถาใดๆ
โม่ฝานนั้นรู้สึกว่าธาตุลมเป็นเวทที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก แต่สุดท้ายเขารู้สึกชอบการเคลื่อนย้ายเงาดั่งเช่นอาจารย์ถังหยู่ซะมากกว่า!
หลังจากที่เขาศึกษาเรื่องเหล่านี้อยู่สักพัก โม่ฝานนั้นเข้าใจคาถาที่ถังหยู่ใช้ มันคือการเคลื่อนย้ายเงาซึ่งเป็นเวทมนตร์ธาตุเงา!
ในระดับปฐมภูมินี้สำหรับพวกเขานั้นจะสามารถเรียนรู้ได้เพียงทักษะของธาตุเบื้องต้นเท่านั้น
ในความจริงแล้วนอกเหนือจากธาตุเวทมนตร์พื้นฐานแล้ว เวทมนตร์ยังมีธาตุอื่นอีกสามประเภท เวทมนตร์ขาว เวทมนตร์ดำและเวทมนตร์มิติ!
ธาตุการรักษานั้นจัดอยู่ในเวทมนตร์ขาว
ธาตุเงานั้นจัดอยู่ในเวทมนตร์ดำ
สำหรับการอัญเชิญของไป่หย่างนั้นจัดอยู่เวทมนตร์มิติ
เก้าปีสำหรับการเรียนเวทมนตร์ในระดับประถมถึงมัธยมนั้นเป็นเพียงการเรียนรู้พื้นฐานเท่านั้น ถ้าหากต้องการที่จะเรียนรู้เวทมนตร์อีกสามประเภทที่เหลือจะต้องได้เข้าเรียนภายในมหาลัยเท่านั้น
ปัจจุบันโม่ฝานนั้นสามารถควบคุมธาตุไฟได้ มันมีพลังโจมตีที่สูงมาก เช่นเดียวกันกับธาตุสายฟ้าด้วย เขาสามารถจัดการกับทั้งสองธาตุนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อบวกกับโล่เคียวกระดูกอีก เขาจะสามารถป้องกันตัวได้ ในตอนนี้สิ่งที่เขายังขาดอยู่ก็คือการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว!
ถ้าหากต้องการที่จะต่อสู้กับอสูรเวทเพียงคนเดียวได้ ทักษะเหล่านี้จะต้องครบครัน!
ธาตุเงา!
นี่เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับเขา!
“ฉันจะต้องฝึกฝนให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะก้าวสู่นักเวทระดับมัชฌิมให้ได้ ถ้าหากไปถึงแล้วฉันจะสามารถใช้เวทมนตร์ของธาตุอื่นได้อีก ฉันจะต้องฝึกฝนธาตุเงาให้ได้!” โม่ฝานกล่าวออกมาด้วยกำลังใจที่เต็มเปี่ยม
โดยทั่วไปแล้วคนส่วนใหญ่จะสามารถปลุกธาตุหลักขึ้นมาได้เพียงธาตุเดียวเท่านั้น
แต่สำหรับโม่ฝานแล้วเขามีธาตุหลักถึงสองชนิด เช่นนั้นถือได้ว่าโอกาสของเขานั้นได้เปรียบคนอื่นอยู่มาก
นักเวทระดับมัชฌิมนั้นไม่เพียงแต่สามารถเรียนรู้เวทมนตร์ระดับที่สูงขึ้นไปได้อีก แต่พวกเขายังจะสามารถปลุกธาตุลำดับที่สองขึ้นมาได้อีกครั้ง เรียกได้ว่าจะมีดวงดาวในสังกัดเพิ่มอีกหนึ่งวง!
ถ้าหากสามารถปลุกขึ้นมาได้แล้ว แน่นอนว่านักเวทผู้นั้นจะมีความสามารถทางการรบที่สูงขึ้นอย่างมาก!
เช่นเดียวกับหัวหน้ากองทัพจ้านคง ในครั้งแรกที่โม่ฝานพบเขา โม่ฝานเห็นเขาเล่นกับเปลวไฟ เช่นนั้นเขาจึงรู้ได้ทันทีว่าจ้านคงเป็นนักเวทธาตุไฟ
อย่างไรก็ตาม เมื่อจ้านคงปรากฎตัวขึ้นภายในถ้ำพร้อมกับปีกแห่งวายุ ทุกคนล้วนแต่ประหลาดใจระคนชื่นชมกับภาพตรงหน้าอย่างมาก
ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดเจนว่าเขาไม่ใช่นักเวทธาตุไฟเพียงอย่างเดียว เขาเป็นนักเวทธาตุลมด้วย
นอกจากนี้โม่ฝานยังคิดได้อีกว่าจ้านคงนั้นคงจะมีธาตุอะไรอีกสักอย่างอีกแน่นอน
ซึ่งปีกแห่งวายุนั้นจะต้องเป็นนักเวทขั้นสูงเท่านั้นจึงจะสามารถควบคุมมันได้ นักเวทระดับมัชฌิมนั้นมีธาตุสองชนิด ถ้าเป็นเช่นนั้นนักเวทขั้นสูงสุดจะต้องมีธาตุอยู่สามชนิดเป็นอย่างต่ำ!
ซึ่งตอนนี้นักเวทระดับปฐมภูมินั้นถือครองเพียงธาตุเดียวเท่านั้น
นักเวทขั้นมัชฌิมถือครองสองธาตุ
สำหรับนักเวทขั้นสูงสุดจะสามารถควบคุมได้สามธาตุ!
โม่ฝานในตอนนี้อยู่ในระดับปฐมภูมิเท่านั้น แต่ทว่าเขาก้าวหน้าไปมากกว่าผู้อื่นอย่างมากเพราะเขาถือครองธาตุหลักอยู่สองชนิด
นอกจากนี้ถ้าหากในวันนั้นโม่ฝานนั้นไม่ได้มีธาตุสายฟ้าและธาตุไฟอยู่ในร่างกาย แน่นอนว่าเขาคงจะโดนหมาป่าเวทกลืนกินไปเรียบร้อยแล้ว หัวหน้าจ้านคงนั้นไม่เข้าใจว่าทำไมหมาป่าเวทจึงไม่สามารถหลบหินย้อยได้เพราะเขาคิดว่าโม่ฝานเป็นเพียงนักเวทธาตุไฟเท่านั้น แต่ความจริงแล้วเขาใช้ธาตุสายฟ้าเพื่อตรึงให้มันอยู่กับที่ก่อน จากนั้นค่อยใช้ธาตุไฟเมื่อลงมือสังหาร!
“ฉันยังมีจี้ทมิฬนี้อยู่ ซึ่งมันมีประโยชน์กับการฝึกของฉันมาก ในตอนนี้เวลาการฝึกฝนของฉันนั้นมากกว่าคนอื่นถึงสองเท่า นั้นทักษะของฉันย่อมรวดเร็วกว่าคนอื่นแน่นอน อย่างไรก็ตามการมีธาตุสายฟ้าและธาตุไฟเพียงเท่านี้ไม่สามารถที่จะเผชิญหน้ากับอสูรเวทได้อย่างมั่นคงนัก ฉันอยากจะรีบขึ้นไปสู่นักเวทขั้นมัชฌิมให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ธาตุอื่นมาเสริมความแข็งแกร่ง การมีธาตุเพิ่มขึ้นมาจะได้ไม่ต้องสร้างภาระที่หนักหนาให้กับร่างกายของฉันมากนัก ฮ่าฮ่า” โม่ฝานพูดคนเดียวอย่างปลื้มใจ
‘อืมมมม ฉันจะต้องทำให้ดีที่สุด ต้องทำให้ได้!’
‘เอ๊ะ คำขวัญของเด็กชายในห้องแปดนั้นคืออะไรนะ?’
‘อ้อใช่แล้ว! หาเงินให้มาก ฝึกฝนให้เก่งกาจและจงแต่งงานกับถังหยู่!’
••••••••••••••••••••
••••••••••••••••••••
ช่วยกันกดคะแนนดาวให้กับผู้แปลเพื่อเป็นกำลังใจด้วยน้าาาา
กดแล้วกดอีกได้จ้า !! ^^