ตอนที่แล้วRe-new ตอนที่ 55 ปีใหม่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปRe-new ตอนที่ 57 เภทภัย

Re-new ตอนที่ 56 ปีหายนะ


ตอนที่ 56 ปีหายนะ

“ข้ารับคำชมไว้มิได้หรอกเจ้าค่ะ เฉาเอ้อร์เป็นคนคิดค้นอาหารพวกนี้ขึ้นมา” นางหลิวมองลูกสาวด้วยความภูมิใจและตักวุ้นเส้นให้ ลูกสาวของนางฉลาดมากที่ใช้แป้งมันทำวุ้นเส้นอร่อย ๆ เยี่ยงนี้ขึ้นมาได้ นางสมควรได้กินเป็นรางวัล !

พวกเขาทำอาหารแต่ละจานในปริมาณที่เหมาะสม นางจางกำลังเพลิดเพลินกับอาหารอร่อย ๆ จึงมิได้เอ่ยอะไรตอนที่นางหลิวตักอาหารเพิ่มให้ลูก ๆ นางเคยคิดว่าพวกเขาจะต้องฉลองวันปีใหม่กันแบบประหยัด แต่ไม่คิดเลยว่าวัตถุดิบง่าย ๆ ธรรมดา ๆ พวกนี้จะสามารถทำอาหารฉลองปีใหม่ได้มากมายเช่นนี้

นางหลี่ยัดอาหารเข้าปากแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เสี่ยวเฉาคิดขึ้นมารึ ? ก็นางเป็นคนเดียวในบ้านที่มีเวลาว่างคิดเรื่องเหล่านี้ !”

หยูเสี่ยวเฉาจ้องไปยังนางหลี่ ‘นังอ้วนนี่ไม่เคยพูดอะไรดี ๆ ออกมาเลย นางหลี่จงใจทำให้ดูเหมือนว่าเสี่ยวเฉาเป็นคนตะกละที่คิดแต่เรื่องกินอย่างเดียว’

“หยุดพูดมากถ้าไม่มีอะไรดี ๆ จะพูด ขนาดตอนกินยังไม่หุบปากอีก !” หยูต้าชานสังเกตเห็นความไม่พอใจของน้องรองและรีบตำหนิภรรยาของเขาทันที

นางจ้าวที่ไม่ค่อยได้กินข้าวร่วมกับครอบครัวหยูก็มีจานเล็ก ๆ วางอยู่ตรงหน้านางหลายจาน อาหารในจานพวกนั้นก็เหมือน ๆ กับของคนอื่น นางจางรู้ว่าลูกสะใภ้เล็กของนางเป็นคนที่พิถีพิถันเรื่องการกินเป็นอย่างมาก และไม่ชอบกินอาหารจากจานเดียวกับทุกคน ดังนั้นจึงมีอาหารจัดแยกต่างหากเตรียมไว้ให้นางจ้าวกับลูกชายของนางโดยเฉพาะ

โต้วโต่วน้อยดูดวุ้นเส้นเข้าปากด้วยความพยายามอย่างมาก แล้วเคี้ยวมันด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า เขายิ้มกว้างให้เสี่ยวเฉาและเอ่ยว่า “ท่านพี่สามทำอาหารได้รสชาติยอดเยี่ยมยิ่ง !  โต้วโต่วชอบเส้นยาว ๆ อันนี้  อร่อยมาก ๆ เลย !”

“มันเรียกว่าวุ้นเส้น ถ้าโต้วโต่วชอบ พี่สามจะทำให้อีกวันหลัง ให้เอากลับไปกินที่บ้าน !” หยูเสี่ยวเฉาไม่เคยต้านทานเด็กน้อยน่ารักได้ แม้ว่าการทำวุ้นเส้นจะค่อนข้างลำบาก แต่ก็ดีเหมือนกันที่ได้ปรับปรุงอาหารของพวกเขาให้น่ากินขึ้นด้วยอาหารชนิดใหม่

“ใช่ ๆ ! ปีนี้ผลผลิตมันเทศสูงมาก เรามีแป้งมันมากพอจนถึงช่วงเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง  ถ้าเราทำวุ้นเส้นมากกว่านี้ เราก็จะมีอาหารอีกชนิดให้กินในช่วงหน้าหนาว ต้มถั่วงอกกับวุ้นเส้นนี่อร่อยเป็นอย่างมาก !” นางหลี่ดูดน้ำมันบนตะเกียบแล้วใช้ตะเกียบคุ้ยอาหารในจาน เมื่อเจอเนื้อหมูติดมันนางก็ยัดใส่ปากทันที

ไห่สือที่นั่งอยู่ข้าง ๆ นางถึงกับลุกขึ้นยืน เขาใช้แขนเสื้อมอม ๆ ของเขาเช็ดขี้มูกแล้วเอาตะเกียบคุ้ยอาหารไปทั่วจาน  และดูเหมือนว่าจะไม่หยุดจนกว่าจะเจอเนื้อหมู

เมื่อเห็นความสกปรกของสองแม่ลูก ต่อให้อาหารจะอร่อยถึงเพียงไหน หยูเสี่ยวเฉาก็กินต่อไม่ลงแล้ว นางก้มหน้าจดจ่อกับการกินผัดถั่วงอกตรงหน้า เพราะถ้ามองพวกเขานานกว่านี้ นางคงได้อาเจียนออกมาจริง ๆ

ผัดถั่วงอกทำจากถั่วงอกที่เพิ่งโตได้ประมาณ 3 วันหลังจากใส่น้ำมันหมูลงไปในกระทะจนร้อนแล้ว ก็ใส่พริกแห้งลงไปแล้วผัด แล้วก็ตามด้วยถั่วงอก, เครื่องปรุงรส และกระเทียมใส่ลงไปผัด ด้วยรสชาติที่สดชื่นของถั่วงอกและเสริมด้วยน้ำมันหมูเป็นส่วนผสมหลักจึงเป็นธรรมดาที่จะออกมารสชาติอร่อย

ไม่คิดว่านางจางจะเป็นคนแรกที่ตำหนิเรื่องมารยาทการกินของนางหลี่กับลูกชาย “พวกเจ้าเอาแต่คุ้ยเลือกในจานแบบนี้ คนอื่น ๆ จะกินกันต่อได้เยี่ยงไร ? ถ้ายังไม่เลิกคุ้ยเยี่ยงนี้ก็กลับไปกินที่ห้องของตนเอง !  หยุดทำตัวน่ารังเกียจได้แล้ว !”

ขณะที่พูดนางก็ชำเลืองมองไปทางสะใภ้สาม กลายเป็นว่านางจางที่คอยสนใจลูกสะใภ้เล็กกับหลานชายนั้นสังเกตเห็นเป็นระยะว่านางจ้าวจะมองไปที่สะใภ้ใหญ่อย่างรังเกียจ นางจ้าวที่กำลังเพลิดเพลินกับอาหารอยู่ ๆ ก็วางตะเกียบลง หญิงชราจึงพูดขึ้นเพื่อหยุดพฤติกรรมที่ไม่น่ามองของนางหลี่กับลูกชาย

เมื่อเห็นว่าเนื้อในจานหายไปเกือบหมดแล้ว นางหลี่จึงยอมหยุดคุ้ยอาหาร แต่นางก็ยังเขมือบอาหารที่เหลือต่ออย่างตะกละตะกลามราวกับมีคนกำลังแย่งนางอยู่

หลังเหตุการณ์นี้ไม่นานอาหารกลางวันส่งท้ายปีเก่าก็สิ้นสุดลง มื้อนี้นางจางไม่ได้จำกัดว่าทุกคนกินได้เท่าใด ดังนั้นแม้ว่าอาหารหลักยังคงเป็นแผ่นแป้งธัญพืชหยาบ แต่ทั้งครอบครัวก็ยังคงกินกันได้อย่างอิ่มท้อง เหตุผลหลักก็คือมันเป็นอาหารที่หรูหรากว่าปีก่อน ๆ

หลังมื้ออาหาร นางจางถึงได้รู้สึกปวดใจขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นอาหารที่หมดไปอย่างรวดเร็วและบ่นพึมพำไม่หยุด แต่ในที่สุดนางก็ต้องหยุดบ่นเมื่อโดนเฒ่าหยูด่าว่า ‘ปีใหม่ก็ยังจู้จี้ขี้บ่น’

ปกติแล้วมักจะกินเกี๊ยวกันในตอนเย็นช่วงงานฉลองปีใหม่ ครอบครัวหยูไม่ได้ซื้อเนื้อมามากพอตั้งแต่แรก ดังนั้นถึงจะผสมกับกะหล่ำปลีจำนวนมากแล้ว มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนอิ่มท้องได้

เกี๊ยวของตระกูลหยูมีไส้อยู่ 2 แบบเท่านั้น นั่นคือเนื้อหมูผสมกะหล่ำปลีกับกากหมูผสมกะหล่ำปลี ในตอนเย็นของวันส่งท้ายปีพวกผู้ชายได้เกี๊ยวกันคนละ 20 ชิ้น ขณะที่พวกผู้หญิงได้คนละ 10 ชิ้น  ส่วนเด็ก ๆ ได้ครึ่งหนึ่งของพวกผู้หญิง

เกี๊ยวอันเล็ก ๆ แค่ 5 ชิ้น ไม่ต้องพูดถึงหยูเสี่ยวเฉากับคนอื่น ๆ เลย แม้แต่เด็ก 3 ขวบอย่างโต้วโต่วก็ยังไม่อิ่ม หยูไห่สือกินส่วนของตัวเองเสร็จก็ยังไม่พอใจ เขาจึงขโมยเกี๊ยวของฉีโตวทันทีตอนเผลอและยัดมันใส่ปากตัวเอง ไม่สนใจเสียงร้องไห้ด้วยความโกรธของฉีโตวและวิ่งเข้าหาหยูเสี่ยวเฉากับหยูเสี่ยวเหลียน

หยูเสี่ยวเฉาดึงพี่น้องของนางไปที่โต๊ะของพ่อทันทีและยืนอยู่ข้าง ๆ เขา เมื่อมีเฒ่าหยูกับพวกพ่อ ๆ อยู่ด้วย หยูไห่สือย่อมไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม เขาทำได้แค่ไปขอเกี๊ยวเพิ่มจากแม่ตนเอง

นางหลี่เป็นคนตะกละตะกลามขนาดที่ไม่ยอมแบ่งเกี๊ยวให้ลูกของตนเอง ดังนั้นนางจึงเอ่ยปากขอแม่สามีแบบหน้าด้าน ๆ “ท่านแม่ ไห่สือเป็นเด็กกำลังโต เขากินเยอะเท่าผู้ใหญ่แล้ว เกี๊ยว 5 ชิ้นมิพอหรอก ข้าไม่กล้าขอให้เขาได้เท่ากับพวกผู้ชาย แค่ให้เขาเพิ่มอีก 5 ชิ้นเท่ากับพวกเราก็ได้เจ้าค่ะ !”

นางจางเงยหน้าขึ้นมองนางหลิวแล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ถ้ารับรองได้ว่าจะไม่มีใครบ่นว่าข้าลำเอียง ข้าก็ไม่ว่าหรอก ให้เขาเพิ่มอีก 5 ชิ้นก็ได้ในเมื่อมันเป็นวันปีใหม่”

นางหลิวไม่ชอบโต้เถียงกับใคร นางจึงพูดเสียงเบาว่า “ไห่สือกำลังโต ใครจะกล้าว่าอะไรถ้าเขาจะได้เพิ่มอีก 5 ชิ้น แต่เขาก็ไม่ควรขโมยเกี๊ยวของน้องกิน”

“เด็กจะรู้อะไร ? น้องสะใภ้ไม่ควรเถียงกับเด็ก ท่านแม่ ข้าจะไปเอาเกี๊ยวให้ไห่สือ !”  นางหลี่ไม่เพียงไม่ลงโทษลูกของนางเท่านั้น แต่นางยังหงุดหงิดที่นางหลิวทำตัวมีปัญหาอีกด้วย จริงอย่างที่เขาว่า ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น !

นางหลิวเดินเข้าครัวไปเงียบ ๆ และแบ่งเกี๊ยว 10 ชิ้นของนางให้ลูก ๆ นางใส่เกี๊ยว 4 ชิ้นลงในถ้วยของลูกชายคนเล็ก จากนั้นก็แบ่งเกี๊ยวอีก 6 ชิ้นที่เหลือให้ลูกสาวทั้งสองคน

หยูเสี่ยวเฉาถือถ้วยของตนเองเอาไว้แน่นและเอ่ยว่า “ท่านแม่ ข้าเป็นคนกินน้อย เกี๊ยว 5 ชิ้นก็พอแล้ว ถ้าท่านแม่เอาเกี๊ยวให้เราหมด คืนนี้ท่านแม่จะหิวนะ ถึงท่านแม่จะเอาเกี๊ยวให้ข้า ข้าก็กินไม่หมดหรอก”

เสี่ยวเหลียนพูดแทรกขึ้นว่า “ท่านแม่ ทั้งปีท่านแม่แทบไม่ได้กินเกี๊ยวเลยนะ อีกทั้งยังทำงานยุ่งตลอดทั้งบ่ายเลยด้วย ถ้าท่านแม่ไม่ได้กินเกี๊ยวที่ท่านแม่ทำเองเลยสักคำ ท่านแม่คิดว่าลูกของท่านแม่จะกินกันลงรึไง ?”

“ท่านแม่ เอาเกี๊ยวคืนไปเถอะ ข้าไม่อยากได้หรอก !” ฉีโตวรีบเอาเกี๊ยวที่อยู่ในถ้วยของเขาคืนให้แม่

“พวกลูกกินกันไปเถอะ แม่กินอาหารกลางวันเยอะแล้ว ไม่หิวหรอก” นางหลิวหยิบเกี๊ยวใส่ถ้วยของลูก ๆ

ขณะที่ทั้งสี่คนกำลังเกี่ยงกันไปมา หยูไห่ก็ถือถ้วยเกี๊ยวของเขาออกมา เมื่อเขาเห็นภาพนั้นเขาก็รู้สึกทั้งเศร้าใจและซาบซึ้งใจ สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจแจกจ่ายเกี๊ยวทั้งหมดที่บ้านสองได้มาอย่างยุติธรรม เด็ก ๆ จะได้เกี๊ยวคนละ 8 ชิ้น ส่วนเขากับภรรยาจะได้คนละ 10 ชิ้น

“เกี๊ยว 10 ชิ้นไม่พอสำหรับผู้ชายตัวโต ๆ อย่างท่านพี่หรอก ข้าเคยกินข้าวเย็นน้อย ๆ จนชินแล้ว ถ้ากินเกี๊ยวเยอะเกินไปจะรู้สึกไม่สบายมากกว่า เอ้านี่ ! เอาไปอีก ข้ากินน้ำซุปเกี๊ยวแทนได้...” นางหลิวรู้สึกปวดใจและฝืนกินเกี๊ยวที่ได้มาเข้าไป

“เกี๊ยวแค่ 10 ชิ้นไม่มีทางที่เจ้าจะอิ่ม กินเร็วเข้า เดี๋ยวก็เย็นชืดหมดหรอก !” หยูไห่เดินเข้าไปในครัวพร้อมถ้วยหนึ่งใบ และขอนางจางตักน้ำซุปมาเต็มถ้วยแล้วซดเข้าไปทันทีก่อนจะกินเกี๊ยวตามเข้าไป แบบนี้ก็นับว่าอิ่มได้เหมือนกัน

ในวันแรกของปีใหม่ เนื่องจากชาวบ้านทุกคนรู้นิสัยขี้เหนียวของนางจางดี จึงไม่มีเด็กมาไหว้วันปีใหม่มากนัก นอกจากลุงใหญ่,พรานจ้าว และครอบครัวเพื่อนสนิทแล้ว คนบ้านสองของตระกูลหยูก็รู้สึกละอายใจเกินกว่าจะพาลูก ๆ ของพวกเขาไปไหว้ปีใหม่กับคนอื่น ๆ

หยูเสี่ยวเฉากับพี่น้องของนางไม่ได้รับอั่งเปาจากปู่ย่าของตนเอง แต่ท่านปู่ใหญ่ให้พวกเขา 2 อีแปะ เมื่อพวกเขามาถึงบ้านตระกูลจ้าว นางเจิ้งก็เอาเงิน 1 เฉียนใส่ถุงผ้าปักลวดลายที่นางทำขึ้นเอง (1 เฉียน = 100 อีแปะ เฉียนคือเหรียญที่ทำจากโลหะเงิน มีรูตรงกลางเหมือนเหรียญอีแปะที่ทำจากสำริด) และเอาถุงผ้าให้เด็ก ๆ คนละถุง

หยูเสี่ยวเหลียนมองลายปักบนถุงผ้าและชอบมันมาก เมื่อนางเจิ้งเห็นสีหน้าชื่นชมของเด็กหญิงก็รับปากว่าจะสอนนางปักผ้า

ระหว่างทางกลับบ้าน นางหลิวก็ได้กระซิบกับสามีของนางว่า “บรรยากาศรอบตัวนางเจิ้งนี่เห็นได้ชัดเลยนะเจ้าคะว่ามิได้มาจากครอบครัวชาวบ้านธรรมดา ๆ ดูถุงผ้าปักนี่สิ  ขนาดครอบครัวชาวบ้านธรรมดาในเมืองก็ยังไม่ให้อั่งเปาเด็ก ๆ เป็นถุงผ้าปักลายเช่นนี้เลย อย่าว่าแต่ชาวบ้านในหมู่บ้านนี้เลยเจ้าค่ะ”

“มิใช่แค่นางเจิ้งหรอก แม้แต่ท่านลุงจ้าวกับท่านพี่ปู้ฝานก็ด้วย ฝีมือด้านการต่อสู้ของพวกเขามิเหมือนตระกูลพรานทั่ว ๆ ไป คงมีเหตุผลบางอย่างที่ครอบครัวของท่านลุงจ้าวมาอาศัยอย่างสันโดษอยู่ในภูเขาเช่นนี้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราควรถามหรอกมิใช่รึ เราควรทำตัวปกติเช่นเดิมเมื่ออยู่กับพวกเขา”

หยูไห่รู้สึกมานานแล้วว่าตระกูลจ้าวนั้น ไม่ว่าจะนิสัยการกิน, สภาพความเป็นอยู่หรือพฤติกรรมของพวกเขา จะเผยให้เห็นถึงมารยาทของตระกูลชนชั้นสูงโดยไม่รู้ตัวเสมอ  คนของตระกูลจ้าวทุกคนจะให้ความรู้สึกถึงความสง่างามและระเบียบวินัยอย่างทหาร  ในช่วงปลายราชวงศ์ก่อน ราชสำนักทั้งใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและทำผิดศีลธรรม พวกขุนนางที่ซื่อตรงจำนวนมากจึงตัดสินใจออกมาอยู่อย่างสันโดษ ตระกูลจ้าวอาจจะเป็นหนึ่งในตระกูลพวกนั้นก็เป็นได้

เมื่อวันเวลาผ่านไป ฤดูหนาวปีนี้ก็ทำให้เห็นว่ามันคือหายนะอย่างแท้จริง ในเดือนแรกนั้นหิมะแทบไม่หยุดตกเลย หลายครอบครัวมีอาหารไม่พอและทำได้แค่กินอาหารวันละมื้อเท่านั้น พวกเขาโชคดีมากแล้วถ้าสามารถรอดตายจากความอดอยากได้

แต่ก็ยังมีคนที่อดตายและหนาวตายเพราะหิมะตกอย่างต่อเนื่องอยู่บ้าง อีกทั้งมีเหตุการณ์ที่ตายหมดทั้งครอบครัวโดยไม่มีผู้รอดชีวิตอยู่เลย แม้แต่ในเมืองก็มีเหตุการณ์ที่ผู้คนเสียชีวิตด้วยความอดอยาก...

โชคดีที่ในหมู่บ้านตงชานนั้น นอกจากคนแก่และเด็กที่ไม่สามารถอยู่รอดได้ในฤดูหนาวแล้ว ก็ไม่เกิดเหตุการณ์ที่มีคนจำนวนมากเสียชีวิตเนื่องจากความอดอยากหรือหนาวจัดจนตายขึ้นเลยแม้แต่ครอบครัวเดียว แต่สถานการณ์ในหมู่บ้านก็ไม่ได้ดีเช่นกัน

ในเวลานี้นางจางกำลังเสียใจอย่างมากที่ทำตัวขี้เหนียวก่อนปีใหม่ และไม่ยอมให้ลูกรองซื้ออาหารมากักตุนเพิ่มอีก พวกเขาใช้แป้งข้าวฟ่างไปจนหมดแล้ว สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในบ้านและช่วยประทังความหิวได้ก็คือมันเทศในห้องใต้ดินและมันเทศที่หั่นเป็นชิ้นๆซึ่งเอามาบดทำแป้งมันได้เท่านั้น

ทุกวันถ้าไม่กินข้าวต้มมันเทศก็เป็นโวโวโถวมันเทศ ต่อให้พยายามทำอย่างอื่นที่แตกต่างไปบ้าง แต่ก็ทำได้แค่ใช้มันเทศแห้งมาทำเป็นโจ๊กโดยตรง ระบบย่อยอาหารของผู้สูงอายุก็ไม่ดีอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงเสียดท้องหลังกินมันเทศทุกวัน แต่ถ้าไม่กินพวกเขาก็จะอดตาย ดังนั้นหยูเสี่ยวเฉาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากผสมน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ลงไปในยาสมุนไพรให้ครอบครัวของนางกินเพื่อบำรุงลำไส้และกระเพาะอาหาร

พายุหิมะตกอย่างต่อเนื่องทำให้ถนนถูกปิด อาหารสำรองของเมืองก็กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตเนื่องจากปัญหาการขนส่ง นอกจากนั้นราคาธัญพืชก็ยังคงสูงอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย ข้าวขาวและแป้งสาลีก็กลายเป็นของแพงเท่ากับเนื้อไปแล้ว !

*โวโวโถว อาหารประเภทแป้งอีกแบบหนึ่งของคนจีนทางตอนเหนือ ในอดีตจะเป็นอาหารหลักของคนจน รสชาติจะแห้งกระด้างกว่าก้อนหมั่นโถว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด