Re-new ตอนที่ 52 เยือนบ้าน
ตอนที่ 52 เยือนบ้าน
ฉีโตวย่อตัวลงหวีขนของเจ้ากวางโรอยู่หน้าทางเข้าบ้าน เมื่อได้ยินเสียงเกือกม้ากระทบกับพื้นธรณีจึงเงยหน้าขึ้นมอง เขาสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มที่นำหน้าดูคุ้นหน้าจึงหรี่ตามองดูให้ชัด ๆ อีกครา
“คุณชายขอรับ บ้านห้าห้องที่มีลานบ้านข้างหน้านั่นคือบ้านของท่านอาหยู จากที่ข้าน้อยได้สอบถามมา บ้านใหญ่เช่นนี้ทั้งหมู่บ้านมีอยู่เพียงไม่กี่หลังเท่านั้นขอรับ แต่ว่า...” ซือโม่คนรับใช้ส่วนตัวของคุณชายสามโจวหยุดชะงักไปนิดหนึ่งอย่างลังเล
“มีอันใดก็จงกล่าวมา ?” คุณชายสามโจวจำเด็กน้อยที่อยู่หน้าประตูได้ นั่นคือน้องชายที่น่ารักของเสี่ยวเฉา เยี่ยงนั้นก็คงจะเป็นที่นี่แหละ !
ซือโม่เห็นเด็กน้อยในชุดสีเขียวที่มีแต่รอยปะชุนแล้วจึงถอนหายใจ “ความสามารถของท่านอาหยูกับขนาดของบ้านหลังนี้ ตระกูลหยูน่าจะมีความเป็นอยู่ที่ดีนะขอรับ แต่ว่าเสื้อผ้าของลูก ๆ ของเขายังเก่าซอมซ่อมากกว่าเด็กคนอื่นในหมู่บ้านเสียอีก”
“ดูสิขอรับ นั่นน้องชายของคุณหนูเสี่ยวเฉามิใช่รึขอรับ ? เสื้อผ้าเก่า ๆ ของเขาน่าจะถูกโยนทิ้งไปตั้งนานแล้ว ช่วงนี้พวกเขาน่าจะมีเงินอย่างน้อย 60 - 70 ตำลึงจากการขายสัตว์ป่าให้กับร้านเจินซิว นี่ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว แต่พวกเขายังไม่ยอมซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เด็ก ๆ อีก... !”
โจวซือชู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ท่านอาหยูก็ดูไม่เหมือนคนที่จะทำทารุณกับลูกของตนเองมิใช่รึ เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขามีปัญหาที่เปิดเผยมิได้บางอย่าง ?”
โจวซือชู่เองก็เจอกับเรื่องแก่งแย่งอำนาจและการวางแผนอย่างต่อเนื่องในครอบครัวมาโดยตลอด ดังนั้นในทุก ๆ สถานการณ์ที่เขาเจอ เขาจะคิดอย่างลึกซึ้งอยู่เสมอ ครอบครัวเขาเองก็แบบนี้มิใช่รึเยี่ยงไร ? หากท่านปู่ท่านย่าของเขาไม่ได้อยู่คอยควบคุมตระกูลและด้วยการแสดงความสามารถของเขาในการทำธุรกิจในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บ้านสองของเขาคงถูกญาติที่โลภมากกลืนหายไปเสียนานแล้ว ท่านอาหยูก็น่าจะมีปัญหาของตนเองที่พูดออกมามิได้เช่นกัน
“จำได้แล้ว ! ท่านคือคุณชายสามแห่งตระกูลโจวใช่หรือไม่รับ ?” ฉีโตวน้อยยืนขี้นและเงยหน้ามาพร้อมกับยิ้มกว้าง
โจวซือชู่ลงจากหลังม้าแล้วขยี้ผมเด็กน้อย จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าอบอุ่นว่า “ฉีโตว เจ้าเรียกใครว่า ‘คุณชายสามโจว’ ? เรียกข้าว่า ‘พี่สามโจว’ สิ ! ถ้าคราหน้าเรียกผิดอีกจะต้องโดนทำโทษ !”
“ทำโทษเยี่ยงไรรึขอรับ ?” ฉีโตวกระพริบตาปริบ ๆ และถามออกไปอย่างสงสัย
“ข้าจะทำโทษด้วยการ... !” โจวซือชู่เอากล่องขนมจากมือของซือโม่มาและยิ้มให้ “ห้ามมิให้เจ้ากินขนมที่พี่สามโจวเอามาฝาก !”
ฉีโตวน้อยมองกล่องขนมในมือของคุณชายสามโจวด้วยความอยากกิน เขาอ่านชื่อบนกล่องช้า ๆ “ร้านขนม...เหลียน...จี้ ! ใช่ ‘ร้านเหลียนจี้’ ที่มีหน้าร้านใหญ่ที่สุดและขนมแพงที่สุดในเมืองหรือเปล่าขอรับ ? เยี่ยงนั้นขนมกล่องนี้ก็แพงมากเลยใช่หรือไม่ขอรับ ?”
โจวซือชู่รู้สึกทึ่งจึงเอ่ยว่า “อ่า ! ฉีโตวยังเด็กถึงเพียงนี้ แต่อ่านหนังสือออกแล้วงั้นรึ ?” ฉีโตวเกาหัวแบบอาย ๆ แล้วตอบกลับว่า “ตอนไปเล่นที่บ้านของอู๋ซือ ข้าได้เรียนจากท่านพี่เหวินมาสองสามคำขอรับ...”
“ฉีโตวนี่ฉลาดจริง ๆ ! ข้าได้ยินว่าพี่สามของเจ้ากำลังป่วยอยู่รึ ?” โจวซือชู่ถามขึ้น
“ใช่ขอรับ ! พี่สามไม่สบาย ถ้าหากท่านลุงใหญ่มิให้พวกเรายืมเงิน พี่สามอาจจะ...” เด็กน้อยก้มหัวอย่างหดหู่ เขากับพี่สามออกจะเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย แต่เหตุใดท่านย่าถึงไม่ชอบพวกเขา ?
“ฉีโตว เจ้าคุยกับใครอยู่ ? เหตุใดถึงยังมิรีบออกไปเก็บฟืนอีก ! พวกเจ้านี่รู้จักแต่จะเล่น ! ทุกวี่ทุกวันเอาแต่ห่วงเรื่องกิน ! อีกทั้งยังมีพวกขี้โรคอยู่ในบ้านอีก ! ข้ามีเวรมีกรรมอะไรกับพวกเจ้านักหนา !”
โจวซือชู่ขมวดคิ้ว ‘เด็กเล็กเช่นนี้ก็ถูกสั่งให้ทำงานด้วยรึ ? ’
ขณะที่กำลังคิด หญิงชราท่าทางใจร้ายก็เดินออกมาจากประตู นางมีท่าทางของหญิงปากร้ายที่ชอบด่าเสียงดังกลางที่สาธารณะ
เมื่อเห็นคนที่ดูสง่างาม 3 คนตรงหน้า นางจางก็กลืนคำด่าที่กำลังจะออกจากปากกลับลงไปทันที ต่อหน้าโจวซือชู่ที่เป็นชนชั้นสูงมาแต่กำเนิดนั้น ท่าทีคุกคามของนางจางก็เหี่ยวลงทันที นางไหล่ห่อคอตกและถามด้วยเสียงขลาดกลัวว่า “ท่าน...พวกท่านมาหาผู้ใดรึเจ้าคะ ?”
ซือโม่รู้สึกรังเกียจความสองมาตรฐานของหญิงชราใจร้ายผู้นี้ เขาจึงแสดงสีหน้าเหยียดหยามและเอ่ยถามว่า “นี่บ้านของหยูไห่ใช่หรือไม่ ?”
“หยูไห่ ? หยูไห่ไปล่วงเกินท่านเข้ารึเจ้าคะ ? เจ้าสารเลวนั่นก่อเรื่องให้บ้านเราอยู่ตลอด ! คุณชาย หยูไห่ยังไม่กลับจากการล่าสัตว์ในภูเขาเลยเจ้าค่ะ แต่มิว่าเขาจะทำสิ่งใดไว้ก็ไม่เกี่ยวกับข้า !” นางจางเห็นสีหน้าบึ้งตึงของซือโม่จึงกลัวมากจนพูดไม่ปะติดปะต่อ พร้อมกับด่าและตัดญาติไปด้วย
ซือโม่ยิ่งไม่พอใจและหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก “หยูไห่มิอยู่บ้าน แต่หยูเสี่ยวเฉาน่าจะอยู่ใช่หรือไม่ ?”
“เสี่ยวเฉา ? เด็กนั่นก็เกี่ยวข้องด้วยรึ ? ว่าแล้วนังเด็กปากร้ายนั่นต้องก่อเรื่องเข้าสักวัน...นังเด็กตัวปัญหานั่นชอบสร้างความเดือดร้อนให้ครอบครัวเราเสียจริง ๆ...” นางจางพึมพำออกมาเสียงเบา
“นางอยู่หรือไม่ ?” สีหน้าของซือโม่ยิ่งไม่น่าดูมากยิ่งขึ้น เขาสังเกตเห็นว่าคุณชายของเขาหรี่ตาซึ่งเป็นสัญญาณของความโกรธ
“อยู่...ในห้องตะวันตก !” นางจางตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อซือโม่ขึ้นเสียงอย่างกะทันหัน พวกเขาจะไม่โดนพวกชนชั้นสูงโกรธไปด้วยใช่หรือไม่ ?
โจวซือชู่โยนสายบังเหียนให้ซือโม่แล้วเดินเข้าไปในลานบ้านพร้อมพ่อบ้านของเขา เขามองไปรอบ ๆ ก่อนจะเข้าไปในห้องตะวันตกที่เล็กและคับแคบ
“คุณชายสามโจว ในที่สุดท่านก็มา !” ในห้องค่อนข้างมืดสลัว ตาของโจวซือชู่ยังคงปรับให้เข้ากับแสงในห้องไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงของเสี่ยวเฉา
โจวซือชู่มองไปรอบ ๆ และเห็นเฟอร์นิเจอร์ที่เรียบง่ายภายในห้อง มีเตียงใหญ่หนึ่งเตียง ผ้านวมเก่า ๆ โกโรโกโสแต่พับไว้อย่างเรียบร้อย หีบหวายเก่า ๆ อันหนึ่งวางอยู่ที่หัวเตียง นอกจากเตียงแล้วก็มีโต๊ะไม้ที่เกือบจะพังแหล่มิพังแหล่ ในห้องไม่มีอะไรเลยนอกจากเฟอร์นิเจอร์เก่า ๆ ที่เรียบง่ายพวกนี้ แม้แต่คนรับใช้ระดับต่ำที่สุดของตระกูลโจวก็ยังมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีกว่าพวกเขามาก
โจวซือชู่ขมวดคิ้วแล้วพูดอย่างไม่ชอบใจ “เกิดอันใดขึ้นกับเงินที่เจ้าได้ไปกัน ? เงินไปอยู่ที่ใดหมด ? ผ้านวมแข็งกระด้างถึงเพียงนี้แล้วยังใช้ได้อยู่อีกรึ ? ครอบครัวเจ้าหาเงินจากการขายสัตว์ป่าได้ตั้งมากมาย เจ้าอย่าได้ลังเลที่จะใช้มันสิ...”
“ชู่ว...ชู่ว...” เสี่ยวเฉาดึงแขนของคุณชายสามทันที ถ้านางไม่เตี้ยเช่นนี้ นางคงเอามือปิดปากเขาไปแล้ว !
“คุณชายสาม สุขภาพของข้ามิดีและป่วยง่าย ครอบครัวของข้าเลยต้องยืมเงินมามากมายเพื่อเป็นค่ารักษา หลายวันมานี้เงินที่ท่านพ่อได้มาจากการล่าสัตว์ไม่พอจ่ายหนี้ด้วยซ้ำ ! แล้วเราจะมีปัญญาไปซื้อเตียงใหม่ได้เยี่ยงไร ?” หยูเสี่ยวเฉาปรับระดับเสียงแล้วพูดไปทางประตู
โจวซือชู่มองตามสายตาของเสี่ยวเฉาและเห็นหญิงชราที่ดูหยาบคายกับผู้หญิงอ้วนกำลังมองเข้ามาในห้อง
เขาส่งสัญญาณให้ซือโม่ด้วยสายตา ซือโม่เดินออกไปนอกห้องตะวันตกและยืนจังก้าอยู่หน้าประตูเหมือนเป็นเทพทวารบาลพิทักษ์ประตู สีหน้าของเขาถมึงทึงพลางจ้องมองผู้หญิงทั้งสองที่ทำลับ ๆ ล่อ ๆ แอบดูพวกเขา
นางจางและนางหลี่ดุร้ายเมื่ออยู่ที่บ้านเท่านั้น ดังนั้นพวกนางทั้งสองจึงล่าถอยกลับไปที่ห้องใหญ่ด้วยความกลัวเมื่อเห็นสายตาของซือโม่
นางหลี่มองเข้าไปในลานบ้านอย่างระมัดระวังแล้วทำท่ากระซิบกระซาบว่า “ท่านแม่ ! คนพวกนี้เป็นใครรึ ? พวกเขาดูเหมือนกับพวกทวงหนี้ ! น้องรองไปยืมเงินจากคนปล่อยกู้หน้าเลือดมางั้นรึ ? พวกเขาคิดดอกเบี้ยสูงมากนะ ยืม 1 ตำลึงนี่หมายถึงต้องจ่ายคืน 10 ตำลึงเชียวนะท่านแม่ !”
นางจางอดกลัวขึ้นมามิได้ นางจึงด่าไปว่า “หยูไห่ไม่ยอมบอกเราว่าค่ายาของยัยเด็กเสี่ยวเฉานั่นเท่าใด สะใภ้สามบอกว่ามีโสมอยู่ในใบสั่งยาด้วย มันต้องแพงมากเป็นแน่ ! พวกตัวผลาญเงิน ต่อให้เอานังเด็กนั่นไปขายก็ไม่ได้ราคาเท่าค่าโสมมิใช่รึ ! ตัวหายนะชัด ๆ ถ้ารู้แต่แรกข้าคงจะบีบคอแล้วเอาไปโยนทิ้งที่ภูเขาตั้งนานแล้ว !”
“ท่านแม่ แล้วนี่พวกเราจะทำเยี่ยงไรกันดี ? พวกนั้นส่งคนมาตั้ง 3 คน น้องรองต้องยืมเงินมาเยอะเป็นแน่ ถ้าน้องรองมิมีเงินจ่ายหนี้ พวกนั้นจะเอาของในบ้านเราไปจ่ายหนี้แทนหรือไม่ ? มิมีทาง ! ข้าต้องไปซ่อนของมีค่าทั้งหมดไว้เสียก่อน... !” นางหลี่รู้สึกไม่สบายใจและอยากกลับไปที่ห้องตะวันออกของนาง
นางจางเองก็ร้อนใจมากเช่นกัน นางดึงตัวนางหลี่กลับมาทันทีแล้วตะโกนออกมาเสียงดังว่า “ของมีค่าอันใดกัน ? ลูกใหญ่มิได้ซ่อนเงินเอาไว้ลับหลังข้าใช่หรือไม่ ?”
ใบหน้านางหลี่แข็งทื่อทันทีแล้วรีบตอบกลับว่า “ท่านแม่ เรามิได้ทำเยี่ยงนั้นนะ ! ต้าชานเป็นลูกชายที่รับผิดชอบต่อหน้าที่และทุ่มเทเป็นอย่างมาก เขาไม่มีความคิดเช่นนั้นหรอก เมื่อเร็ว ๆ นี้ข้ากลับไปที่บ้านท่านแม่ของข้า ท่านแม่ให้ผ้าข้ามาผืนหนึ่งแล้วนางก็แอบซ่อนเงินไว้ในนั้นให้ข้าด้วย ท่านแม่เป็นคนที่เข้าอกเข้าใจและมีเหตุผลมากที่สุด คงไม่ยึดเอาเงินที่ท่านแม่ของข้าที่ให้ข้ามาใช่หรือไม่ ?”
ความจริงนี่ไม่ใช่สิ่งที่นางจางไม่เคยทำ ทุกครั้งที่บ้านแม่ของสะใภ้รองมาเยี่ยม พวกเขามักจะทิ้งของหรือเงินเอาไว้ให้นางเสมอ แต่สุดท้ายของทุกอย่างก็เข้าไปอยู่ในกระเป๋าของนางจาง ยิ่งกว่านั้นนางยังไม่ลืมเตือนพวกเขาอีกว่า ถ้าพวกเขาไม่ส่งของมาให้ นางก็จะไม่จ่ายค่ารักษาให้กับพวกขี้โรคทั้งสองคน
แต่บ้านแม่ของนางหลี่มีภูมิหลังที่แข็งแรงกว่า นางจางจึงไม่กล้าทำเช่นเดียวกัน ดังนั้นนางจึงแกล้งทำเป็นไม่เห็นว่านางหลี่เอาของกลับมาจากบ้านแม่ของนางอยู่ตลอด ในเมื่อสิ่งของครึ่งหนึ่งที่นางนำกลับมาลูกชายของนางก็ได้ใช้ด้วย
“ก็ได้ ! ก็ได้ ! พวกนั้นจะสนใจเงินไม่กี่อีแปะของเจ้าหรือเยี่ยงไรกัน ? ถ้ากังวลมากนักก็ไปจัดการเสีย แต่ระวังอย่าไปล่วงเกินคนพวกนั้นเข้าล่ะ !” นางจางรอจนกระทั่งนางหลี่ออกจากห้องไป จึงค่อยย้ายเงินในตู้ไปซ่อน
เมื่อโจวซือชู่เห็นว่าลานบ้านเงียบลงแล้ว เขาจึงมองไปที่หยูเสี่ยวเฉาแล้วนั่งลงบนเตียง “เอาล่ะ พวกเขาไปแล้ว เลิกแกล้งจนได้แล้ว !”
“ข้ามิมีทางเลือกนี่ ! ท่านมิรู้สถานการณ์ของครอบครัวข้า ! ยายแก่นั่นห้ามลูก ๆ แอบเก็บเงินไว้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านสองของข้า ! นางจะคอยเฝ้าดูพวกเราอยู่ตลอดเหมือนพวกเราเป็นขโมย ! ถ้านางรู้ว่าข้ามีเงินมากถึงเพียงนี้ล่ะก็ มีหวังครอบครัวของข้าคงโดนอาละวาดเป็นแน่ !” หยูเสี่ยวเฉาไม่อายที่จะพูดเรื่องครอบครัวของนาง
ทุกครอบครัวต่างก็มีปัญหาของตนเอง โจวซือชู่ส่ายหน้าแล้วกระซิบว่า “เยี่ยงนั้นถ้าเงินยังอยู่ในมือเจ้าต่อไปล่ะก็ มันคงต้องถูกเปิดโปงเข้าสักวันเป็นแน่ เจ้าควรจะเอามันไปลงทุนทำธุรกิจกับข้า !”
โจวซือชู่เพียงแค่แนะนำเท่านั้น แต่ไม่ได้คิดว่าหยูเสี่ยวเฉากำลังรอให้เขาพูดขึ้นมา “ข้าได้ยินมาจากเสี่ยวเหลียนแล้ว ธุรกิจอันใดกัน ถึงได้ยากเสียจนคุณชายสามโจวต้องมาดึงข้าเข้าไปร่วมด้วย ?”
“อ่า ! ยากเสียจนข้าจัดการมิได้งั้นรึ ? มีสิ่งใดที่คุณชายสามโจวอย่างข้าทำมิได้ด้วยรึไง ?” โจวซือชู่จ้องหน้าเสี่ยวเฉาแล้วเอ่ยต่อว่า “ข้าเพียงแค่สำนึกในบุญคุณที่เจ้าช่วยข้าเอาไว้ ถึงได้อยากให้เจ้ามาร่วมสร้างโชคลาภด้วยกัน แต่ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าพูดเยี่ยงนั้นก็ลืมมันไปเสีย...”
“ไม่ !” เมื่อหยูเสี่ยวเฉาเห็นว่าเขาจะกลับ นางจึงรีบดึงเขาเอาไว้ เมื่อกี้นางแค่แกล้งแหย่เขาเล่นเท่านั้นเอง ถ้ามันเป็นสิ่งที่แม้แต่ตระกูลโจวที่เป็นพ่อค้าใหญ่ยังจัดการไม่ได้ แล้วลูกสาวชาวประมงเยี่ยงนางจะไปทำอันใดได้ ?
“คุณชายสามโจวมีจิตใจกว้างขวางสูงส่งยิ่ง อย่าได้โกรธเด็กเล็ก ๆ เยี่ยงข้าเลยนะเจ้าคะ ! ว่าแต่เป็นธุรกิจอะไรรึเจ้าคะ ? ช่วยบอกรายละเอียดข้าหน่อยได้หรือไม่ ?” หยูเสี่ยวเฉายิ้มและประสานมือคำนับอยู่หลายรอบ
แน่นอนว่าโจวซือชู่มิได้โกรธนางจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงยิ้มและตบหน้าผากของนางไปเบา ๆ “นี่แน่ะ ! หยุดทำท่าประหลาด ๆ ได้แล้ว ! ข้าอยากเปิดโรงงานผลิตซอสหอยนางรม และขายสินค้าให้กับร้านอาหารใหญ่ ๆ ในเมืองใกล้เคียง แต่เจ้าเคยกล่าวว่าซอสหอยนางรมเก็บไว้ได้มินาน ข้าก็เลยมาถามว่าเจ้ามีวิธีการแก้ปัญหาเรื่องนี้หรือไม่ ?”