ตอนที่แล้วRe-new ตอนที่ 59 อดีต
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปRe-new ตอนที่ 61 ฟื้นแล้ว

Re-new ตอนที่ 60 สาหัส


ตอนที่  60 สาหัส

ลูกรองของครอบครัวนางได้แลกชีวิตเพื่อจัดการกับหมี ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น นางก็จะไม่ยอมให้ตระกูลจ้าวได้ผลประโยชน์ไปทั้งหมดเป็นแน่ ! ขณะที่นางจางเร่งให้จ้าวปู้ฝานเข้าไปในห้อง นางก็คำนวนไปด้วยว่านางจะได้เงินเท่าใด

จ้าวปู้ฝานปัดมือนางออกเบา ๆ แล้วเดินไปทางเฒ่าหยู จากนั้นก็เปิดถุงหนัก ๆ ที่อยู่ในมือออกตรงหน้าชายชรา

นางจางถึงกับตาพร่าจากแสงเงินวาววับ นางตกตะลึงจนตาแทบถลนออกมานอกเบ้า ในถุงนั้นเต็มไปด้วยก้อนเงินราคาก้อนละ 10 ตำลึง รวมกันแล้วอย่างน้อย ๆ ก็ 200 - 300 ตำลึง !

นางจางเป็นคนขี้เหนียวอย่างที่สุดจนถึงขนาดไม่ยอมใช้เงินไปกับเสื้อผ้าและอาหารให้มากเกินไป แรงงานฟรีอย่างหยูไห่ก็ทำงานหาเงินตลอดทั้งวัน และนางจางก็เก็บเงินอย่างเข้มงวดถึง 10 กว่าปี แต่ทว่าหลังจากหักค่าใช้จ่ายรายวันและค่าเล่าเรียนของหยูป่อแล้ว  นางก็เก็บเงินได้แค่ 100 กว่าตำลึงเท่านั้น แต่นี่หมีตัวเดียวกลับขายได้ถึง 300 ตำลึง !

“นี่เป็นส่วนแบ่งที่ลูกรองได้งั้นรึ ? คุณพระ ! มิคิดเลยว่าหมีตัวเดียวจะได้ราคามากมายถึงเพียงนี้... !” นางจางยิ้มกว้างจนตาหยี เผยให้เห็นฟันเกสีเหลืองเต็มปาก

จ้าวปู้ฝานหลบมือของนางจางที่เอื้อมมาที่ถุงเงิน เขายื่นถุงเงินให้เฒ่าหยูแล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ท่านอาหยู เงินสามร้อยตำลึงนี้เป็นเงินทั้งหมดที่ได้จากการขายหมี และเป็นเงินที่น้องหยูไห่ควรได้ ! ถ้ามิใช่เพราะเขา คนที่ต้องนอนอยู่บนเตียงก็คงเป็นข้า !”

เฒ่าหยูไม่รับเงิน เขาถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “เจ้าสองคนสนิทกันเหมือนพี่น้อง อาเชื่อว่าถ้าวันนี้ต้าไห่คือคนที่ตกอยู่ในอันตราย เจ้าก็คงทำเช่นเดียวกันเพื่อช่วยชีวิตเขา ! พวกเจ้าแบ่งเงินจากการล่าเท่า ๆ กันมาตลอด เพราะงั้นวันนี้ก็ควรเป็นเช่นเดิม !”

“ตาแก่ ! ต้าไห่ยังนอนเจ็บอยู่ที่เตียงและรอเงินมาช่วยชีวิตเขา ! ลูกรองของเราเสี่ยงชีวิตเพื่อเงินนี้ แล้วนี่ถ้าพรานจ้าวเอาเงินไป พวกชาวบ้านก็จะซุบซิบนินทาเขาได้นะ !” เมื่อเห็นว่าสามีของนางจะไม่รับเงินครึ่งหนึ่ง นางจางก็อดที่จะโมโหขึ้นมามิได้ ! ครึ่งหนึ่งรึ ? ก็ 150 ตำลึงน่ะสิ ! คนส่วนใหญ่ต่อให้เก็บเงินเป็น 10 ปีก็ยังมิได้มากถึงเพียงนั้นเลยมิใช่รึ !

ราวกับว่าจ้าวปู้ฝานไม่เห็นนางจางที่กำลังกระโดดอย่างบ้าคลั่งอยู่ข้าง ๆ เขายัดถุงเงินใส่มือเฒ่าหยูแล้วเอ่ยว่า “ท่านอาหยู ข้าขอร้องเพียงแค่เรื่องเดียว น้องต้าไห่เสี่ยงชีวิตแลกเงินนี้มาอย่างที่ท่านอาหญิงได้กล่าวไว้เมื่อครู่ ดังนั้นข้าหวังว่าอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของเงินนี้จะถูกใช้เพื่อน้องต้าไห่กับครอบครัวของเขา คำขอนี้ไม่น่าจะยากนะขอรับ !”

“ได้...แน่นอน ! เงินนี้จะใช้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของลูกรอง ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขา...เงินนี้ก็จะถูกเก็บไว้สำหรับการแต่งงานของลูก ๆ ของเขา !” เฒ่าหยูเป็นพ่อแท้ ๆ ของหยูไห่ ดังนั้นย่อมมีความรักความผูกพันในครอบครัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

นางจางคว้าเงินไปจากสามีทันทีและถือมันไว้อย่างมีความสุข นางตอบตกลงว่า “พรานจ้าวมิต้องเป็นห่วง ! หยูไห่เป็นลูกแท้ ๆ ของเฒ่าหยู เราจะทำแย่ ๆ กับเขาได้เยี่ยงไร ? เห็นหรือไม่ ว่าเราเชิญหมอที่เก่งที่สุดในเมืองมาแล้ว ยาที่เขาสั่งจ่ายก็ราคามากกว่า 1 ตำลึง เดี๋ยวข้าไปจ่ายค่ายาก่อน พวกเจ้าคุยกันต่อเถิด !”

เมื่อมีเงิน 300 ตำลึงอยู่ในมือ นางจางจึงยอมจ่ายเงิน 5 ตำลึงเป็นค่าตรวจกับค่ายาอย่างไม่ลังเล นางชำระเงินแล้วขอให้หยูเจียงขับเกวียนไปส่งหมอกลับเข้าเมือง

“ทุกคนกลับบ้านได้แล้ว ! ต้าไห่ต้องการพักผ่อนเงียบ ๆ เขาฟื้นขึ้นมาเมื่อใดข้าจะบอกให้พวกเจ้ารู้เอง !” มันไม่สะดวกที่มีคนอยู่ในลานบ้านมากมายเยี่ยงนี้ นางต้องป้องกันเงิน 300 ตำลึงมิให้เป็นที่จับจ้องของพวกคนโลภ ! เมื่อเงินเข้ามือนางจางแล้ว ก็เหมือนโยนเนื้อให้สุนัข มิมีวันได้คืนเป็นแน่ !

ในห้องตะวันตก นางหลิวฟื้นแล้วและกำลังยืนร้องไห้เงียบ ๆ อยู่ข้างสามีของนาง เสี่ยวเหลียนกับฉีโตวที่คอยอยู่เป็นเพื่อนแม่ก็พลอยร้องไห้ไปด้วยจนตาบวมแดง เสี่ยวเฉาจะตรวจอาการของหยูไห่เป็นระยะ ๆ พร้อมกับปรุงยาบนเตาโคลนเล็ก ๆ นอกห้อง

ดวงอาทิตย์ได้ลาลับจากขอบฟ้าไปแล้ว ครอบครัวหยูไม่ได้กินข้าวทั้งมื้อเช้าและเย็น

คนอื่น ๆ ในครอบครับต่างก็หิวกันเป็นอย่างมาก พอได้เงิน 300 ตำลึงของหยูไห่ไปแล้ว  นางจางก็ไม่มีหน้าจะไปสั่งให้บ้านสองออกมาทำงานในตอนนี้ ดังนั้นนางจึงตะโกนไปที่ห้องตะวันออก “หลี่กุ้ยฮัว นังคนเกียจคร้าน ! รู้หรือไม่ว่านี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ? ยังมิรีบไปทำอาหารเย็นอีกรึ ! อยากให้พวกเราอดตายกันรึเยี่ยงไร ?”

นางหลี่กับลูกชายแอบกินขนมในห้องของตนเองแล้ว พอนางได้ยินเสียงของนางจางก็ต้องจำใจออกมาจากห้องและเดินไปก่อไฟทำอาหาร หยูไซตี้มองไปทางห้องตะวันตกด้วยดวงตาแดงก่ำ แล้วเดินเข้าครัวไปเงียบ ๆ เพื่อช่วยทำอาหารเย็น

คืนนี้เป็นคืนที่บ้านสองต่างก็นอนไม่หลับกันทั้งบ้าน ทุกคนคอยอยู่ข้าง ๆ หยูไห่ด้วยความกลัวว่าเสาหลักของครอบครัวจะพังทลายลงไป

เมื่อถึงรุ่งเช้า การหายใจของหยูไห่เริ่มทรงตัวแต่ก็พลันมีไข้สูงขึ้นอย่างกะทันหัน ผิวที่ซีดปราศจากสีเลือดก็กลายเป็นสีแดง ลมหายใจก็สั้นและเร็ว

นางหลิวที่ไม่ได้นอนทั้งคืนก็หน้าซีดไม่มีสีเลือด อีกทั้งยังมีรอยคล้ำใต้ตาอีกด้วย ร่างกายที่ผ่ายผอมอ่อนแออยู่แล้วก็ยิ่งเปราะบางมากขึ้นไปอีก

นางหลิวไม่อาจหยุดร้องไห้ได้เลย นางมองใบหน้าที่กลายเป็นสีแดงของสามีแล้วคำพูดของหมอซุนเมื่อวานก็ดังขึ้นที่ข้างหูของนาง ‘ถ้าเขาติดเชื้อหรือเป็นไข้ ก็คงช่วยชีวิตเขาได้ยากแล้ว ! ’

“ตัวร้อนมากเจ้าค่ะ ! ท่านพ่อมีไข้ ! ไปบอกท่านปู่ให้เรียกหมอมาเถิด !” เสี่ยวเหลียนเช็ดน้ำตาแล้วไปเคาะประตูห้องใหญ่ หลังจากนั้นไม่นานหยูต้าชานก็ถูกปลุกขึ้นมาและถูกสั่งให้ไปพาหมอจากในเมืองมา

หยูเสี่ยวเฉานั้นไม่กล้าหลับตาเลยตลอดทั้งคืน นางรู้สึกเวียนศีรษะขณะต้มยาให้พ่อ นางใส่น้ำหินศักดิ์สิทธิ์เพิ่มไปอีก 2 หยดแล้วเรียกหินศักดิ์สิทธิ์ด้วยความร้อนใจ [ทังหยวน  ทังหยวน เจ้าอยู่หรือไม่ ? ]

[ บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เลิกเรียกข้าว่า ‘ทังหยวน’ ! มันเป็นการดูหมิ่นสถานะของข้าในฐานะศิลาแห่งสวรรค์ ! ] หินศักดิ์สิทธิ์ตอบอย่างขอไปที

[ เจ้าพูดมิใช่รึว่าท่านพ่อจะไม่เป็นอะไรหลังจากที่เจ้ารักษาไปแล้ว ? แล้วเหตุใดอยู่ ๆ เขาถึงมีไข้ได้ล่ะ ? ] หยูเสี่ยวเฉาถามอย่างไม่สบายใจ

[ มีไข้ก็เป็นเรื่องปกติมิใช่รึ เขากินน้ำหินศักดิ์สิทธิ์มากเกินไป ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าถ้าคนที่แข็งแรงดีกินน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงเข้าไป เขาจะแข็งแรงและมีกำลังมากขึ้น แต่สำหรับคนที่บาดเจ็บสาหัสอย่างท่านพ่อของเจ้าน่ะทนพลังงานที่อยู่ในน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงมิได้ เขาถึงได้ไข้ขึ้นไงเล่า ! ]

หินศักดิ์สิทธิ์ตอบเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ในใจมันคิดว่ามันจะได้ประโยชน์จากการที่ช่วยท่านพ่อของเจ้านายมันในครั้งนี้หรือไม่ หากพันธนาการที่ผนึกพลังของมันเอาไว้คลายลงสักหน่อย มันก็อาจจะสามารถ...

“แล้วท่านพ่อจะเป็นอะไรหรือไม่ ?” ผลข้างเคียงจากการกินยามากเกินไป อีกทั้งยังกินน้ำหินศักดิ์สิทธิ์มากเกินไปจะมีผลกระทบด้านลบอะไรหรือไม่ ?

ความคิดของหินศักดิ์สิทธิ์ถูกขัดจังหวะ มันจึงตอบอย่างหงุดหงิดว่า [ จะเป็นอะไรล่ะ ? อย่างมากก็หลับไปอีกสองสามวันเพียงแค่นั้นแหละ ข้ารับรองเลยว่าเขาจะมิเป็นอะไร แล้วนี่เจ้ายังกังวลอะไรอีก ? เลิกกังวลไม่เข้าเรื่องเสียที ! ข้าต้องพักผ่อนสักหน่อย อย่าได้รบกวนข้าอีก ! ]

เมื่อหินศักดิ์สิทธิ์รับรองเช่นนั้น หยูเสี่ยวเฉาก็คลายความทุกข์ใจลงได้ในที่สุด นางมองยาที่กำลังปรุงอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี ‘มีน้ำหินศักดิ์สิทธิ์อยู่ในยาหม้อนี้ด้วย ควรเอาให้ท่านพ่อกินดีหรือไม่ ? ’

แต่ในเมื่อหินศักดิ์สิทธิ์ได้เอ่ยแล้วว่าไม่มีผลข้างเคียงอะไร และเขาแค่หลับไปหลายวันเท่านั้น เยี่ยงนั้น...นอนเพิ่มอีกสักสองสามวันก็คงมิเป็นไรหรอกมิใช่รึ ?

เมื่อหมอซุนมาถึงอีกครั้ง ไข้ของหยูไห่ก็หายไปแล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาแม้แต่น้อย

หมอซุนตรวจอาการของเขาอย่างละเอียดและดูบาดแผลของเขาอีกครั้ง แต่เขาก็ยังไม่มองโลกในแง่ดี “ถ้าคนไข้ไม่ฟื้นภายในสองวัน เกรงว่าโอกาสที่จะฟื้นขึ้นมาคงน้อยเต็มที  ต่อให้ฟื้นขึ้นมา หมอก็ไม่คิดว่าเราจะเก็บขาของเขาเอาไว้ได้...แต่การที่ไข้หายไปแล้วก็เป็นสัญญาณที่ดี เขายังต้องกินยาต่ออีก ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ไปตามหมอที่ในเมืองมาได้”

หลายวันผ่านไปแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าหยูไห่จะฟื้นขึ้นมา คนส่วนใหญ่ในครอบครัวต่างไม่มีความหวังกันแล้ว ยกเว้นหยูเสี่ยวเฉา นางเป็นคนเดียวที่รู้อาการของหยูไห่ ที่หมอซุนประกาศว่าเยี่ยงไรเขาก็มิรอดเป็นแน่ แต่ทว่ามันมิได้เลวร้ายถึงเพียงนั้น อีกทั้งเขายังกินน้ำแช่หินศักดิ์สิทธิ์อยู่ทุกวัน เยี่ยงนั้นเขาจึงอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้โดยที่มิได้กินอะไรเลย หยูเสี่ยวเฉาเชื่อมั่นมากว่าตราบใดที่เขาดื่มน้ำหินศักดิ์สิทธิ์อีกสองสามถ้วย อาการบาดเจ็บของพ่อจะค่อย ๆ หายในไม่ช้าก็เร็ว

สามวันแล้วตั้งแต่หินศักดิ์สิทธิ์ใช้พลังทั้งหมดรักษาอาการบาดเจ็บของหยูไห่ แต่มันกลับฟื้นร่างวิญญาณมาได้เพียงเท่านั้น

เจ้าลูกบอลแสงสีทองเล่นน้ำอย่างมีความสุขและตบหน้าอกรับรองว่า [ มิต้องห่วง ถ้าเจ้าไม่เอาน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ให้เขาดื่มมากเกินไป เขาก็คงฟื้นขึ้นมานานแล้ว ]

เมื่อหินศักดิ์สิทธิ์ได้ยินจากเสี่ยวเฉาว่าหมอซุนบอกพวกเขาว่าต้องตัดขาท่านพ่อของนาง  มันก็ตอบอย่างดูถูกว่า [ มิต้องไปฟังเจ้าหมอเถื่อนนั่น หินศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้จะเมตตาใช้พลังวิญญาณเพิ่มให้อีกนิด ในหนึ่งเดือนท่านพ่อของเจ้าจะเดินได้ด้วยขาของตนเองอย่างแน่นอน แต่...เขาบาดเจ็บที่เอ็นและกระดูกขา อาจจะต้องเดินกะเผลกในอนาคต ]

ต่อให้เดินกะเผลกก็ไม่เป็นไรตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาหยูเสี่ยวเฉาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าท่านพ่อของนางคือเสาหลักของบ้านสอง ถ้าเขาล้ม บ้านสองทั้งบ้านก็จะล้มไปด้วย

นางจางที่เงียบอยู่สองวันก็ไม่มีหวังว่าหยูไห่จะหายเช่นกัน นางจึงเริ่มตะโกนอีกครั้ง “นี่มันกี่โมงแล้ว ? เหตุใดถึงไม่มีใครให้อาหารหมูหรือไปเก็บฟืนเลย เรายังต้องใช้ชีวิตกันต่อไปนะ ถ้าไม่ไปทำงานก็ไสหัวออกไป ! ครอบครัวเราไม่รับคนเกียจคร้าน !”

นางหลิวที่อยู่ในสภาวะวิตกกังวลอยู่ตลอดในช่วงนี้ก็รีบลุกขึ้นจากเตียงเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของนางจาง ความวิตกกังวลและทำงานหนักอย่างต่อเนื่องมาหลายวันทำให้นางหลิวหน้าซีดยิ่งกว่าหยูไห่ที่นอนอยู่บนเตียงเสียอีก

เห็นแบบนี้หยูเสี่ยวเฉาก็รีบเอ่ยขึ้นมาว่า “เสี่ยวเหลียนกับข้าจะดูแลงานบ้านเอง ท่านแม่นอนพักสักหน่อยเถอะ มิต้องห่วงนะ อาการของท่านพ่อไม่ได้แย่ลงนี่ก็เป็นข่าวดีแล้ว  ท่านพ่อไม่ยอมจากภรรยาดี ๆ แล้วก็ลูก ๆ ที่ฉลาดของเขาไปอย่างแน่นอน ท่านพ่อเป็นคนซื่อตรงและกล้าหาญ จะต้องผ่านเรื่องนี้ไปได้เป็นแน่ ท่านแม่ต้องมั่นใจในตัวท่านพ่อเข้าไว้สิ จึงจะถูกต้อง”

“เด็กคนนี้ ! ใครเขาชมตัวเองเยี่ยงเจ้ากัน ?” ความกังวลของนางหลิวคลายลงบ้าง นางแกล้งมองไปที่เด็กหญิง แม้ว่าครอบครัวนี้จะมีงานให้ทำไม่ได้หยุดหย่อนและถูกด่าอยู่ตลอด แต่สามีของนางก็ดีกับนางอย่างแท้จริง ตราบใดที่สามีของนางสามารถรอดพ้นจากเคราะห์กรรมครั้งนี้ไปได้ นางก็จะไม่บ่นหากต้องเจอกับความลำบากอีก

นางหลิวก้มหัวมองหยูไห่อย่างเงียบ ๆ ผ่านมาหลายปีนี่เป็นครั้งแรกที่นางมองเขาอย่างละเอียดถึงเพียงนี้ เขาหมดสติไปถึง 5 วันและดูสงบนิ่งราวกับว่าเขาแค่หลับไปเท่านั้น  นางหลิวเพียงแค่หวังว่าเขาจะลืมตาขึ้นมายิ้มให้นางแล้วเรียกชื่อนางว่า มู่หยุน อีกครั้ง

หวังว่าจะเป็นอย่างที่เสี่ยวเฉากล่าว เขาจะรอดจากเคราะห์กรรมครานี้ไปได้...

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด