Re-new ตอนที่ 53 หุ้นส่วน
ตอนที่ 53 หุ้นส่วน
หยูเสี่ยวเฉาครุ่นคิดและเอ่ยออกมาว่า “ถ้าท่านอยากเปิดโรงงานซอสหอยนางรม เยี่ยงนั้นการเน่าเสียของซอสก็เป็นปัญหาอย่างแท้จริง ช่วงฤดูหนาวคงมิมีปัญหาหรอก เพราะทางเหนืออุณหภูมิต่ำอยู่แล้ว หากเก็บไว้หลายเดือนก็มิเป็นปัญหา แต่หากเป็นฤดูร้อนต้องมีปัญหาเป็นแน่ !”
ในชาติก่อนของเสี่ยวเฉาพวกเขาใช้วิธีอะไรยืดอายุของอาหารกัน ? หยูเสี่ยวเฉาขมวดคิ้วและจมอยู่ในความคิดเป็นเวลานาน แม้ว่าโจวซือชู่จะร้อนใจ แต่เขาก็ยั้งตนเองเอาไว้มิให้รบกวนนาง
หยูเสี่ยวเฉาพึมพำกับตนเอง “วิธียืดอายุของอาหารแบบทั่วไปก็คือเก็บเอาไว้ในที่อุณหภูมิต่ำ แต่ที่นี่มิมีตู้เย็น...”
“ตู้เย็น ? ใช่กล่องใส่น้ำแข็งหรือไม่ขอรับ ?” พ่อบ้านโจวที่โจวซือชู่พามาก็อดถามขึ้นไม่ได้
“อ่า...ใช่เจ้าค่ะ กล่องใส่น้ำแข็ง !” หยูเสี่ยวเฉาเพิ่งรู้ตัวว่าได้เผลอเอ่ยความคิดตนเองออกมา
แต่มันก็อธิบายยากว่าสิ่งใดคือ ‘ตู้เย็น’ นางจึงเออออไปกับคำพูดของพ่อบ้านโจว
พ่อบ้านโจวคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า “การส่งสินค้าในกล่องน้ำแข็งตอนช่วงหน้าหนาวก็ใช้ได้อยู่หรอกขอรับ แต่ตอนหน้าร้อนค่าใช้จ่ายจะสูงเป็นอย่างมาก แล้วโรงน้ำแข็งจะต้องใหญ่เพียงใดถึงจะเก็บน้ำแข็งเอาไว้ใช้ได้ทั้งปีขอรับ ?”
“มีอีกวิธีที่จะสามารถยืดอายุของซอสหอยนางรมได้ นั่นก็คือการใส่น้ำตาลกับเกลือลงไปในปริมาณมาก ๆ แต่วิธีนี้ย่อมจะมีผลต่อรสชาติของซอสหอยนางรมอย่างแน่นอน !” หยูเสี่ยวเฉาส่ายหน้าปฏิเสธความคิดของตนเอง
โจวซือชู่ที่มาจากตระกูลพ่อค้าใหญ่ย่อมรู้ถึงความสำคัญของคุณภาพสินค้า เขาจึงอดถามไม่ได้ว่า “มิมีวิธีอื่นเลยรึ ?”
“มีวิธีที่ใช้พรอพโพลิสเช่นกัน แต่น้ำผึ้งราคาแพงเป็นอย่างมาก มิต้องเอ่ยถึงพรอพโพลิสหรอก ! มันมิได้ราคาถูกกว่าการใช้น้ำแข็งในการขนส่งและเก็บสินค้าเท่าใดนักเลย !”
พรอพโพลิส ? โจวซือชู่เคยได้ยินเกี่ยวกับน้ำผึ้ง แม่ของเขาไปฟังมาจากไหนไม่รู้ว่าสามารถเพิ่มความงามและคงความอ่อนเยาว์ได้ด้วยการดื่มน้ำผึ้ง แม่ของเขาเลยดื่มน้ำผึ้ง 1 ถ้วยทุกวันตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่พรอพโพลิสคืออันใดกัน ?
“มัน...คงจะดีมากเลยถ้าหากเราสามารถทำน้ำแข็งตอนฤดูร้อนได้ !” หยูเสี่ยวเฉามีนิสัยพูดกับตัวเองมาตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว
ปกติน้ำแข็งจะเกิดขึ้นตอนที่อุณหภูมิต่ำ ๆ มิใช่รึ ? ทำเอาเองได้ด้วยรึ ? จินตนาการของเด็กคนนี้ไปไกลเกินไปแล้ว ในใจของพ่อบ้านโจวมิเห็นด้วยกับความคิดของคุณชายที่จะร่วมมือกับเด็กยากจนเปิดโรงงาน
“คุณชายสามรู้จักดินประสิวหรือไม่เจ้าคะ ?” อยู่ ๆ หยูเสี่ยวเฉาก็นึกถึงบทความเรื่อง ‘วิธีทำน้ำแข็งในสมัยโบราณ’ ที่เคยอ่านเมื่อชาติก่อนขึ้นมาได้ ดูเหมือนว่าในปลายราชวงศ์ถัง เมื่อมีการผลิตดินปืน ผู้คนก็มักจะขุดเอาดินประสิวขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
ตั้งแต่นั้นมาก็มีการทำน้ำแข็งในฤดูร้อน หลังจากนั้นก็เริ่มมีพวกพ่อค้าใส่น้ำตาลลงไปในน้ำแข็งเพื่อดึงดูดลูกค้า ในยุคราชวงศ์ซ่งพวกพ่อค้าจะใส่ผลไม้หรือน้ำผลไม้ลงไป ในยุคราชวงศ์หยวนนั้นใส่กระทั่งแยมผลไม้และนมลงในน้ำแข็งซึ่งคล้ายกับไอศครีมในสมัยปัจจุบัน นางจึงอยากรู้ว่ามีตัวอย่างในการใช้ดินประสิวทำน้ำแข็งในช่วงเวลานี้หรือไม่
“ดินประสิวรึ ? รู้จักสิ มีขายในร้านยา นี่...ดินประสิวสามารถใช้ทำน้ำแข็งได้ด้วยเยี่ยงนั้นรึ ?” โจวซือชู่ก็ได้ยินเสียงของนางพึมพำเช่นกัน เขาจึงโยงเรื่องได้เมื่อนางพูดถึงดินประสิว
หยูเสี่ยวเฉามองโจวซือชู่แล้วพยักหน้า “เมื่อเอาดินประสิวละลายในน้ำ มันจะดูดความร้อนและลดอุณหภูมิของน้ำ และยังทำให้น้ำแข็งตัวได้ด้วยเจ้าค่ะ !”
“จริงรึ ? เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร ?” โจวซือชู่ยังคงสงสัย
หยูเสี่ยวเฉาตกใจอยู่ชั่วครู่ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มิใช่เรื่องของท่านนี่ ! ถ้ามิเชื่อ ท่านก็ไปซื้อดินประสิวมาทดลองทำดูสิเจ้าคะ !”
พ่อบ้านโจวลูบเคราแล้วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “ข้าคิดว่าข้าเคยเห็นเอกสารที่บันทึกเรื่องการใช้ดินประสิวทำน้ำแข็ง ตอนที่จัดหนังสือในห้องของคุณชายรอง เขาได้สะสมหนังสือไว้มากมายก่อนจะตาย”
“หือ ? เยี่ยงนั้นก็เป็นความจริงน่ะสิที่ดินประสิวสามารถใช้ทำน้ำแข็งได้ พ่อบ้านโจวพูดต่อได้เลย !” โจวซือชู่เอ่ยออกมาอย่างสนใจ
พ่อบ้านโจวยิ้มอย่างขมขื่นแล้วส่ายหน้าพลางพูดว่า “คุณชายรองสะสมหนังสือไว้มากมายถึงเพียงนั้น ข้าจำมิได้จริง ๆ ว่าเห็นบทความนี้จากหนังสือเล่มใด พวกเราน่าจะฟังคุณหนูหยูอธิบายรายละเอียดของวิธีการทำน้ำแข็งนะขอรับ”
โจวซือชู่มองหยูเสี่ยวเฉาด้วยดวงตาเป็นประกาย ราวกับเป็นเด็กน้อยอ้อนขอลูกอม “เสี่ยวเฉา เจ้าอย่าได้ปล่อยให้พวกเราเดาเลย พูดมาเร็ว ๆ เข้าสิ เร็วเข้า !”
“ท่านต้องขุดบ่อใหญ่ ๆ เอาไว้ด้านในโรงงาน แล้วใส่ถังขนาดใหญ่ที่เติมน้ำไว้ครึ่งหนึ่งลงตรงกลางบ่อ หลังจากนั้นก็ใส่ดินประสิวลงไปแล้วเติมน้ำลงไปในบ่อ ข้าก็มิเคยทำมาก่อนหรอก เยี่ยงนั้นก็เลยไม่แน่ใจเช่นกันเรื่องสัดส่วนของน้ำกับดินประสิว หากทดลองสักสองสามคราก็คาดว่าคงจะรู้ผล” หยูเสี่ยวเฉาให้คำแนะนำทั่ว ๆ ไป แต่โจวซือชู่ต้องรับผิดชอบดำเนินการตามขั้นตอนจริง
โจวซือชู่พยักหน้าและคิดว่าเขาจะทำการทดลองเยี่ยงไรเมื่อกลับไป พ่อบ้านโจวเอ่ยขึ้นอีกคราว่า “จากที่คุณหนูหยูกล่าวมานั้นดูเหมือนว่าพวกเราต้องใช้ดินประสิวจำนวนมากเลยมิใช่รึขอรับ แต่ราคาของดินประสิวก็ไม่ได้ถูกเช่นกัน !”
เดิมทีพวกเขาคิดจะใช้ดินประสิวทำน้ำแข็งเพื่อลดต้นทุนการผลิต แต่ดูเหมือนค่าใช้จ่ายจะมิได้น้อยไปกว่าการเก็บน้ำแข็งในโรงน้ำแข็งเลยมิใช่รึ
อย่างที่คาดไว้ พ่อบ้านที่คอยดูแลงานภายนอกต่าง ๆ ของตระกูลโจวนั้นเป็นคนที่เฉลียวฉลาดมีไหวพริบและมองการณ์ไกล หยูเสี่ยวเฉาพยักหน้ายิ้ม ๆ “พ่อบ้านโจวพูดถูกต้องเจ้าค่ะ ! แต่ดินประสิวสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ พวกเราจะใช้วิธีการตกผลึกแบบระเหย สร้างดินประสิวที่ละลายไปในน้ำขึ้นมาใหม่ !”
พ่อบ้านโจวพยักหน้าเล็กน้อยและนึกประหลาดใจ ‘เด็กอายุเพียงแค่นี้แต่กลับมีความรู้กว้างขวางและมีความจำที่ดีถึงเพียงนี้ได้เยี่ยงไรกัน ? นางมีความรู้มากกว่าหัวหน้าพ่อบ้านอย่างเขาเสียอีก ตระกูลหยูมีความลับที่ข้ายังมิรู้อยู่อีกงั้นรึ ? ’
ไม่แปลกที่เขาจะนึกสงสัย ในตอนสิ้นสุดราชวงศ์ก่อน สงครามทำให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายไปทั่ว ตระกูลชนชั้นสูงมากมายถูกลืมเลือนไปในช่วงนั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีตระกูลชนชั้นสูงที่ตกต่ำมาอยู่ในหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ แห่งนี้ ?
“พ่อบ้านโจว เลิกคิดมากเถิด ! ข้าตกลงกับเสี่ยวเฉาเอาไว้ว่าจะไม่ถามอย่างอื่นนอกจากเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ส่วนเรื่องนางรู้เรื่องดินประสิวทำน้ำแข็งมาได้เยี่ยงไรนั้น มันเกี่ยวอันใดกับพวกเรากัน ? อย่าได้ทำเรื่องราวให้มันซับซ้อนเลย ข้ามิอยากเสียพันธมิตรทางธุรกิจที่ดีไป !” โจวซือชู่หุบยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ เขาได้แสดงท่าทางอันสง่างามของคุณชายในตระกูลชนชั้นสูงออกมาให้เห็น
เหมือนกับมีระฆังดังก้องอยู่ในใจของพ่อบ้านโจว เขานิ่งอึ้งไปและได้สติขึ้นมา ชายชราปัดความคิดนอกประเด็นนั่นทิ้งไปแล้วก้มหัวคำนับอย่างจริงจัง “ขอบคุณคุณชายที่เตือนสติ ! บ่าวแก่ ๆ ผู้นี้ละอายใจยิ่งนัก !”
เมื่อโจวซือชู่หันไปหาหยูเสี่ยวเฉา เขาก็มีท่าทางเป็นมิตรและอ่อนโยนอีกครา “งั้นตอนนี้ปัญหาเรื่องยืดอายุของซอสหอยนางรมและการขนส่งซอสหอยนางรมก็หมดไปแล้ว เยี่ยงนั้นข้าจะเริ่มสร้างโรงงานซอสหอยนางรมได้ตอนต้นฤดูใบไม้ผลิ เจ้าคิดว่าพวกเราควรเปิดโรงงานซอสหอยนางรมที่ใดดีจึงจะเหมาะสม ?”
“เรื่องธุรกิจคุณชายสามโจวย่อมมีวิสัยทัศน์ที่ดีกว่าเด็ก 8 ขวบเยี่ยงข้าเป็นแน่ เยี่ยงนั้นคุณชายตัดสินใจเองเถอะเจ้าค่ะ !” หยูเสี่ยวเฉารู้สึกถึงสายตาสำรวจตรวจสอบของพ่อบ้านโจวเมื่อครู่ได้เช่นกัน โชคดีที่คุณชายสามโจวอยู่ที่นี่คอยควบคุมสถานการณ์และปกป้องนางเอาไว้ได้ นางเตือนตนเองอยู่ตลอดว่าไม่ให้ทำตัวสะดุดตามากนักในอนาคต
เป็นไปไม่ได้ที่โจวซือชู่จะไม่สังเกตเห็นความระแวดระวังตัวของนาง แต่เขารู้สึกว่าเด็กหญิงตรงหน้าเขาคนนี้เป็นเหมือนเหมืองแร่ที่ยังไม่ถูกค้นพบซึ่งซ่อนสมบัติมีค่าเอาไว้ ต้องค่อย ๆ ขุดถึงจะค้นพบสมบัติได้
สำหรับเรื่องที่ ‘สมบัติ’ นี้มาได้เยี่ยงไรนั้น เขามิจำเป็นต้องรับรู้ เขาไม่อยากเสียใจภายหลังเพราะความอยากรู้อยากเห็นของตนเอง
“ข้าว่าสร้างโรงงานซอสหอยนางรมใกล้ ๆ กับท่าเรือก็เป็นความคิดที่ดี การเดินทางสะดวกเป็นอย่างมากทั้งทางบกและทางน้ำ นอกจากนั้นมันยังใกล้กับทะเลอีกด้วย สามารถซื้อวัตถุดิบสด ๆ ได้สะดวกกว่า !” โจวซือชู่แสดงความคิดเห็นและขอคำแนะนำจากหยูเสี่ยวเฉา
หยูเสี่ยวเฉาที่ได้บทเรียนแล้วเพียงแค่ยิ้มและพยักหน้าเงียบ ๆ
โจวซือชู่มองไปรอบ ๆ และเขารู้ว่าจะทำให้เด็กหญิงคนนี้พูดได้เยี่ยงไร เขายิ้มบาง ๆ มองไปที่เสี่ยวเฉาแล้วถามว่า “เจ้าอยากเป็นหุ้นส่วนทำโรงงานซอสหอยนางรมหรือไม่ ?”
เป็นหุ้นส่วน ? นี่มิใช่คำศัพท์สมัยใหม่หรอกรึ ? เหตุใดคำนี้ถึงออกมาจากปากของคุณชายสามโจวได้ ? เป็นไปได้หรือไม่ว่า...คุณชายสามโจวผู้นี้ก็ย้ายร่างมาเกิดใหม่เช่นกัน ? หยูเสี่ยวเฉาลืมตาโตมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
โจวซือชู่เข้าใจผิดและยิ้ม “อะไรกัน ? เจ้ามิรู้จำคำว่า ‘หุ้นส่วน’ คืออะไรงั้นรึ ? ตอนที่จักรพรรดิเจี้ยนเหวินยังเป็นองค์รัชทายาทอยู่ เขาได้ก่อตั้งบริษัทเดินเรือและดึงเอาขุนนางระดับสูงกับชนชั้นสูงหลายคนไปร่วมลงทุนด้วย ตั้งแต่นั้นมาคำว่า ‘หุ้นส่วน’ ก็เริ่มแพร่กระจายในแวดวงธุรกิจ มันหมายความว่าร่วมลงทุนและทำธุรกิจด้วยกัน”
“อ่า... !” หยูเสี่ยวเฉาเหงื่อแตกพลั่กเพราะนางได้เข้าใจผิดไป แต่นางก็สนใจขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินว่านางสามารถร่วมลงทุนในโรงงานซอสหอยนางรมได้
“แต่...ข้ามิมีเงินมากนักหรอก มีอยู่มิถึงร้อยตำลึงเท่านั้นเจ้าค่ะ... !” หยูเสี่ยวเฉาเอาเงินที่ซ่อนไว้ออกมาพร้อมกับเกาหัวแบบอาย ๆ
โจวซือชู่มองเงินที่กระจายอยู่บนเตียง นางได้เงินทั้งหมดนี้มาจากเขา แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ว่านางมีเงินเท่าใด เดิมทีเขาตั้งใจจะให้นางเป็นหุ้นส่วนโรงงานแบบมิต้องจ่ายเงินเป็นของขวัญ แต่บัดนี้เขาอยากแกล้งนางขึ้นมาบ้าง
เด็กหนุ่มจึงกระแอมแล้วตอบกลับว่า “ข้าได้สูตรซอสหอยนางรมมาจากเจ้า ข้าก็เลยคิดว่าจะให้เจ้าเป็นหุ้นส่วนหลังจากสร้างโรงงานเสร็จแล้ว แต่ในเมื่อเจ้ารู้สึกไม่สบายใจที่จะรับมันไปแบบมิจ่ายเงิน เยี่ยงนั้นเงินนี่...ข้าจะรับมันไว้ก็แล้วกัน !”
สีหน้าของหยูเสี่ยวเฉาแข็งทื่อไปทันที นางมองนักธุรกิจ ‘ใจดำ’ ปล้นเงินของนางไปด้วยหัวใจที่เจ็บปวดเหมือนถูกมีดกรีด !
ไม่มีทาง ! หยูเสี่ยวเฉา ยอมอะไรก็ยอมได้ แต่จะให้ปิดปากเงียบยอมรับการสูญเสียแบบไม่เต็มใจนั้น ไม่มีทางเป็นแน่ !
“คุณชายสามโจว !” นางกัดฟันแล้วเอ่ยออกมาว่า “มันมิโง่ไปหน่อยรึที่โรงงานขนาดใหญ่เยี่ยงนี้จะผลิตแค่ซอสหอยนางรมเพียงอย่างเดียว ?”
โจวซือชู่ตาเป็นประกาย ‘แม่คุณทูนหัวของข้า ! ข้ากำลังรอให้เจ้าพูดเช่นนั้นอยู่พอดีเลย ! ’
“อะไร ? เสี่ยวเฉาเจ้ามีคำแนะนำอื่นอีกงั้นรึ ?” โจวซือชู่จ้องนางอย่างรู้สึกสนใจ
“ข้ามีสูตรลับทำซอสอีก 2 อย่าง ! มิทราบว่าคุณชายสามโจวสนใจหรือไม่ ?” ไม่ว่าใครก็รู้สึกได้ว่าหยูเสี่ยวเฉาเน้นคำว่า ‘คุณชายสามโจว’ เป็นพิเศษ อ่า...ดูเหมือนลูกแมวตัวน้อยกำลังกางเล็บอยู่เลย !
โจวซือชู่ขยับเข้ามาใกล้อย่างดีใจและตอบกลับว่า “สนใจสิ สนใจแน่ ๆ ล่ะ ! บอกข้ามาเร็วเข้า !”
“อืม !” หยูเสี่ยวเฉาหันหน้าไปแบบหยิ่ง ๆ แล้วเอ่ยว่า “ถ้าท่านอยากได้สูตรลับ 2 สูตรนี้ก็ต้องแลกกับหุ้นส่วน !”
แท้จริงแล้วการตั้งโรงงานนี้ สูตรทำซอสหอยนางรมกับซอสอีกสองอย่างนั้นมาจากหยูเสี่ยวเฉาทั้งหมด ตระกูลโจวแค่จัดการเรื่องเงินกับแรงงานเพียงเท่านั้น
โจวซือชู่ย่อมไม่ทิ้งหนทางการทำเงินแบบไม่สิ้นสุดเพียงเพราะจะต้องเสียผลประโยชน์เล็ก ๆ น้อย ๆ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยอย่างเอาใจว่า “ถ้าสองสูตรนั้นมีค่าเทียบเท่าซอสหอยนางรม ข้าจะให้เจ้าถือหุ้นโรงงานครึ่งหนึ่งเลยเป็นเยี่ยงไร !”
ครึ่งหนึ่ง ? ตอนแรกหยูเสี่ยวเฉาตั้งใจจะเอาแค่สองในสิบส่วนเท่านั้น นี่มันเกินกว่าที่นางคาดหวังเอาไว้มากเลย