Re-new ตอนที่ 58 ตัดขา
ตอนที่ 58 ตัดขา
ไม่ ! นั่นแทบไม่เรียกว่าขาแล้ว ! ผิวหนังที่ขาขวาฉีกลอกออกเกือบทั้งหมด เผยให้เห็นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อและกระดูกสีขาวข้างใน ส่วนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่สุดก็คือต้นขา เนื้อถูกฉีกออกไปเป็นก้อน เลือดไหลออกมาจากหลอดเลือดแดงที่ต้นขาไม่หยุด ถ้าจ้าวปู้ฝานไม่ได้ฉีกเสื้อมามัดรอบต้นขาเขาเอาไว้ล่ะก็ หยูไห่คงเสียเลือดมากจนตายก่อนจะมาถึงบ้านแล้ว
“เสี่ยว...เสี่ยวเฉา !” นางหลิวร้องไห้ฟูมฟายจนแทบหายใจไม่ออก ถ้านางไม่ได้กินยามาตลอดฤดูหนาวก็คงเป็นลมไปเรียบร้อยแล้ว นางหลิวคว้าตัวลูกสาวคนเล็กเอาไว้แน่นราวกับเป็นความหวังสุดท้ายในการช่วยชีวิตสามีของนาง “ใช่แล้ว ! เสี่ยวเฉา เจ้าเรียนหมอกับหมอโหยวมามิใช่รึลูก ? รีบช่วยพ่อของเจ้าเร็ว ๆ เข้า !”
หยูเสี่ยวเฉาไม่เคยเห็นภาพที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อนเลย นางจึงตกตะลึงไปชั่วอึดใจและไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี
[ เจ้านาย ท่านต้องหยุดเลือดก่อน ! ถ้าเลือดออกหมดตัว ต่อให้เป็นเซียนก็ช่วยชีวิตเขาไว้มิได้ ! ] เมื่อหินศักดิ์สิทธิ์เห็นสีหน้าหวาดกลัวของเจ้านายของมัน มันก็รีบเตือนนางให้ทำการห้ามเลือดทันที
“ข้า ข้าจะทำเยี่ยงไรดี ?” หยูเสี่ยวเฉาจำการผ่าตัดในชาติก่อนของนางได้ว่าบาดแผลใหญ่ ๆ จะต้องเย็บเพื่อหยุดเลือด แต่ขาพ่อของนางยับเยินถึงเพียงนี้ นางจะทำเยี่ยงไรดี ?
[ เอาข้าไปอยู่ใกล้ ๆ แผลที่ต้นขาของเขา ข้าจะสามารถใช้พลังวิญญาณช่วยได้ง่ายขึ้น ! ] หินศักดิ์สิทธิ์ได้แต่แนะนำเจ้านายของมันไปทีละขั้นตอน
หยูเสี่ยวเฉาเอายาสำหรับบาดแผลภายนอกออกมาทั้งหมด เธอใช้น้ำหินศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้สมาธิขั้นสูงทำออกมาผสมเข้ากับยา จากนั้นก็ทาลงบนบาดแผลของพ่ออย่างระมัดระวัง ขณะที่ทายานางก็พยายามเอาหินศักดิ์สิทธิ์ที่ข้อมือของนางเข้าไปใกล้แผลให้มากที่สุด
หินศักดิ์สิทธิ์เปล่งแสงสีทองจาง ๆ ออกมา แสงนั้นค่อย ๆ ห่อหุ้มขาของหยูไห่ทั้งขา แม้ว่าตาเปล่าจะมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไร แต่เส้นเลือดและเนื้อที่ฉีกขาดก็ได้รับการหล่อเลี้ยงจากพลังวิญญาณของหินศักดิ์สิทธิ์ พูดอีกอย่างก็คือแม้ว่าขาของเขาจะดูน่ากลัวอยู่เช่นเดิม แต่ก็จะหายเร็วขึ้นเป็นสองเท่าในอนาคต
แสงสีทองคลุมขาของหยูไห่อยู่ 2 เค่อ หินศักดิ์สิทธิ์ใช้พลังวิญญาณของมันจนหยดสุดท้ายและไม่ลืมที่จะต่อรองกับหยูเสี่ยวเฉา [ เข้าเมืองคราหน้าอย่าลืมพาข้าไปที่ร้านยาถงเหรินด้วย พลังวิญญาณที่ข้าสะสมมาหมดอีกแล้ว ข้าเหนื่อย ข้าต้องนอน ! ]
พูดยังไม่ทันจบแสงสีทองก็หายกลับไปที่หินศักดิ์สิทธิ์และไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรจากหินศักดิ์สิทธิ์อีก แม้ว่าหยูเสี่ยวเฉาจะเป็นห่วงหินศักดิ์สิทธิ์อยู่เหมือนกัน แต่นางก็กังวลเรื่องอาการบาดเจ็บของพ่อมากกว่า
หยูไห่ที่นอนอยู่บนเตียงยังคงหน้าซีด ลมหายใจแผ่วเบา ขาของเขามียาทาแผลทาเอาไว้ มันไม่ได้ดูน่ากลัวเท่าก่อนหน้านี้แล้ว
“ตายแล้ว ! บาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้เลยรึ เยี่ยงนี้ถึงช่วยชีวิตเอาไว้ได้ ขาขวาเขาก็ต้องพิการเป็นแน่ !...”
นางหลี่สนุกกับภาพความวุ่นวายโกลาหลนี้ นางส่ายหน้าจุ๊ปากพร้อมกับราดน้ำมันลงบนกองไฟ
เฒ่าหยูที่โกรธจนสุดจะทนจึงหาที่ระบายได้เสียที “เขานอนเจ็บอยู่ตรงนี้ แต่เจ้ายังจะพูดจาหมาไม่แดกอีกรึ ! ไปให้พ้นหน้าข้า !”
ถึงนางหลี่จะหน้าหนายังไง แต่นางก็ทนไม่ได้ที่ถูกพ่อสามีด่าต่อหน้าผู้คน จึงอดบ่นพึมพำเบา ๆ ไม่ได้ว่า “ข้าไม่ได้เป็นคนบอกให้เขาขึ้นไปบนภูเขาเสียหน่อย เหตุใดต้องตะคอกใส่ด้วย ? ถ้าอยากโทษใครสักคนก็โทษตัวเขาเองสิที่ไม่รู้จักระวัง...โอ๊ย !”
นางหลี่พูดยังไม่ทันจบก็โดนฉีโตวทุบเข้าให้ เด็กน้อยจ้องนางหลี่ด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังและเสียใจ ท่านพ่อของเขาบาดเจ็บก็เพื่อครอบครัวมิใช่รึ ท่านป้าใหญ่ยังมาพูดจาเช่นนี้อีก ! อาการบาดเจ็บของท่านพ่อไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย !
ฉีโตวดูเหมือนสัตว์บาดเจ็บตัวน้อย เมื่อเจอสายตาของฉีโตว นางหลี่ที่มักจะมีเล่ห์เหลี่ยมและเจ้ากี้เจ้าการก็รู้สึกผิดขึ้นมาจนต้องล่าถอย นางออกจากห้องตะวันตกไปท่ามกลางสายตาไม่พอใจของพวกชาวบ้าน
หยูเสี่ยวเฉาไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวของนางเลย นางเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่ท่านพ่อของนาง เด็กหญิงหยิบขวดน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้สมาธิขั้นสูงออกมาจากกล่องยา นางหลิวช่วยนางเปิดปากของหยูไห่แล้วป้อนน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ให้เขาอย่างระมัดระวัง
โชคดีที่น้ำหินศักดิ์สิทธิ์ไม่หกเลยสักหยด หยูไห่กลืนน้ำลงไปโดยไม่รู้ตัว ถ้าเขากลืนไม่ได้เสี่ยวเฉาคงรู้สึกสิ้นหวังไปหมดทุกอย่าง นางรู้ถึงคุณสมบัติของน้ำหินศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว จึงมีความเชื่อว่าท่านพ่อของนางจะต้องรอดเป็นแน่
อาหญิงชวนจู้มองขวดยาในมือเสี่ยวเฉาแล้วไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา สามีของนางป่วยหนักในช่วงฤดูหนาว ถ้าเสี่ยวเฉาไม่เอายาช่วยชีวิตนั้นออกมา เขาก็คงตายไปแล้ว ยานี้คือผลจากความอุตสาหะเพียรพยายามตลอดชีวิตของหมอโหยว มันน่าจะช่วยชีวิตของต้าไห่ได้มิใช่รึ ?
หยูเสี่ยวเฉาเอาน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ให้แม่ของนางดื่มด้วยสองสามอึก นางหลิวไม่ยอมไปไหนทั้ง ๆ ที่ตนเองก็อาการไม่ดี โรคเก่าของนางเพิ่งจะดีขี้น ดังนั้นเสี่ยวเฉาจึงปล่อยให้แม่ล้มป่วยอีกคราในช่วงวิกฤตเช่นนี้ไม่ได้
“พี่สาม ท่านพ่อจะรอดหรือไม่ ? ข้ากลัว !” ฉีโตวที่อายุยังไม่ถึง 6 ขวบได้รู้แล้วว่าความตายน่ากลัวถึงเพียงใหน ! เด็กน้อยน้ำตาไหลพรากพร้อมกับซบหยูเสี่ยวเฉา สมาชิกที่สงบนิ่งเพียงคนเดียวในครอบครัว
นางจางหลบอยู่ในห้องไม่โต้ตอบพูดคุยกับใครเลยแม้แต่คนเดียว เฒ่าหยูเดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าห้องตะวันตก เขาได้แต่ถอนหายใจโดยไม่รู้จะทำยังไงต่อดี หยูต้าชานอยู่ในห้องตะวันตกแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร หยูไซตี้ร้องไห้เหมือนฝนพรำลงบนดอกสาลี่ ดูท่าทางพึ่งพาอะไรไม่ได้ อาสามกับครอบครัวก็กลับเข้าเมืองไปตั้งแต่เริ่มฤดูใบไม้ผลิ ในครอบครัวใหญ่นี้ นอกจากหยูเสี่ยวเฉาที่ทายาให้พ่อของนางอย่างสงบนิ่งแล้ว คนอื่น ๆ ล้วนไม่รู้ว่าควรจะทำสิ่งใดในเวลาเยี่ยงนี้
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าโดยเฉพาะในเวลาที่ร้อนใจเช่นนี้ ไม่ว่าคนในตระกูลหยูหรือพวกชาวบ้านที่เข้ามาเยี่ยมถามไถ่อาการ ทุกคนต่างรอคอยการมาของหมอจากในเมือง
ในที่สุดเกวียนก็วิ่งผ่านทางเข้าหมู่บ้านเข้ามา เมื่อคนขับเกวียนได้ยินว่าอาการบาดเจ็บของคนไข้เร่งด่วนมาก เขาก็ไม่ได้สนใจสวัสดิภาพของลาเขาอีกต่อไป และเร่งลามาตลอดทางราวกับมันเป็นม้า หลังจากบังคับเกวียนลามาครึ่งชั่วยาม เขาก็พาหมอมาถึงที่บ้านตระกูลหยูได้สำเร็จ
หมอที่มาคือหมอซุน หมอเทวดาจากร้านยาถงเหริน พอก้าวลงจากเกวียนเขาก็รีบหยิบกล่องยาและเดินเข้าประตูไปทันทีพร้อมกับถามว่า “คนบาดเจ็บอยู่ที่ใด ? พาข้าไปเร็วเข้า !”
ชาวบ้านพาหมอซุนไปที่ห้องตะวันตก เดิมทีไฟในห้องตะวันตกก็ไม่สว่างอยู่แล้ว ตอนนี้พอมีคนมามุงที่ทางเข้ากันเยอะแยะเต็มไปหมด ห้องก็ดูมืดกว่าปกติไปมาก
“ทุกคนนอกจากญาติต้องออกจากห้องไปให้หมด จะได้ไม่รบกวนผู้ป่วย !” หมอซุนไม่พอใจเป็นอย่างมากกับเสียงเอะอะหนวกหูในห้อง เขาขมวดคิ้วแล้วไล่คนออกไปข้างนอก
เมื่อหมอซุนเห็นอาการบาดเจ็บของหยูไห่ เขาก็สูดหายใจลึก เขาเป็นหมอมาหลายปีก็ยังไม่ค่อยได้เจออาการบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ เขารีบนั่งลงข้างเตียงและเอามือขวาจับชีพจรของหยูไห่
หลังจับชีพจรอยู่ครู่หนึ่ง หมอซุนก็ถอนหายใจยาว เขาหันไปทางนางหลิวและลูกสาวของนางที่จ้องมองเขาโดยไม่ยอมละสายตา แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ชีพจรของเขาอ่อนมาก หลอดเลือดแดงเป็นรูกลวง สาเหตุหลักของอาการของเขาก็คือการเสียเลือดและอาการบาดเจ็บของหยิน...”
“ท่านหมอเจ้าคะ เขาจะรอดหรือไม่ ?” สภาพจิตใจของนางหลิวตอนนี้สับสนยุ่งเหยิงผสมไปหมด นางจึงถามถึงอาการของสามีอย่างร้อนใจ
หมอซุนตรวจอาการบาดเจ็บของหยูไห่อย่างละเอียดอีกครั้ง เขายิ่งขมวดคิ้วมากขึ้นกว่าเดิมแล้วตอบว่า “ยาที่ทาบนแผลของเขาเพื่อหยุดเลือดได้ผลดีเกินคาด ถ้าทายาไม่ทันเวลา เขาก็คงรอจนหมอมาถึงไม่ได้หรอก แต่ว่า...”
เมื่อนางหลิวเห็นสีหน้าหนักใจของหมอซุนก็รู้สึกใจหาย “ท่านหมอซุน ท่านเป็นหมอที่มีชื่อเสียง ได้โปรดช่วยสามีของข้าให้ได้นะเจ้าคะ ! ข้าขอร้องล่ะ !”
“มิใช่ว่าหมอไม่อยากช่วย ปัญหาคือช่วยได้หรือไม่ได้ต่างหาก แผลที่ขาของเขาใหญ่เกินไป อีกทั้งเนื้อและเอ็นทั้งหมดก็ถูกฉีกและลอกออกมา ต่อให้อยากช่วยก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนจากบาดแผลทั้งหมดนี้ !” หลายปีก่อนหมอซุนเคยเจอคนไข้ที่ได้รับบาดเจ็บคล้าย ๆ เยี่ยงนี้ เขารักษาอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยชีวิตคนไข้คนนั้น แต่สุดท้ายเขาก็ไม่รอด เขามีไข้สูงจากการติดเชื้อที่บาดแผลและเสียชีวิตลง
เมื่อนางหลิวได้ยินหมอซุนพูดเช่นนั้น นางก็หายใจไม่ออกและเป็นลมล้มฟุบไปข้าง ๆ เตียง เด็กทั้งสามคนพากันร้องไห้และช่วยพาแม่ขึ้นไปนอนบนเตียง
หยูเสี่ยวเฉาพยายามระงับความเศร้าโศกและความกังวลที่พุ่งขึ้นมา นางถามด้วยน้ำเสียงสงบแต่ก็ดื้อรั้น “ท่านหมอซุนเจ้าคะ มิมีหวังที่จะรักษาเลยรึเจ้าคะ ?”
หมอซุนมองขาที่ถูกขย้ำจนเละของหยูไห่แล้วถอนใจ “ตอนนี้เราต้องตัดขาข้างที่บาดเจ็บออกเพื่อให้เขามีโอกาสรอด แต่ถึงรวมกับยาของข้าด้วยแล้ว เขาก็มีโอกาสรอดเพียงแค่สามในสิบส่วนเท่านั้น !”
“เป็นไปได้หรือไม่เจ้าคะที่ท่านพ่อจะรอดโดยมิต้องตัดขา ?” สำหรับหยูไห่ที่สามารถทำได้ทุกอย่างทั้งขึ้นเขาลงห้วยแล้ว หากเขาต้องเสียขาไปข้างหนึ่งก็ไม่ต่างจากนกที่ปีกหัก เขาจะต้องทุกข์ทรมานไปตลอดทั้งชีวิต
หมอซุนส่ายหน้าแล้วเอ่ยต่อว่า “แผลใหญ่เกินไป อีกทั้งยังเปิดโดนอากาศอยู่นาน โอกาสติดเชื้อสูงเป็นอย่างมาก ถ้าเขามีไข้สูงเพราะติดเชื้อ ต่อให้เป็นเซียนเต๋าก็ช่วยเขามิได้หรอก ตอนนี้มีสองทางให้เลือก เจ้าต้องตัดสินใจเลือกสักทางให้เขา !”
หยูเสี่ยวเฉาเหลือน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงไม่มากแล้ว แต่นางยังมีน้ำหินศักดิ์สิทธิ์แบบธรรมดาอยู่เต็มเหยือก นางมั่นใจว่าจะสามารถทำให้แผลสะอาดและไม่ติดเชื้อได้ แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจ จึงถามอีกว่า “ถ้าแผลไม่ติดเชื้อ ก็หมายความว่าท่านพ่อจะมิต้องโดนตัดขาใช่หรือไม่เจ้าคะ ?”
“ใช่ แต่ถ้าตัดขาข้างที่บาดเจ็บ เขายังมีโอกาสรอดสามในสิบส่วน แต่ถ้าไม่ตัดก็คงทำได้แค่รอปาฏิหาริย์...หมอจะจ่ายยาให้ก่อน ให้ยาไว้หน่อยก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย !”
20 กว่าปีที่ผ่านมา หมอซุนไม่เคยรู้สึกไร้ความสามารถเท่ากับวันนี้มาก่อน ถ้าฮัวโต๋ยังมีชีวิตอยู่ เขาอาจจะช่วยหยูไห่ได้ แต่เขาก็ยังหวังปาฏิหาริย์เช่นเดียวกันกับตอนที่หยูเสี่ยวเฉาที่หายสนิทจากโรคที่เป็นมาตั้งแต่เป็นทารกในครรภ์
หมอซุนให้ใบสั่งยากับเฒ่าหยู และเตือนพวกเขาอีกครั้งว่า “จะตัดขาหรือไม่ก็ต้องตัดสินใจให้เร็ว ๆ !”
พอขาดคำนางจางก็พุ่งเข้ามาทันที นางดึงแขนเฒ่าหยูและตะโกนว่า “ตาแก่ จะตัดขาต้าไห่มิได้นะ ! โอกาสรอดสามในสิบส่วน ต่ำจะตายไป ต่อให้โชคดีรอดมาได้ ถ้าเสียขาไปข้างหนึ่งแล้วจะมีชีวิตอยู่ไปทำไมกัน ?”
เฒ่าหยูได้ยินเช่นนั้นก็ไม่พอใจทันที เขาตะคอกใส่ภรรยาว่า “หมายความว่าเยี่ยงไรที่เจ้ากล่าวว่าจะมีชีวิตไปทำไม ? คำโบราณว่าไว้ ‘มีชีวิตที่แย่ย่อมดีกว่ามีความตายที่ดี ! ’ ช่วยชีวิตเขาให้ได้คือสิ่งที่สำคัญกว่า แต่เจ้าก็สนใจแค่เรื่องเงิน !”
“หมายความว่ายังไงที่ว่าข้าสนใจแค่เรื่องเงิน...ข้าแค่คิดว่าควรให้หยูไห่ตัดสินใจเองตอนเขาฟื้นขึ้นมา ข้ากลัวว่าเจตนาดีของเราจะทำให้เกิดความเกลียดชังขึ้นมาต่างหาก !” นางจางกลัวจนต้องรีบอธิบาย นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีที่นางจางเห็นเฒ่าหยูโมโหและบันดาลโทสะออกมารุนแรงถึงเพียงนี้
แต่นางจางเป็นคนเดียวที่รู้เจตนาที่แท้จริงของตนเอง เมื่อก่อนรายได้ส่วนใหญ่ของครอบครัวมาจากการขายสัตว์ที่หยูไห่ล่ามาได้ ตอนนี้เขาบาดเจ็บสาหัสและต้องตัดขา แล้วเยี่ยงนี้เขาจะขึ้นเขาหรือไปที่ทะเลได้เยี่ยงไรกัน ? เขาคงทำได้เพียงแค่นอนอยู่บนเตียงอย่างคนไร้ประโยชน์และมีชีวิตอยู่แบบกาฝาก อีกทั้งเขายังมีลูกตั้งหลายคน ภรรยาก็อ่อนแอ ถ้าต้องตัดขาจริง ๆ ก็หมายความว่าครอบครัวหยูไห่จะต้องพึ่งนางให้เลี้ยงพวกเขาน่ะสิ แล้วนางจะเอาเงินจากไหนมาเลี้ยงคนไร้ประโยชน์พวกนี้ ?