Re-new ตอนที่ 57 เภทภัย
ตอนที่ 57 เภทภัย
พวกเขาอดทนด้วยความยากลำบากอย่างมากจนถึงต้นฤดูใบไม้ผลิ เมื่อฤดูใบไม้ผลิเริ่มขึ้น หิมะก็หยุดตก พระอาทิตย์ที่หายไปประมาณ 2 เดือนก็โผล่ออกมาในที่สุด หิมะที่ปกคลุมภูเขาค่อย ๆ ละลายอย่างช้า ๆ แต่ลมทะเลที่พัดเข้ามาเป็นระยะยังคงเย็นยะเยือกราวกับใบมีดแหลมคม บนโขดหินรอบ ๆ ชายฝั่ง มีชาวประมงคนหนึ่งยืนตัวสั่นอยู่ท่ามกลางสายลมอันหนาวเย็น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงหาของทะเลต่อไป
‘คืนฤดูร้อน ฤดูหนาวสีขาว’ เป็นบทกวีที่คนหาของทะเลพูดถึง เนื่องจากอิทธิพลของกระแสน้ำขึ้นน้ำลงและการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ เวลาที่ดีที่สุดในการหาของทะเลจึงอยู่ในช่วงกลางคืนในฤดูร้อนและตอนเช้าในฤดูหนาว อุณหภูมิในช่วงของฤดูหนาวเหมาะที่สุดในการหาหอยนางรม ฤดูนี้หอยนางรมจะอ้วนมากและสามารถเก็บได้เยอะ ไปรวบรวมหอยนางรมแค่ครั้งเดียวก็จะมีหอยนางรมกินไปได้อีกหลายวัน
สำหรับชาวบ้านหมู่บ้านตงชานที่เพิ่งเจอกับภาวะขาดแคลนอาหารในฤดูหนาว นี่จึงเป็นของขวัญแสนล้ำค่าจากทะเลเลยล่ะ ความอุดมสมบูรณ์ของหอยนางรมจากทะเลนั้นไม่แตกต่างไปจากการส่งถ่านในช่วงหิมะตก ผู้คนที่มารวบรวมอาหารทะเลแต่ละคนจะนำตะกร้าหวายหรือตะกร้าไม้ไผ่เล็ก ๆ มาด้วย โดยจะแขวนเอาไว้ที่คอหรือไม่ก็คล้องแขนมา พวกเขาถือพลั่วอันเล็ก ๆ พร้อมกับค้นหาหอยนางรมบนโขดหิน มีกระทั่งชาวบ้านที่ลงไปในน้ำตื้น ๆ พร้อมแหจับปลาทั้ง ๆ ที่น้ำทะเลเย็นเสียจนสามารถทำให้หยุดหายใจได้ เป็นภาพที่คึกคักวุ่นวายไม่น้อย
“เสี่ยวเฉา รองเท้าของเจ้าดูอุ่นไม่น้อย มันสามารถกันน้ำได้หรือไม่ ?” โจวชานหูชวนพี่น้องตระกูลหยูมาเก็บของทะเลตรงที่โคลนชายฝั่ง นางมองรองเท้าหุ้มข้อหนังกวางของหยูเสี่ยวเฉาอย่างอิจฉา ถึงนางจะไม่รู้ว่ารองเท้านี้ทำมาจากวัสดุอะไร แต่นางก็รู้ว่ามันไม่ใช่ของที่ครอบครัวชาวบ้านทั่วไปจะหามาใส่ได้
หยูเสี่ยวเฉาเห็นว่าทุกคนใส่รองเท้าผ้าฝ้ายเก่า ๆ กัน บางคนถึงกับกลัวว่ารองเท้าเพียงคู่เดียวของพวกเขาจะเปียกน้ำทะเลก็เลยใส่เพียงแค่รองเท้าแตะฟางมาเท่านั้น ลมเย็น ๆ จากฤดูใบไม้ผลิรวมกับน้ำทะเลที่เย็นเฉียบทำให้เท้าของพวกเขาแดงและบางคนก็ถูกความเย็นจัดกัดจนเป็นแผล
เสี่ยวเฉารู้สึกอายเล็กน้อยเลยหดเท้ากลับ จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ปีก่อนท่านพ่อของข้าฆ่ากวางได้ตัวหนึ่งและเอาไปขายให้ร้านอาหารในเมือง ตอนนั้นร่างกายของข้าไม่ค่อยดี ท่านพ่อก็เลยเลือกที่จะรับเงินน้อยลงเพื่อที่จะได้หนังกวางมา และขอให้เจ้าของร้านอาหารใช้หนังกวางทำรองเท้าให้ ตอนที่ข้าจะออกมาเก็บของทะเลวันนี้ ท่านพ่อก็ยืนกรานให้ข้าใส่เอาไว้...”
โจวหลิงหลงแอบกระตุกเสื้อน้องสาว นางยิ้มให้เสี่ยวเฉาแล้วเอ่ยว่า “ปีก่อนเจ้าป่วยหนักจนท่านป้าหลิวกลัวแทบตาย เพราะงั้นใส่เสื้อผ้าอุ่น ๆ ไว้น่ะดีแล้ว เยี่ยงนั้นคนในครอบครัวเจ้าคงเป็นห่วงเจ้าจนไม่สบายใจเป็นแน่ ชานหูอย่าจ้องเท้าคนอื่นแบบนั้นสิ พอท่านพ่อกลับบ้าน พวกเราค่อยขอให้ท่านพ่อซื้อรองเท้าหุ้มข้อให้เจ้าก็ได้”
โจวหลิงหลงกับน้องสาวเป็นลูกสาวของป้าฟางเพื่อนสนิทนางหลิว โจวต้าเหนียนสามีของป้าฟางเริ่มเป็นพ่อค้าหาบเร่และครอบครัวของพวกเขาเลี้ยงไก่หลายสิบตัว ดังนั้นสถานะทางการเงินของครอบครัวนี้จึงนับได้ว่าค่อนข้างโดดเด่น
โจวชานหูอายุมากกว่าเสี่ยวเฉาแค่ปีเดียวเท่านั้น แต่นางเป็นเด็กที่มีเหตุผลเป็นอย่างมาก “ข้าก็แค่มองรองเท้าเองนะท่านพี่ รองเท้าหุ้มข้อเยี่ยงนี้มันแพงมาก ๆ เลยมิใช่รึ เราใช้รองเท้าผ้าฝ้ายที่บ้านก็อุ่นแล้ว เพราะรองเท้าหุ้มข้อคู่หนึ่งซื้ออาหารได้ตั้งเยอะ !”
“พวกเขากำลังจับปลาตรงนั้นกัน ไปดูกันเร็วเข้า !” หยูเสี่ยวเฉาไม่อยากพูดเรื่องรองเท้าหุ้มข้ออีก นางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
เมื่อเดินเข้าไปใกล้เสี่ยวเฉาก็จำได้ว่าเป็นหยูเจียงท่านอาสามของนางและท่านอาชวนจู้ชาวประมงผู้เชี่ยวชาญของหมู่บ้านตงชานกำลังจับปลาอยู่ พวกเขาลงไปในน้ำเย็นที่เย็นเข้าไปจนถึงกระดูกขณะที่ลากอวนเพื่อจับปลา ส่วนคนอื่น ๆ รับผิดชอบดึงอวนส่วนที่อยู่บนชายหาด ขณะที่หยูเจียงกับชวนจู้ผลัดกันจับปลายอวนอีกด้านพร้อมกับเดินลงน้ำอย่างช้า ๆ หลังจากลงไปจนน้ำถึงหน้าอก พวกเขาก็เดินเป็นครึ่งวงกลมแล้วกลับไปที่ชายฝั่ง คนที่เหลือจะเข้ามารับอวนแล้วช่วยกันลากอวนเข้าชายฝั่ง
ในอวนมีปลาที่ถูกจับมาไม่มากนัก มีปลาอยู่ไม่กี่ตัวที่ราคาประมาณ 1 ตำลึง นอกนั้นก็เป็นปลาขนาดเท่าฝ่ามือที่ติดอวนมาเท่านั้น พอชายทั้งสองขึ้นถึงชายหาด ภรรยาของพวกเขาก็เอาน้ำขิงร้อน ๆ มาให้ พวกเขาเอาผ้าห่มหนา ๆ ห่อตนเองเอาไว้และดื่มน้ำขิงเข้าไปสองสามอึกก่อนจะลงไปในทะเลเพื่อลากอวนอีกครั้ง
“ข้ารู้จักที่ลับที่นึง ไปดูที่นั่นกันเถอะ แต่ตอนไปต้องระวัง ๆ หน่อยนะ !” นี่เป็นกระแสน้ำของฤดูใบไม้ผลิครั้งแรก วันนี้จึงมีคนมากมายมาหาของทะเล บางคนเดินทางมาจากในเมืองพร้อมด้วยเครื่องมือเผื่อว่าจะมีโชค มีคนมาหาของทะเลอยู่บนโขดหินมากกว่าจำนวนอาหารทะเลที่มีเสียอีก พวกเด็ก ๆ หาของทะเลกันมาครึ่งวันแล้วแต่ก็ได้มาไม่มากนัก
หยูเสี่ยวเหลียนรู้จักสถานที่ที่น้องสาวพูดถึง ปีที่แล้วตอนที่พวกเขาไปหาของทะเลที่นั่น พวกเขาได้ช่วยชีวิตคนเอาไว้ด้วย เด็ก ๆ พูดคุยและหัวเราะขณะเดินไปทางหน้าผา แน่นอนว่าที่นั่นมีอาหารทะเลอยู่ไม่น้อย
“เปลือกหอยนางรมคมเป็นอย่างมาก บางครั้งแค่โดนนิดเดียวก็เป็นรอยข่วนแล้ว เวลาเก็บหอยนางรมต้องระวังด้วยนะ เสี่ยวเฉา เจ้ากับฉีโตวไม่มีแรงมากเท่าใดนัก เหตุใดไม่ไปเก็บของทะเลอย่างอื่นเล่า ?” โจวหลิงหลงเป็นเด็กสาวแล้ว นางจึงรู้วิธีดูแลพวกเด็ก ๆ
พวกเขาก้มหน้าง้างเปลือกหอย ไม่นานก็เก็บได้จนเต็มตะกร้า โจวชานหูพูดอย่างดีใจว่า “วันนี้เราเก็บได้ตั้งเยอะ ถ้าเก็บได้แบบนี้ทุกวันเราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องชักหน้าไม่ถึงหลังหรือความอดอยากในช่วงฤดูใบไม้ผลิอีกต่อไปแล้ว”
“ท่านพ่อของข้าบอกว่าโขดหินตรงนี้จะโผล่ออกมาตอนช่วงน้ำลดมาก ๆ เท่านั้น ทุกเดือนน้ำจะลดต่ำแค่ 2 ครั้งเท่านั้น เพราะงั้นพวกเราจะมาทุกวันได้เยี่ยงไร ? แล้วการกินอาหารทะเลทุกวันไม่กลัวอ้วกรึเยี่ยงไรกัน ?” หยูเสี่ยวเหลียนก็มีความสุขมากเหมือนกัน เมื่อนางคิดว่าน้องสาวของนางจะทำอาหารอร่อย ๆ แบบไหนออกมาอีก
หลังเจอกับความขาดแคลนอาหารและผักในช่วงฤดูหนาว หยูเสี่ยวเฉาได้ใช้วิธีทำอาหารที่หลากหลายและแตกต่างกันไป ทั้งประหยัดอาหารและยังอร่อยอีกด้วย ทุกคนในบ้านชมฝีมือทำอาหารของนางกันอย่างไม่ขาดปาก นางสามารถเปลี่ยนหัวไชเท้าและผักกาดขาวธรรมดา ๆ ให้เป็นอาหารได้หลากหลาย ดังนั้นนางต้องใช้หอยนางรมทำอาหารรสชาติยอดเยี่ยมออกมาได้เป็นแน่ เสี่ยวเหลียนคาดหวังในฝีมือการทำอาหารของเสี่ยวเฉาอย่างเต็มที่
หยูเสี่ยวเฉาคิดถึงเรื่องธุรกิจของนางกับคุณชายสามโจวว่าจะเป็นเยี่ยงไรบ้างหลังเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ นางหันไปหาพี่หลิงหลงแล้วเอ่ยว่า “ข้าได้ยินว่าตระกูลโจวจากในเมืองจะสร้างโรงงานที่ท่าเรือ พวกเขาจะรับซื้อหอยนางรมจำนวนมาก วันหน้าถ้าท่านพี่ว่างก็ไปเก็บหอยนางรมเอาไปขายพวกเขาก็ได้นะ จะได้หาเงินมาซื้อเข็มกับด้ายได้ไงเจ้าคะ”
เมื่อโจวหลิงหลงได้ยินดังนั้นก็ตาเป็นประกายทันที นางจึงถามต่อว่า “ข่าวนี้เชื่อถือได้มากเท่าใดกัน ? ปกติคนที่รับซื้ออาหารทะเลจะไม่อยากรับหอยนางรมกันเลยมิใช่รึ อีกทั้งพวกเขายังกดราคาหอยนางรมอีกด้วย เพราะเยี่ยงนั้นพวกชาวบ้านจึงไม่ชอบเก็บหอยนางรมกัน ข้าหวังว่าโรงงานของตระกูลโจวจะมิกดราคาหอยนางรม”
เสี่ยวเฉากับฉีโตวเก็บอาหารทะเลอย่างอื่นจนเต็มตะกร้าแล้วเหมือนกัน เสี่ยวเฉาพอใจกับของที่ได้มาในวันนี้เป็นอย่างมาก นอกจากพวกสัตว์ทะเลเล็ก ๆ อย่างเพรียงคอห่าน, หอยแมลงภู่ และหอยทาก นางก็ยังได้หอยเม่นมาถึง 12 ตัวอีกด้วย นางเตรียมจะทำสตูว์หอยเม่นแล้ว มันทั้งอร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก และที่น่าประหลาดใจคือวันนี้นางเก็บปลิงทะเลมาได้หนึ่งตัวด้วย ‘สี่สมบัติทะเล’ คืออาหารประเภทหนึ่งที่ต้องใช้หอยเป๋าฮื้อ, ปลิงทะเล, หูฉลาม และกระเพาะปลา ปลิงทะเลเป็นของดีจริง ๆ
สามพี่น้องเดินไปกับพี่น้องโจวบนหาดทรายนุ่ม ๆ พวกเขาพูดคุยและหัวเราะกันขณะที่เดินไปทางหมู่บ้านตงชาน
พวกเขายังไม่ทันเข้าไปในหมู่บ้านก็เห็นท่านอาหญิงชวนจู้วิ่งตรงมาที่ชายทะเล เมื่อนางเห็นเสี่ยวเฉากับพี่น้อง นางก็เร่งความเร็วตรงเข้ามาหาพวกเขาแล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวเหลียน ! เสี่ยวเฉา ! เกิดเรื่องกับพ่อของพวกเจ้าแล้ว รีบกลับบ้านเร็วเข้าเถิด !”
“ท่านพ่อ ? ท่านพ่อเป็นอะไรรึเจ้าคะ ?” มือที่จับตะกร้าของหยูเสี่ยวเฉากำแน่นขึ้น ในใจสับสนวุ่นวายไปหมด ครอบครัวของพวกเขาดิ้นรนผ่านฤดูหนาวมาได้ ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา หิมะในป่าบนภูเขาก็เริ่มละลายแล้ว นางจางจึงเร่งให้หยูไห่ออกไปล่าสัตว์บนภูเขา เช้าตรู่ของวันนี้หยูไห่ได้ชวนพรานจ้าวไปล่าสัตว์ด้วยกัน ทุกคนต่างก็บอกว่าตอนต้นฤดูใบไม้ผลิไม่เหมาะกับการล่าสัตว์ เพราะพวกสัตว์ป่ากำลังเข้าสู่ช่วงผสมพันธุ์ พวกมันจึงดุร้ายเป็นพิเศษ เป็นไปได้หรือไม่ว่า...
“พ่อของเจ้าถูกหมีกัด เลือดเต็มตัวไปหมด ขาข้างหนึ่งถูกกัดจนเกือบจะขาด...เจ้ารีบกลับบ้านไปดูพ่อของเจ้าเร็วเข้า !” ภรรยาของชวนจู้คิดถึงสภาพของหยูไห่แล้วก็ตัวสั่นขึ้นมา
พอได้ยินเช่นนั้นฉีโตวก็ร้องไห้ออกมาทันที เขาโยนตะกร้าทิ้งและวิ่งกลับบ้าน หยูเสี่ยวเฉากับพี่สาวพยายามระงับความตื่นตระหนกแล้วทิ้งตะกร้าที่มีอาหารทะเลอยู่เต็มทั้งตะกร้าและรีบวิ่งกลับบ้านไปทันที
พี่น้องโจวหยิบตะกร้าของพี่น้องหยูขึ้นมาแบกและรีบเดินไปทางบ้านตระกูลหยู
ภรรยาของชวนจู้วิ่งตามพี่น้องหยูไป นางพยายามปลอบใจเด็ก ๆ ว่า “มิต้องห่วง อาสามของพวกเจ้ากับอาชวนจู้ไปยืมเกวียนจากหมู่บ้านข้าง ๆ แล้ว พวกเขากำลังเข้าเมืองไปรับหมอ บางทีอาการบาดเจ็บของพ่อพวกเจ้าอาจจะไม่ได้หนักอย่างที่เห็นก็ได้”
หยูเสี่ยวเฉาพยายามระงับความกลัวและความเสียใจ ฝีเท้าของนางยิ่งเร็วขึ้นทุกที ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ความรักที่หยูไห่มอบให้นางยังคงชัดเจนอยู่ในใจของนางเสมอ แม้ว่าวันเวลาที่พวกเขาอยู่ด้วยกันจะยากลำบาก แต่ความรักของพ่อแม่ได้เป็นกำลังใจให้นางอยู่ในโลกที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ได้ต่อไป
ถึงแม้หยูไห่จะกตัญญูมากเกินไปหน่อยและยังพูดไม่เก่ง แต่เขาก็กลายเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในใจของเสี่ยวเฉาไปแล้วโดยที่นางเองก็ไม่รู้ตัว เขาเป็นเสาหลักของบ้านสอง นางคิดไม่ออกเลยว่าบ้านสองจะเป็นเยี่ยงไรในตระกูลหยูหากว่าพ่อของนางจากไป
ท่านพ่อต้องไม่เป็นอะไร ! รอข้าก่อน ข้ากำลังจะไปช่วยท่านพ่อแล้ว ! หยูเสี่ยวเฉากำหินศักดิ์สิทธิ์เอาไว้แน่น สิ่งนี้คือของอย่างเดียวที่จะช่วยชีวิตพ่อของนางได้ ในเมื่อมันสามารถใช้พลังที่เหลืออยู่ของมันนำวิญญาณของนางจากอีกโลกหนึ่งมายังโลกนี้และทำให้นางเกิดใหม่ได้ มันก็ต้องมีวิธีช่วยชีวิตพ่อของนางได้เช่นกัน
[ เจ้านายมิต้องห่วง ! ถ้าท่านพ่อของเจ้านายยังเหลือลมหายใจอยู่ หินศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ก็สามารถดึงเขากลับจากประตูนรกได้ ! ] หินศักดิ์สิทธิ์สัมผัสได้ว่าสภาพจิตใจของนางไม่มั่นคง มันจึงเลิกทำท่าเย่อหยิ่งจองหองอย่างที่เคยทำตามปกติ มันให้สัญญากับเสี่ยวเฉาว่าจะช่วยชีวิตพ่อของนางด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
เนื่องจากหิมะตกหนัก ภูเขาจึงถูกปิด ตลอดช่วงฤดูหนาวหินศักดิ์สิทธิ์ไม่มีโอกาสไปแช่น้ำบนภูเขาเลย แต่มันรู้สึกได้ว่าหิมะเองก็มีพลังวิญญาณอยู่เหมือนกัน เป็นพลังวิญญาณที่ไม่ด้อยไปกว่าน้ำบนภูเขาเลย ทุกวันหินศักดิ์สิทธิ์จะให้เสี่ยวเฉาเก็บหิมะจากใบไผ่เอามาละลายให้มันอาบ หลังจากหล่อเลี้ยงวิญญาณของมันมาครึ่งปี มันก็มีพลังมากพอที่จะช่วยชีวิตคนที่กำลังจะตายได้
คำสัญญาของหินศักดิ์สิทธิ์ทำให้เสี่ยวเฉาสงบใจลงได้ นางภาวนาอ้อนวอนต่อเทพเพื่อขอพรให้พ่อยังมีชีวิตอยู่จนกว่านางจะกลับไปถึงบ้าน !
ทางกลับบ้านดูไกลและช้าเป็นอย่างมาก ผลจากการวิ่งด้วยความเร็วเป็นเวลาทำให้เสี่ยวเฉารู้สึกเหมือนหน้าอกจะระเบิด นางอ้าปากหอบ แต่ในสายตาของคนอื่นมันดูเหมือนนางหายใจไม่ออก
หยูเสี่ยวเหลียนสะอื้น “น้องสาม วิ่งช้าลงหน่อย เกิดเรื่องกับท่านพ่อแล้ว ข้ามิอยากให้เจ้าเป็นอะไรไปอีกคน ข้าจะไปดูท่านพ่อที่บ้านก่อน เจ้าค่อย ๆ เดินเถิด...”
“ไม่...แฮ่ก แฮ่ก...ไม่ต้อง ! ข้า...ปกติข้าไม่ได้ออกกำลัง...แฮ่ก ๆ ๆ ก็เลยเป็นเยี่ยงนี้ ! ไม่ต้องห่วง...ข้ารู้ตัวเองดี...แฮ่ก ๆ ...” หยูเสี่ยวเฉาอ้าปากหอบ นางรู้สึกขาหนักเหมือนตะกั่ว แต่นางก็ไม่คิดจะหยุดพัก
ในที่สุดนางก็มาถึงหน้าประตูบ้านของตนเองด้วยความยากลำบาก นางใช้พละกำลังที่เหลืออยู่ผลักประตูให้เปิดออก ลานบ้านเต็มไปด้วยพวกชาวบ้านที่มาช่วย เมื่อพวกเขาเห็นหยูเสี่ยวเฉากับพี่น้องของนาง พวกชาวบ้านต่างก็พากันหลีกทางให้พวกเขาเข้าไปข้างใน
“ท่านพ่อ !” หยูเสี่ยวเฉาวิ่งเข้าไปในห้องตะวันตก นางผลักร่างอวบอ้วนของป้าใหญ่ให้พ้นทางแล้วพุ่งไปอยู่ที่ข้างเตียง
หยูไห่หน้าซีดเซียวปราศจากสีเลือด เสื้อชั้นนอกของเขาเปื้อนเลือดที่แข็งตัวเป็นหย่อม ๆ มีผ้าพันแผลพันอยู่ที่ขากางเกงด้านขวาของเขาซึ่งเผยให้เห็นขาขวาที่ถูกกัดเสียจนเละเทะ