Re-new ตอนที่ 54 โฆษณา
ตอนที่ 54 โฆษณา
เยี่ยงไรเสีย เสี่ยวเฉาจะได้หุ้นส่วนตั้งครึ่งหนึ่งทั้ง ๆ ที่ลงทุนไปแค่ 90 ตำลึงเท่านั้นรึ ? นี่มันไม่...เหมือนว่านางเรียกร้องมากเกินไปเยี่ยงนั้นรึ ? นางมิได้เรียกราคาเองก็จริง แต่ในอนาคตยังมีโอกาสที่พวกเขาจะร่วมมือกันอีก ดังนั้นนางควรปรับแผนระยะยาวเพื่อผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่กว่า
“ข้ามิอยากได้หุ้นส่วนครึ่งหนึ่งหรอกเจ้าค่ะขอเพียงแค่สี่ในสิบส่วนก็พอ อย่างแรกเลยเรามาทำข้อตกลงกันก่อน ข้าจะจัดการแค่เรื่องสูตรของซอสเท่านั้น อย่างอื่นมิรับผิดชอบนะเจ้าคะ !” แค่หุ้นส่วนโรงงานซอสหอยนางรมสี่ในสิบส่วน นางก็จะสามารถมีรายได้โดยที่ไม่ต้องทำอะไรแล้วในอนาคต จะมีสิ่งใดดีไปกว่านี้ได้อีก ?
พ่อบ้านโจวพยักหน้าอยู่ในใจและยอมรับว่าคุณชายของเขาตัดสินใจได้ดี เด็กหญิงตระกูลหยูคนนี้มิใช่คนโลภแม้ว่าจะมาจากครอบครัวที่ยากจน
“ข้าตกลงตามที่เจ้าได้เอ่ยมา !” โจวซือชู่พอใจเป็นอย่างมาก “กลับไปข้าจะเขียนสัญญาขึ้นมา เจ้าเขียนชื่อตนเองได้ใช่หรือไม่ ? ข้อตกลงของธุรกิจนี้จะเป็นการร่วมมือกับเจ้าเพียงคนเดียวหรือกับทั้งตระกูลหยู ?”
“ท่านก็เห็นสถานการณ์ของครอบครัวข้าแล้ว ! ถ้าทั้งตระกูลไปเกี่ยวข้องด้วย บ้านสองของข้ามิมีทางได้เงินแม้แต่อีแปะเดียวเป็นแน่ ! ดังนั้นข้าหวังว่าจะมิมีผู้ใดรู้เรื่องการร่วมมือกันครั้งนี้ยกเว้นท่านกับข้า !” หยูเสี่ยวเฉาวางแผนที่จะใช้การเป็นหุ้นส่วนของคุณชายสามโจวในครานี้เป็นการหาเงินออมส่วนตัว ! นางต้องคว้าเงินเอาไว้ในมือตนเองเพื่อป้องกันไม่ให้ยายแก่ใจร้ายของบ้านใหญ่เอาไป !
“ได้ ! เยี่ยงนั้นโรงงานนี้จะเป็นการร่วมมือกันระหว่างเจ้ากับข้าเพียงสองคนเท่านั้น !” โจวซือชู่สรุป
หลายปีต่อมาเครื่องปรุงรส ‘เซียนเอ้อร์เหม่ย’ ก็โด่งดังไปทั่วแผ่นดินราชวงศ์หมิง แต่ไม่มีผู้ใดคิดเลยว่ามันจะถูกสร้างขึ้นมาจากการคุยกันระหว่างเด็กหนุ่มอายุ 13 ปีกับเด็กหญิงอายุ 8 ขวบ...
“แต่...ซอสอันอื่น ๆ คืออะไรรึ ? เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ ?” ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนย่อมมีความอยากรู้อยากเห็น ยิ่งเด็กหนุ่มอายุ 13 ปียิ่งไม่ต้องพูดถึง
“อันแรกคือ ‘ซอสถั่วดำ’ ส่วนอีกอันคือ ‘ซอสถั่วปากอ้า’ ซอสถั่วดำสามารถเอาไปใช้ทำอาหารอย่างซี่โครงหมูอบซอสถั่วดำ, ปลาทอดราดซอสถั่วดำ, ไก่ตุ๋น, เป็ดตุ๋น, หมูตุ๋น และอย่างอื่นอีกมากมาย ส่วนซอสถั่วปากอ้าก็เหมาะกับการทำผัดมะเขือยาว, ผัดถั่วฝักยาว, ผัดเห็ด, ฯลฯ...”
ขณะที่โจวซือชู่ฟังหยูเสี่ยวเฉาอธิบายต่อไปเรื่อย ๆ เขาก็รู้สึกว่าได้ตัดสินใจถูกต้องแล้วที่มาที่นี่ การมาครานี้ไม่เพียงแต่แก้ปัญหาของเขาได้ แต่ยังได้ของขวัญที่พิเศษเพิ่มมาอีกด้วย โจวซือชู่ พ่อบ้านโจว และหยูเสี่ยวเฉาปรึกษากันเรื่องชื่อและการดำเนินธุรกิจของโรงงานผลิตเครื่องปรุงรส
เวลาผ่านล่วงเลยไปนานเท่าใดแล้วก็มิมีผู้ใดรู้ตัว
“โครก โครก... !”
เสียงแปลก ๆ ดังขึ้น ฉีโตวที่ฟังพวกเขาปรึกษากันจนง่วงก็ลุกขึ้นนั่งทันทีและร้องออกมาว่า “อ่า ! พี่สามยังมิได้กินข้าวเช้าเลยนี่ ! พี่สามหิวจนท้องร้องแล้ว !”
โจวซือชู่มองหยูเสี่ยวเฉาที่เอามือปิดพุงด้วยสีหน้าเขินอาย เขาพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “ข้าซื้อขนมมาด้วย เอาไปกินก่อนไป ! แล้วข้าจะมาหาอีกหลังจากที่เขียนสัญญาเสร็จแล้ว แล้วจะมาเจรจารายละเอียดต่อในภายหลัง”
“มิต้องหรอกเจ้าค่ะ อีกสองสามวันข้าจะขอให้ท่านพ่อพาข้าเข้าเมืองไปซื้อของก่อนปีใหม่ พวกเราค่อยเจรจากันตอนนั้นก็ได้ คุณชายสามโจวก็เห็นสถานการณ์ของบ้านข้าแล้ว เยี่ยงนั้นข้าคงจะมิขอให้ท่านอยู่กินข้าวด้วยกันหรอกนะ !” หยูเสี่ยวเฉากลัวว่าท่านย่าจะสงสัยถ้าโจวซือชู่มาหานางอีก
“ได้ ! เยี่ยงนั้นข้าขอกลับก่อน !” คุณชายสามโจวยิ้มกว้างจนปากจะฉีกถึงหูและเดินออกจากห้องตะวันตก หยูเสี่ยวเฉาอยากไปส่งเขาด้วยตนเอง
แต่ตอนนั้นเองหยูไห่ก็กลับมาจากข้างนอกพอดีและได้เจอคุณชายสามโจวในชุดหรูหรา ตอนแรกเขาก็ชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มให้อย่างอบอุ่นและเอ่ยถามว่า “คุณชายสามโจวมาที่นี่อันใดเยี่ยงนั้นรึ ?”
โจวซือชู่เห็นคนจากห้องใหญ่และห้องตะวันออกโผล่หัวมาแอบดูจึงโกหกไปว่า “ท่านอาหยูเพิ่งกลับมาจากเมืองรึขอรับ ? วันนี้อากาศดีจริง ๆ ข้าเลยพาผู้ช่วยไปล่าสัตว์ที่ภูเขาตะวันตก พอดีผ่านหมู่บ้านตงชานเลยแวะมาเยี่ยมน่ะขอรับ”
“วันนี้ไม่เหมาะสำหรับล่าสัตว์หรอกขอรับ ! ถ้าหากคุณชายสามสนใจค่อยกลับมาใหม่ตอนฤดูใบไม้ร่วงเถิด ถึงตอนนั้นคาดว่าคงจะมีสัตว์ป่ามากมายให้ล่า อีกทั้งยังอ้วนอีกด้วยด้วย !” หยูไห่ไม่ใช่คนโง่ เขาสังเกตเห็นว่าทั้งสามคนไม่ได้เอาเครื่องมือล่าสัตว์มาด้วยเลย ดังนั้นจึงเข้าใจได้ว่าโจวซือชู่แค่หาข้ออ้างเพราะไม่สะดวกที่จะเอ่ยออกมา
โจวซือชู่เอ่ยขึ้นอีกคราว่า “ช่วงนี้ท่านอาหยูส่งสัตว์ให้เราน้อยลงไปมากเลยนะขอรับ ผู้จัดการร้านเจินซิวของเราบ่นให้ข้าฟังหลายคราแล้ว”
หยูไห่กล่าวขอโทษขอโพยว่า “ช่วงนี้ล่าสัตว์ยากเป็นอย่างมาก เพราะหิมะในภูเขายังละลายไม่หมด ข้าเลยทำได้แค่วางกับดักที่ชายป่าเท่านั้น เมื่อสองสามวันก่อนก็ยังดี ๆ อยู่ แต่สองวันมานี้ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น จำนวนสัตว์ที่จับได้น้อยลงไปมาก ขอโทษจริง ๆ ขอรับที่ทำให้ทางร้านต้องลำบากไปด้วย”
“มิใช่ความผิดของท่านอาหยูหรอกขอรับ ร้านเจินซิวเป็นร้านเดียวในเมืองที่ยังมีสัตว์ป่าขายอยู่ในตอนนี้ ทั้งหมดต้องขอบคุณท่านอาหยูด้วยซ้ำขอรับที่ช่วยเหลือพวกเรา !” ในเมื่อหยูไห่คือพ่อของหยูเสี่ยวเฉา ท่าทีของโจวซือชู่จึงเป็นมิตรอย่างมาก ถ้าเป็นพรานคนอื่นคงไม่สามารถเข้าพบคุณชายสามโจวได้เป็นแน่
หยูเสี่ยวเฉาฟังแล้วก็รู้สึกร้อนใจไปด้วย คนอื่นไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นแต่นางรู้ ! ถ้ามิมีน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ของนาง ก็คงจะแปลกถ้าสัตว์ป่าพวกนั้นจะออกมาในช่วงที่อากาศหนาวจนสามารถทำให้แข็งตายได้เช่นนี้ ถ้าพวกเขาจับสัตว์ไปขายมิได้ พวกเขาก็จะไม่ได้เงิน คุณชายสามโจวเอาเงินทั้งหมดของนางไปแล้ว เงินเพียงไม่กี่สิบตำลึงของนางจะทำสิ่งใดได้สำหรับโรงงานใหญ่เยี่ยงนั้น ? หมอนั่นจงใจกลั่นแกล้งนางอย่างแน่นอน !
“หือ ? กวางโรตัวนี้อ้วนดีจัง เนื้อมันต้องนุ่มมากเป็นแน่ พวกคนรวยในเมืองชอบกินลูกแกะกับลูกหมูเป็นอย่างมาก เหตุใดมิขายมันให้กับข้าเล่า ?” โจวซือชู่หันไปสนใจกวางโรตัวน้อยที่กำลังวิ่งเล่นอย่างมีความสุขอยู่ในลานบ้าน
เหมือนเจ้ากวางน้อยจะเข้าใจคำพูดของโจวซือชู่ มันหยุดวิ่งทันทีและรีบไปหลบอยู่ด้านหลังของหยูเสี่ยวเฉา บางครั้งมันก็ยื่นหน้าออกมาแอบดูคุณชายสามโจว เมื่อเห็นคุณชายสามยังคงมองมันอยู่ มันก็จะตัวสั่นและรีบหดหัวกลับทันที
“น่าสนใจยิ่ง ! กวางโรตัวนี้ท่าทางฉลาดเสียด้วย น่าจะเหมาะเป็นสัตว์เลี้ยงเสียมากกว่า ถ้าเอามันไปที่เมืองหลวง พวกหญิงสูงศักดิ์จะต้องชอบมันเป็นแน่ รับรองว่าจะต้องขายได้ราคาดีเป็นอย่างมาก !” โจวซือชู่ค่อนข้างประหลาดใจในความสนิทสนมและไว้เนื้อเชื่อใจที่เจ้ากวางโรตัวน้อยมีให้กับเสี่ยวเฉา
น้องชายของนางรักเจ้ากวางโรตัวน้อยสุดหัวใจ อีกทั้งยังผูกพันกันเป็นอย่างมาก ดังนั้นหยูเสี่ยวเฉามิมีทางขายมันเพื่อเงินเป็นแน่ นางก้มลงลูบหัวเจ้ากวางโรตัวน้อยแล้วยิ้มขึ้น “มันชื่อ ‘เจ้าตัวเล็ก’ มีคนไว้ใจให้ครอบครัวเราดูแลมัน เยี่ยงนั้นข้าจึงตัดสินใจเรื่องขายมันด้วยตนเองมิได้หรอกเจ้าค่ะ”
โจวซือชู่เองก็ไม่ได้จริงจังอะไรอยู่แล้ว เขาจึงเอ่ยแบบสบาย ๆ ว่า “ถ้าอยากขายให้ได้ราคาดี ๆ ข้าสามารถช่วยติดต่อลูกค้าตอนไปที่เมืองหลวงให้ได้ เอาล่ะ ! เจ้ายังมิหายดี รีบกลับเข้าห้องไปพักผ่อนได้แล้ว !”
โจวซือชู่กำลังจะไปที่เมืองหลวงเพื่อร่วมการประชุมธุรกิจกับท่านลุงใหญ่ที่จริง ๆ แล้วเป็นพ่อแท้ ๆ ของเขา ประมุขของตระกูลโจวคนปัจจุบันมีลูกชายที่เป็นบุตรที่ถูกต้องตามกฏหมายอยู่ 2 คน ในด้านพรสวรรค์การทำธุรกิจนั้น ลูกชายคนที่สองจะเก่งกว่า ก่อนที่ลูกชายคนที่สองจะบรรลุนิติภาวะ เขาก็ประสบความสำเร็จในแวดวงธุรกิจอยู่ก่อนแล้ว หากไม่มีลูกชายคนที่สอง ตระกูลโจวก็คงไม่ได้ตำแหน่งพ่อค้าใหญ่มาเป็นแน่
โชคร้ายที่ลูกชายคนที่สองของเขาถูกโจรฆ่าตายระหว่างเดินทางค้าขายตอนยังอายุน้อย เยี่ยงนั้นแล้วก็คงบอกได้ยากว่าผู้ใดจะได้เป็นประมุขของตระกูลคนต่อไป
ลูกชายคนที่สองตายเร็วจึงมิมีโอกาสได้แต่งงาน ยิ่งทายาทยิ่งมิต้องเอ่ยถึง ! ผู้คนในยุคโบราณให้ความสำคัญกับชีวิตหลังความตายเป็นอย่างมาก ประมุขของตระกูลโจวกลัวว่าหลังจากเขาตายไปแล้ว จะมิมีผู้ใดกราบไหว้ลูกชายคนที่สองของเขา เขาจึงตัดสินใจให้ลูกชายคนโตรับผิดชอบทั้งสองบ้าน และให้เขาแต่งงานกับลูกสาวของนักธุรกิจที่ตกต่ำลงคนหนึ่งเพื่อให้สายตระกูลของบ้านสองยังคงสืบไปได้ต่อ
พูดอีกอย่างก็คือ ถึงแม้คุณชายสามโจวจะเป็นลูกแท้ ๆ ของลูกชายคนโต แต่ก็ถือว่าเขาเป็นเด็กของบ้านสอง ดังนั้นโจวซือชู่จึงเรียกเขาได้เพียงแค่ว่า ‘ลุงใหญ่’ เท่านั้น ทุกครั้งที่ลูกชายคนโตของตระกูลโจวเห็นคุณชายสามโจว อารมณ์ของเขาจะซับซ้อนเป็นอย่างมาก ลูกชายคนแรกของเขาไม่สนใจทำธุรกิจ ขณะที่อีกคนทะเยอทะยานแต่ขาดพรสวรรค์
แต่โจวซือชู่ที่เป็นทายาทของบ้านสองกลับมีพรสวรรค์ในการทำธุรกิจตั้งแต่เด็ก ร้านอาหารที่เขาดูแลกำลังเจริญรุ่งเรือง นอกจากนั้นเขายังวางแผนจะก่อตั้งโรงงานผลิตเครื่องปรุงอีกด้วย ดูเหมือนตำแหน่งประมุขตระกูลคนต่อไปจะต้องตกไปอยู่ที่บ้านสอง เขาไม่พอใจกับสถานการณ์นี้เป็นอย่างมาก !
โจวซือชู่ไม่รู้ว่าท่านลุงใหญ่มีความรู้สึกผสมปนเปกันเนื่องจากพรสวรรค์ในการทำธุรกิจของเขาเอง เขาตามบ้านหนึ่งไปเพื่อเข้าร่วมการประชุมทางธุรกิจในเมืองหลวง และได้รับผลตอบรับที่ไม่คาดคิด
บรรดาเจ้าของร้านอาหารในเมืองหลวงอยากได้สูตรซอสหอยนางรมของคุณชายสามโจวมานานมากแล้ว แต่เนื่องจากตระกูลโจวเป็นพ่อค้าใหญ่จึงมิมีผู้ใดกล้าบังคับเอาสูตร ระหว่างนี้ก็มีหลายคนที่วางแผนแอบสอบถามเรื่องสูตรอย่างลับ ๆ แต่ในตระกูลโจวนั้นมีคุณชายสามโจวเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้สูตรทำซอสหอยนางรม ดังนั้นคุณชายสามโจวจึงกลายเป็นจุดสนใจของการประชุมในครานี้
นายท่านใหญ่ของตระกูลโจวรู้สึกกังวลอยู่ในใจ ‘หลาน’ ของเขายังเด็กมาก แล้วจะสามารถรับมือกับเหล่าจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์พวกนี้ได้เยี่ยงนั้นรึ ?
แต่ทว่า มิมีผู้ใดคาดคิดว่าโจวซือชู่เองก็กำลังรอให้จิ้งจอกเฒ่าเหล่านี้นำเรื่องซอสหอยนางรมขึ้นมาเจรจาด้วยเช่นกัน !
แต่เมื่อท่านลุงอีกคนได้เอ่ยถึง ‘ซอสหอยนางรม’ โจวซือชู่จึงใช้โอกาสนี้เอ่ยขึ้นเสียงดัง
“ท่านลุงฟางขอรับ สูตรซอสหอยนางรมเป็นของเพื่อนข้า ข้าสัญญากับเขาแล้วว่าจะมิเปิดเผยสูตรให้ผู้ใดรู้ แต่หลังจากปีใหม่ปีนี้ ข้าวางแผนจะก่อตั้งโรงงานผลิตเครื่องปรุงโดยมีซอสหอยนางรมเป็นผลิตภัณฑ์หลัก นอกจากซอสหอยนางรมแล้วยังมีเครื่องปรุงใหม่อีก 2 อย่างด้วยขอรับ ถ้าท่านลุงสนใจก็ช่วยสนับสนุนโรงงานเครื่องปรุงของข้าให้มาก ๆ ด้วยขอรับ !”
เมื่อกลุ่มนักธุรกิจได้ยินข่าวนี้ พวกเขาต่างก็พากันตกตะลึง ทันใดนั้นก็มีคนถามขึ้นมาว่า “หมายความว่าหลานจะผลิตซอสหอยนางรมออกขายเยี่ยงนั้นรึ ?”
“ใช่ขอรับ !” โจวซือชู่ไม่สนใจลุงใหญ่ที่พยายามห้ามเขาอย่างร้อนรน และพยักหน้ายืนยัน
ลุงใหญ่ของโจวซือชู่รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก เขาเตรียมจะเปิดร้านอาหารขนาดใหญ่ในเมืองหลวงโดยมีซอสหอยนางรมเป็นเมนูหลัก เขาเชื่อว่าหากมีซอสหอยนางรมซึ่งเป็นสูตรพิเศษเฉพาะของพวกเขา ร้านอาหารของเขาจะมีสถานะที่มั่นคงในเมืองหลวงอย่างแน่นอน
เขาเพิ่งมารู้แผนทำโรงงานซอสหอยนางรมของหลานชายเขาวันนี้ ถ้าเขารู้ก่อนหน้านี้ เขาคงทำทุกอย่างเพื่อห้ามหลานชายเขาให้ได้ แต่ตอนนี้ข่าวได้กระจายออกมาแล้ว เขาจะทำอันใดต่อไปได้กัน !
“เยี่ยมมาก ! เจ้าเจริญรอยตามพ่อของเจ้าจริง ๆ ! สมัยนั้นลูกชายคนที่สองของตระกูลโจวก็มีความกล้าหาญและมีสายตาที่แหลมคมมิต่างจากเจ้าในตอนนี้เลย มิคิดเลยว่าลูกชายของเขาก็มีความกล้าตั้งแต่ยังเด็กเยี่ยงนี้ด้วยเช่นกัน ! หลานรัก หากโรงงานของเจ้าเปิดเมื่อใด ลุงคนนี้จะช่วยสนับสนุนเจ้าอย่างแน่นอน !” นายใหญ่ฟางแห่งร้านอาหารจู่เสียนตบบ่าโจวซือชู่และยิ้มจนตาหยี
“ได้ยินว่ามีสูตรเครื่องปรุงอีก 2 สูตร มาจากคนเดียวกันหรือไม่ ?” หลังจากได้รับการยืนยัน นายใหญ่ฟางก็กล่าวอย่างภูมิใจ “เยี่ยงนั้นก็มิมีปัญหาอันใดแล้ว ! เอาไว้ค่อยเจรจารายละเอียดเรื่องการค้าขายสำหรับเครื่องปรุง 3 อย่างนี้ทีหลังก็แล้วกัน !”
พ่อค้าคนอื่นๆที่เป็นเจ้าของร้านอาหารย่อมไม่ปล่อยให้นายใหญ่ฟางครอบครองธุรกิจนี้ ดังนั้นพวกเขาทุกคนจึงแสดงความต้องการที่จะค้าขายกับโจวซือชู่ทันที เครื่องปรุงยี่ห้อ ‘เซียนเอ้อร์เหม่ย’ ยังไม่ทันจะออกสู่ตลาดก็กลายเป็นกระแสร้อนแรงในเมืองหลวงไปเสียแล้ว
นายท่านใหญ่ของตระกูลโจวมองโจวซือชู่แห่งบ้านสองที่กลายเป็นจุดสนใจในการประชุมในครานี้ เขาทั้งภูมิใจและกลุ้มใจ ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกต่าง ๆ ผสมปนเปกันไปหมด