ตอนที่แล้วRe-new ตอนที่ 58 ตัดขา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปRe-new ตอนที่ 60 สาหัส

Re-new ตอนที่ 59 อดีต


ตอนที่ 59  อดีต

พวกชาวบ้านในลานบ้านทั้งหมดหากไม่ใช่เพื่อนของหยูไห่กับภรรยาก็เป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ ๆ ตอนที่ลูกชายคนรองของตระกูลหยูบาดเจ็บสาหัสจนต้องถูกแบกกลับมาที่บ้าน  นางจางก็เอาแต่หลบและอ้างว่าจนเมื่อพูดถึงค่ารักษา แต่ก็ไม่มีใครประหลาดใจในการกระทำของนางในเมื่อมันเกิดขึ้นจนเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกชาวบ้านแล้ว

ภรรยาของชวนจู้อดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้ นางเคยได้ยินพวกผู้ใหญ่ที่บ้านพูดถึงนางจาง นางจางเป็นภรรยาคนที่สองของเฒ่าหยูหลังจากภรรยาคนแรกเสียชีวิต และนางยังเป็นลูกพี่ลูกน้องของแม่ที่เสียไปของหยูไห่อีกด้วย ตอนนั้นนางจางที่เป็นม่ายใหม่ ๆ ถูกไล่ออกมาจากบ้านสามี และเป็นแม่ของหยูไห่ที่ซึ่งล้มป่วยอยู่มีน้ำใจรับนางเข้ามา ต่อมาแม่ของหยูไห่ก็เสียชีวิตจากโรคร้าย เฒ่าหยูเห็นว่านางจางมีความจริงใจขณะที่ดูแลหยูไห่กับพี่สาว เขาจึงแต่งงานกับนางเป็นภรรยาคนที่สอง

ลูกชายคนโต หยูต้าชาน เป็นลูกของนางจางกับสามีเก่าของนาง เขาอายุมากกว่าหยูไห่แค่ 2 เดือนเท่านั้น ลูกชายคนที่สาม หยูป่อ กับลูกสาวคนเล็ก หยูไซตี้ เป็นลูกของนางจางกับเฒ่าหยู

ตอนที่แม่ของหยูไห่ยังมีชีวิตอยู่ นางจางได้เสแสร้งทำดีกับหยูไห่เสียยิ่งกว่าลูกชายของตนเอง ดังนั้นตอนที่แม่ของหยูไห่ล้มหมอนนอนเสื่อ นางจึงไว้ใจให้นางจางดูแลลูกชายของนาง แต่หลังจากแม่ของหยูไห่เสียชีวิตได้ไม่นาน นางจางก็ได้เผยธาตุแท้ออกมา

นางอ้างว่าสถานการณ์ของครอบครัวไม่ดี และให้หยูไห่กินแต่โจ๊กซึ่งถูกเจือจางเสียจนสะท้อนหน้าคนได้กับแผ่นแป้ง 1 ชิ้นทุกวัน ต่อหน้าเฒ่าหยู นางก็แกล้งทำเป็นว่าทุกคนกินอาหารแบบเดียวกันทั้งหมด แต่แท้จริงแล้วนางแอบเก็บของดี ๆ ไว้ให้ลูกของตนเองกินตอนกลางคืน

ตอนที่หยูไห่เป็นเด็ก เขาปีนขึ้นต้นไม้เพื่อไปเก็บไข่, ผลไม้ และหาของทะเลในทะเลเพราะความหิว เมื่อโตขึ้นเขาก็เรียนรู้วิธีจับไก่ฟ้า, กระต่ายป่า และสัตว์ตัวเล็ก ๆ ในภูเขาด้วยตนเอง

หยูไห่เป็นคนซื่อบริสุทธิ์และกตัญญู จึงไม่เคยเก็บไก่ฟ้าและกระต่ายป่าเอาไว้กินเองคนเดียวเลย เขาเอาพวกมันกลับบ้านและให้พ่อจัดการเพื่อให้ทั้งครอบครัวได้กิน แต่นางจางก็จะเลือกเอาน่องและขากระต่ายให้ลูกของตนเองกิน ดังนั้นหยูไห่จึงได้กินแต่ส่วนที่ไม่ค่อยมีเนื้อมากนัก เมื่อเฒ่าหยูด่านาง นางก็จะตอบอย่างมีเหตุผลว่า ‘ลูกสามกับลูกสาวเรายังเด็ก ลูกรองก็ควรจะยอมให้น้องซิ...’

เมื่อหยูไห่เป็นวัยรุ่น เขาก็เริ่มออกหาปลาในทะเลกับเฒ่าหยู ภายใน 2 ปีเขาก็กลายเป็นหนึ่งในชาวประมงที่เก่งที่สุดของหมู่บ้าน ทุกครั้งที่เขาไปที่ทะเล เขาจะจับปลาได้มากกว่าคนอื่น ๆ นอกจากนั้นเขายังจับปลาพันธุ์หายากมาได้บ่อยครั้ง ดังนั้นครอบครัวที่ร่ำรวยและร้านอาหารชื่อดังในเมืองจึงชอบซื้อปลาที่เขาจับมาได้

และหยูไห่ยังไปล่าสัตว์บนภูเขากับพรานจ้าวอยู่บ่อยครั้งอีกด้วย พวกเขาจะนำสัตว์ที่ล่ามาได้กลับมาด้วยทุกครั้ง แต่ส่วนใหญ่แล้วนางจางจะไม่ยอมให้คนที่บ้านกินสัตว์พวกนี้  พวกมันจะถูกนำไปขายในเมือง และเงินที่ได้มาก็จะถูกเก็บเข้ากระเป๋าของนางจาง

ครอบครัวตระกูลหยูย้ายออกจากบ้านบรรพบุรุษที่ทั้งเก่าทั้งโทรม พวกเขาสร้างบ้านแบบห้าห้องทางด้านตะวันออกของหมู่บ้านใกล้กับทะเล สองปีที่ผ่านมาพวกเขายังซื้อเรือใหม่แทนที่เรือหาปลาลำเก่าที่พังไปแล้ว ด้วยความสามารถของหยูไห่ ตระกูลหยูถึงได้ก้าวกระโดดจากครอบครัวยากจนไปเป็นครอบครัวที่มีฐานะดีของหมู่บ้าน

นางจางได้ควบคุมการเงินของครอบครัวเอาไว้ทั้งหมด เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาเงินจากนางมาแม้แต่อีแปะเดียว กระทั่งเงินที่ใช้ซื้อของเข้าบ้านก็ยังถูกคำนวนอย่างละเอียดซ้ำแล้วซ้ำอีก พวกเขากินแผ่นแป้งธัญพืชหยาบ, โจ๊กถั่ว, และผักดองทุกวัน บางครั้งก็แค่ต้มผักจากสวนของพวกเขาโดยไม่ยอมใช้น้ำมันเลย ยกเว้นช่วงปีใหม่ที่จะมีเนื้อสัตว์กินบ้าง

แม้แต่คนที่ไม่ค่อยทำงานและครอบครัวที่ยากจนที่สุดในหมู่บ้านก็ยังได้กินดีกว่าและมีเสื้อผ้าที่อุ่นกว่าครอบครัวของพวกเขา ไม่มีใครในหมู่บ้านไม่รู้ว่าหญิงชราแห่งตระกูลหยูนั้นเป็นเหมือนหนูที่เข้าไปในถังน้ำมัน มีแต่ทางเข้าไม่มีทางออก

นางหลี่ ลูกสะใภ้คนโตนั้น ครอบครัวของนางอาศัยอยู่ใกล้ ๆ และมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดี  นางจางได้ใช้ทรัพย์สินของครอบครัวไปเกือบหมดเพื่อเตรียมของหมั้น เพื่อที่ลูกชายคนโตของนางจะได้แต่งงาน

หลายครั้งนางหลี่จะพาลูกชายกลับไปที่บ้านแม่เพื่อกินอาหารดี ๆ นางมักจะกลับบ้านมาพร้อมกระเป๋าหลายใบที่แอบเอาเข้าไปในห้อง แต่นางจางก็จะทำเป็นมองไม่เห็นพฤติกรรมของนาง ทำให้สองแม่ลูกได้กินเยอะเสียจนตัวจะแตกอยู่แล้ว พวกเขาแตกต่างจากภรรยาและลูก ๆ ของหยูไห่โดยสิ้นเชิง ทุกคนดูซูบผอมกันทั้งสิ้น

หยูไห่เลือกนางหลิวเป็นภรรยาด้วยตนเอง และขอให้พ่อจ้างแม่สื่อมาจัดการแต่งงานให้  ในเวลานั้นได้มีลูกสาวที่อ้วนและน่าเกลียดของเจ้าของร้านชำหลงรักหยูไห่ที่ทั้งสูงทั้งหล่อและเก่งกาจมีความสามารถ พวกเขาได้เชิญคนไปคุยกับนางจางแล้วว่าไม่ต้องการของหมั้น แถมยังเตรียมเงินสินเดิมให้อีก 30 ตำลึงด้วย

สำหรับครอบครัวธรรมดาที่อยู่ในหมู่บ้านชาวประมงเช่นครอบครัวหยู ค่าใช้จ่ายต่อปีของพวกเขาจะอยู่ที่ประมาณ 3 - 5 ตำลึงเท่านั้น แม้ว่าพวกเขาจะมีรายได้ที่ดีจากการหาปลาทุกวัน แต่พวกเขาต้องจ่ายค่าเล่าเรียนให้กับหยูป่อลูกชายคนที่สาม ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องเตรียมเงินที่จำเป็นสำหรับการสอบในอนาคตของเขาอีกด้วย และต้องเตรียมเงินค่าสินสอดสำหรับลูกสาวคนเล็กอีก ตอนนั้นเงิน 30 ตำลึงจึงเป็นจำนวนเงินที่มากสำหรับตระกูลหยู แน่นอนว่านางจางจะต้องสนใจ

พอนางตัดสินใจยอมรับคำขอแต่งงานนี้ การแต่งงานของหยูไห่กับนางหลิวก็ถูกจัดขึ้น  นางหลิวมาจากครอบครัวธรรมดาทั่ว ๆ ไป เหล่าพี่ชายของนางก็เพิ่งแต่งงาน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องพยายามอย่างมากในการรวบรวมเงินหลายตำลึงมาเป็นค่าสินเดิมของนาง และมันย่อมห่างไกลกับเงิน 30 ตำลึงที่เจ้าของร้านชำเสนอให้อย่างมาก เงิน 30 ตำลึงที่นางกำลังจะได้ก็หายวับไปทันที แน่นอนว่านางจางย่อมมองว่านางหลิวเป็นตัวเกะกะสายตา

หลังจากนางหลิวแต่งงานเข้ามาในตระกูล นางก็ต้องรับผิดชอบงานบ้านเกือบทั้งหมด  ทั้งทำอาหาร, ซักผ้า, เก็บผักเก็บฟืน และยังต้องให้อาหารไก่กับหมูอีกด้วย นอกจากนั้นนางต้องรับผิดชอบดูแลที่ดิน 2 แปลงของตระกูล แม้แต่ตอนท้องนางจางก็ไม่ยอมให้นางได้พัก หญิงชราด่านางหลิวทั้งวันแม้แต่เรื่องหยุมหยิมเล็ก ๆ น้อย ๆ

ขนาดยังไม่ครบระยะพักฟื้นหลังคลอดฉีโตวลูกชายคนเล็ก นางหลิวก็ถูกสั่งให้ไปซักผ้าในแม่น้ำที่มีน้ำแข็งปกคลุม ผลก็คือนางหลิวล้มป่วยและได้รับผลกระทบเป็นโรคเรื้อรัง  ในช่วงฤดูหนาวและฤดูฝนนางจะไอไม่หยุด บางครั้งก็ไอจนแทบหายใจไม่ออกจนหน้าเขียว เคยเกือบตายก็หลายครา

ทุกปีนางหลิวจะต้องไปหาหมอและกินยารักษาอาการป่วยซึ่งต้องใช้เงินมาก นอกจากนั้นหยูเสี่ยวเฉาก็เกิดมาพร้อมสภาพร่างกายที่อ่อนแอและป่วยอยู่ตลอด แต่ละครั้งที่นางจางต้องจ่ายค่ารักษาของพวกเขานั้นราวกับมีคนมาขุดหลุมศพบรรพบุรุษของนาง หญิงชราจะด่าพวกเขาทุกวันพร้อมกับพูดว่านางกำลังเลี้ยงปีศาจผลาญเงินค่ายาถึง 2 คน...

เมื่อก่อนด้วยความสามารถในการหาเงินของหยูไห่ ถึงแม้นางจางจะบ่นแต่ก็ยังเอาเงินมาจ่ายเป็นค่ายาค่ารักษา

เนื่องจากวันนี้นางจางเร่งเร้าไม่หยุด หยูไห่จึงต้องตามจ้าวปู้ฝานเพื่อนสนิทของเขาไปล่าสัตว์บนภูเขาตะวันตก แต่พวกเขาไปรบกวนหมีที่กำลังจำศีลอยู่ในถ้ำโดยไม่ได้ตั้งใจ เพื่อช่วยชีวิตพรานจ้าว ขาของหยูไห่จึงถูกหมีกัดจนเละ และหลังก็ถูกข่วนจนเลือดโชก  ตอนนี้ดูเหมือนเขาแทบจะไม่หายใจแล้ว

แต่ก็ถือว่าเขาโชคดีอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าเส้นเลือดของเขาจะเกือบขาด แต่เขาก็สามารถทนจนหมอมาถึงได้ ตอนแรกพวกเขาคิดว่าหมอที่เก่งที่สุดในเมืองจะมีข่าวดีให้พวกเขา แต่หลังจากตรวจอาการของหยูไห่แล้ว หมอซุนแห่งร้านยาถงเหรินก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ทำเท่าที่ทำได้ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับชะตาฟ้าลิขิต” หลังจากนั้นเขาเขียนใบสั่งยาให้พร้อมกับเอ่ยว่า ยาอาจจะมิได้ผล ก็แค่ทำให้อุ่นใจขึ้นเท่านั้น

ยาราคาประมาณ 1 ตำลึงและมันอาจจะช่วยชีวิตลูกชายคนรองของตระกูลหยูเอาไว้ไม่ได้ ไม่มีทางที่นางจางจะยอมจ่ายเงินที่เพียรพยายามเก็บมาให้เสียเปล่า ครอบครัวของพวกเขามีแต่คนป่วยและคนอ่อนแอ ถ้าหยูไห่ไม่ฟื้น พวกเขาก็จะกลายเป็นภาระของตระกูลหยูในอนาคต ถ้าหยูไห่รอดมาโดยที่ต้องตัดขา เขาก็จะเป็นแค่ภาระของตระกูลไปด้วยเช่นกัน

ภรรยาของชวนจู้มองสถานการณ์ออกหมดแล้ว ถ้านางจางตัดสินใจเองได้ นางคงไล่ครอบครัวของหยูไห่ออกจากบ้านโดยไม่ลังเล แต่เฒ่าหยูคือคนที่ตัดสินใจเรื่องในบ้าน อีกทั้งนางจางยังกลัวชาวบ้านคนอื่น ๆ จะซุบซิบนินทา ดังนั้นนางจึงไม่กล้าพูดเรื่องนี้ออกมาอย่างโจ่งแจ้ง

เฮ้อ วันข้างหน้าครอบครัวของหยูไห่จะรอดจากเงื้อมมือนางจางได้เยี่ยงไร ? ภรรยาของชวนจู้อดเป็นห่วงพวกเขามิได้

มีกลิ่นคาวเลือดลอยอยู่ในอากาศ หยูไห่นอนนิ่งอยู่บนเตียง ดูซีดเซียวและแทบจะไม่หายใจ ทุกครั้งที่เขาไปล่าสัตว์บนภูเขา เขาจะได้มาอย่างน้อย 400 – 500 อีแปะ แต่ตอนนี้เขามีเพียงผ้านวมเก่า ๆ ซีด ๆ คลุมตัวอยู่เท่านั้น

ในห้องตะวันตกนั้นทั้งมืดและคับแคบโดยเตียงได้กินพื้นที่ส่วนใหญ่ไป ที่หัวเตียงมีหีบหวายเก่า ๆ อยู่ใบหนึ่ง ส่วนข้างเตียงก็มีโต๊ะที่นำไม้กระดานจำนวนมากพยุงเอาไว้เพราะมันจะสามารถล้มลงได้ทุกเมื่อ มีเพียงแค่เท่านี้ หยูไห่กับภรรยาเป็นแรงงานหลักของบ้าน  แต่กลับต้องอาศัยอย่างแออัดอยู่ในห้องกับพวกลูก ๆ

ตอนที่หยูไห่ยังมีชีวิตอยู่ บ้านสองก็ถูกปฏิบัติเยี่ยงนี้แล้ว แล้วนี่ถ้า...

“จ่ายค่ายาหมอซุนเร็วเข้าสิ !” เฒ่าหยูที่ถูกนางจางลากเข้าไปในห้องใหญ่ตะโกนขึ้นมา  พวกชาวบ้านมองหน้ากันอย่างพูดไม่ออก นางจางจะเลิกเสแสร้งทำตัวเป็นคนดีแล้วปฏิเสธไม่ยอมจ่ายเงินค่ายาของหยูไห่จริง ๆ รึ ?

“ตั้ง 5 ตำลึง ! ท่านหมอก็พูดแล้วนี่ว่ากินยาไปก็มิมีประโยชน์ ! เสี่ยวเฉามีกล่องยาของท่านหมอโหยวมิใช่รึ ? ใช้ยาพวกนั้นเพื่อให้อุ่นใจก็ได้ เงิน 5 ตำลึงมากพอซื้อพู่กันกับหมึกให้ลูกสามทั้งเดือนเลยนะ !” เสียงคำรามของนางจางฟังเหมือนเสียงของสัตว์ร้ายตัวเมียที่เฝ้าดูแลปกป้องลูกของมัน

เสียงของเฒ่าหยูดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ามีเงินเก็บอยู่เท่าใดรึ ? ถ้ามีความหวังแม้แค่เสี้ยวนึง เราก็ควรพยายามให้เต็มที่ เยี่ยงนั้นแล้วเจ้าจะไม่รู้สึกผิดเลยรึไง ? มิกลัวเสี่ยวเฉากับพี่น้องของนางแค้นเอารึ ?”

นางจางยังไม่ยอม “มิใช่ว่าข้าไม่อยากช่วย แต่หมอก็บอกแล้วว่ายาไม่ช่วยอะไร แล้วเหตุใดต้องเปลืองเงินด้วย ? เก็บเงินเอาไว้ช่วยลูกรองเลี้ยงลูกของเขามิดีกว่ารึ...”

ขณะที่สองสามีภรรยาเถียงกันอยู่ในห้องใหญ่  พวกเพื่อนบ้านก็มองไปที่ห้องตะวันตกอย่างสงสารและส่ายหน้าไม่หยุด

“อาหยู !” ชายรูปร่างแข็งแรงกำยำคนหนึ่งซึ่งดูองอาจห้าวหาญได้เข้ามาในลานบ้านของตระกูลหยู เขาคือคนที่หยูไห่ช่วยชีวิตเอาไว้ในวันนี้ จ้าวปู้ฝาน

เมื่อนางจางได้ยินเสียงเขา นางก็รีบวิ่งออกมานอกห้องทันที ถึงนางจะตัวเล็กและผอมบาง แต่ก็แข็งแรงไม่น้อย นางคว้าคอเสื้อของจ้าวปู้ฝานแล้วตะคอกสุดเสียงว่า “แก ไอ้พรานจ้าว ! ถ้ามิใช่เพราะแก หยูไห่ของเราจะต้องมาเกือบตายเยี่ยงนี้รึ ? ข้าไม่สนใจ !   ลูกรองต้องบาดเจ็บก็เพราะแก ตระกูลจ้าวต้องรับผิดชอบค่ายาพวกนี้ ! แล้วหาดเกิดอันใดขึ้นกับหยูไห่ ตระกูลจ้าวก็ต้องรับผิดชอบดูแลทั้งแม่ม่ายกับเด็กกำพร้าของบ้านสองด้วย !”

สุดท้ายนางจางก็ไม่เคยสนใจว่าหยูไห่จะเป็นหรือตาย สิ่งเดียวที่นางสนใจก็คือเงิน เงิน  และเงิน

“มิต้องห่วงท่านอาหญิง น้องหยูไห่ช่วยชีวิตข้าไว้ ถ้ามิใช่เพราะเขาข้าก็คงตายไปแล้ว !   จ้าวปู้ฝานผู้นี้เป็นคนซื่อสัตย์และกล้าหาญ ไม่มีวันอกตัญญูอย่างแน่นอน ! ข้าได้ฆ่าหมีที่ทำร้ายน้องหยูไห่แล้วและเอามันไปขายในเมือง... !”

นางจางมีสีหน้าละโมบขึ้นมาทันที นางพูดแทรกจ้าวปู้ฝานก่อนที่เขาจะพูดจบ “พรานจ้าว เข้าไปคุยในห้องกันเถิด !”

มิต้องเอ่ยถึงขนหมีกับถุงน้ำดีของหมีเลย แค่เนื้อกับอุ้งเท้าหมีก็ขายในเมืองได้ในราคาแพงมากแล้ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด