ตอนที่แล้วRe-new ตอนที่ 50 ให้เงิน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปRe-new ตอนที่ 52 เยือนบ้าน

Re-new ตอนที่ 51 ทำธุรกิจ


ตอนที่ 51 ทำธุรกิจ

วันนี้อากาศค่อนข้างดี ท้องฟ้าโปร่งกระจ่างใส ไม่มีลมแม้แต่น้อย หยูเสี่ยวเฉาแกล้งทำเป็นอ่อนแอและมีฉีโตวคอยช่วยพยุงไปที่กลางลานบ้านเพื่อรับแสงแดด เมื่อเล่นแล้วก็ต้องเล่นต่อไปให้จบ (ผู้แต่ง:เอารางวัลนักแสดงยอมเยี่ยมไปเลย)

แสงแดดในฤดูหนาวที่อาบไล้ร่างกายนางอุ่นสบายราวกับมืออันอ่อนโยนของแม่ที่ลูบไล้ใบหน้าของนางด้วยความรัก หยูเสี่ยวเฉารู้สึกสบายมากเสียจนเกือบจะหลับ แม้แต่ภาพที่นางหลี่แอบดูผ่านหน้าต่างก็มิได้กวนใจนางมากนัก

ขณะที่พระอาทิตย์เริ่มเคลื่อนไปทางตะวันตก หยูไห่กับเสี่ยวเหลียนก็ได้กลับมา ดูจากรอยยิ้มของเสี่ยวเหลียนแล้ว ของที่ได้มาในวันนี้คาดว่าคงจะทำเงินได้ไม่น้อย

หยูไห่อุ้มลูกสาวคนเล็กขึ้นมาและพานางกลับไปที่ห้อง หลังจากตรวจสอบความร้อนที่เตียงแล้วเขาก็ได้ใส่ฟืนเพิ่มเข้าไปด้านในโพรงใต้เตียง เขายิ้มพลางมองดูลูกสาวสองคนที่หน้าเหมือนกันมากขึ้นทุกวัน ๆ กำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ แล้วเขาก็เอ่ยขึ้นมาว่า "ลูกสองคนคุยกันไปก่อนนะ พ่อจะขึ้นภูเขาไปตัดฟืนมาเพิ่ม คนแก่ ๆ พูดเป็นเสียงเดียวกันหมดว่าปีนี้จะหนาวเป็นอย่างมาก เตรียมฟืนเพิ่มเอาไว้จะดีกว่า”

“ท่านพ่อ ข้าไปด้วย !” ฉีโตวอุดอู้อยู่แต่ในบ้านเกือบทั้งวันจนเบื่อมากแล้ว เขาจึงพาเจ้ากวางโรไปด้วยและกระโดดโลดเต้นตามหลังท่านพ่อของเขาไป

เสี่ยวเหลียนรอจนกระทั่งพ่อของนางออกจากบ้านไปแล้ว นางถึงได้มองไปรอบ ๆ ลานบ้านและปิดประตูอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ถอดรองเท้าแล้วขึ้นไปนั่งบนเตียงข้าง ๆ เสี่ยวเฉา นางเอาเงินห้าตำลึงออกมาจากกระเป๋าเสื้อตรงหน้าอกแล้วรีบยัดใส่มือของน้องสาวพร้อมกับเอ่ยขึ้นเบา ๆ ว่า “เอาเงินไปซ่อนเร็วเข้า อย่าให้ท่านย่ากับท่านป้าใหญ่เห็นเป็นอันขาด ! วันนี้เราจับสัตว์ได้เยอะมากเลยหละ รวมกับเมื่อวานแล้วขายได้ตั้ง 5 ตำลึง ! แต่ว่าตอนที่ร้านเจินซิวจ่ายเงิน พวกเขากลับมิเอาเงินให้ท่านพ่อแต่กลับเอาให้ข้าแทน มันแปลกใช่ไหมเล่า ?”

แปลกตรงไหนกัน ? คราก่อน ๆ เสี่ยวเฉาก็เป็นคนเก็บเงินอยู่ตลอดตอนที่ทำธุรกิจกับร้านเจินซิว คราที่แล้วนางก็เป็นคนเก็บเงิน 50 ตำลึงไว้เอง แล้วเงินเพียงแค่ 5 ตำลึงมันจะแตกต่างอะไรกัน ?

เสี่ยวเฉาเก็บเงินด้วยท่าทางปกติธรรมดาแล้วตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ว่า “เสี่ยวเหลียน  เงินแค่ไม่กี่ตำลึง เจ้าต้องดีใจถึงเพียงนี้เลยรึ ?”

“หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ‘เงินไม่กี่ตำลึง’ ? ก่อนหน้านี้ข้าได้จับเงินมากที่สุดก็แค่ 10 อีแปะเพียงเท่านั้น แล้วนี่เป็นเงินตำลึงเลยเชียวมิใช่รึ ? ก้อนเงินทั้งก้อนที่ราคา 5 ตำลึงน่ะ !” พอเสี่ยวเหลียนรู้ตัวว่าตนเองเสียงดังเกินไปก็รีบเอามือตะครุบปากตัวเองแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง

“ท่านป้าใหญ่นี่ช่างทำตัวน่ารำคาญเสียจริง นางพยายามแอบฟังที่พวกเราคุยกันอีกแล้ว !  ไม่รู้ว่าเมื่อกี้นางจะได้ยินที่ท่านพี่เอ่ยออกมาหรือไม่ ? ถ้าท่านย่ารู้เข้ามีหวังระเบิดลงอีกคราเป็นแน่ !” เสี่ยวเหลียนเห็นนางหลี่ถือไม้กวาดทำท่ากวาดพื้นเข้ามาใกล้ห้องตะวันตกมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเห็นหน้าต่างเปิดนางหลี่ก็พยายามถอยกลับและเดินไปทางเล้าไก่แทน

หยูเสี่ยวเฉาพูดขึ้นเหมือนไม่สนใจ “ได้ยินก็ได้ยินไปสิ นางจะทำอะไรได้เล่า ? พวกเราเป็นหนี้บ้านลุงใหญ่ตั้งหลายตำลึงมิใช่รึ ! อีกทั้งตอนนี้ข้าก็ป่วยอยู่ คาดว่าจะต้องซื้อยามาเพิ่มอีกด้วย ข้าต้องดูแลร่างกายให้ดีจะได้ไม่ป่วยหนักไปมากกว่านี้ ! เงินเพียงแค่นี้จะเอาไปทำอันใดได้ ?”

เสี่ยวเฉาจงใจเพิ่มเสียงตรงสองสามประโยคสุดท้ายราวกับตั้งใจเอ่ยให้นางหลี่ที่อยู่กลางลานบ้านได้ยินอย่างชัดเจน

นางหลี่รอจนหน้าต่างห้องตะวันตกปิดลงแล้วค่อยถุยน้ำลายไปทางห้องตะวันตก “ฮึ่ม ! คิดว่าตนเองสำคัญนักหรือเยี่ยงไร ? เงินสองสามตำลึงนี่มากพอจะแต่งภรรยาเข้าบ้านได้เลยมิใช่รึ แต่บัดนี้ต้องเอาเงินทั้งหมดนั่นไปให้ตัวผลาญเงินอย่างนาง หากนางยังไม่ตายก็คงจะผลาญเสียจนไม่มีที่สิ้นสุด ตอนมันเกิดน่าจะเอาไปโยนทิ้งที่เนินใต้เสียให้รู้แล้วรู้รอดไป ตัวหายนะอย่างแท้จริง !”

เนินใต้อยู่ทางใต้ของภูเขาตะวันตก เป็นเนินที่เต็มไปด้วยขยะและเศษซากปฏิกูลต่าง ๆ เมื่อใดที่มีเด็กในหมู่บ้านแถบนี้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรหรือเสียชีวิตอย่างรุนแรงและไม่สามารถฝังเอาไว้ในสุสานของตระกูลได้ พวกชาวบ้านก็จะนำศพเหล่านี้ไปฝังไว้ที่นั่น

นางหลี่ไม่กล้าพูดเสียงดัง สองพี่น้องที่อยู่ในห้องตะวันตกจึงไม่ได้ยิน เสี่ยวเหลียนกำลังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนที่นางพบกับนายน้อยร้านเจินซิวให้ฟังอย่างตื่นเต้น

“น้องสามต้องไม่เชื่อเป็นแน่ว่ามันตลกถึงเพียงไหน นายน้อยจากตระกูลโจวนั่นคว้าตัวข้าทันทีที่เจอหน้าแล้วเรียกข้าว่า ‘เสี่ยวเฉา’ ! เขาบอกด้วยว่าเขาจะทำธุรกิจอย่างหนึ่งเลยอยากรู้ว่าข้าสนใจจะร่วมด้วยหรือไม่ ตอนนั้นข้ากำลังตกใจเลยมิทันได้ตอบอันใด พอข้าคิดจะแกล้งเป็นเจ้าท่านพ่อก็ดันบอกความจริงเขาไปเสียก่อน พอคุณชายสามโจวรู้ว่าข้าเป็นฝาแฝดของเจ้า เขาก็มีสีหน้าตกใจแล้วก็ประหลาดใจ อีกทั้งก็พูดแค่ว่า ‘เหมือน  เหมือนกันเอาเสียมาก ๆ ! ’ เจ้าคงคิดมิออกว่าตอนนั้นหน้าเขาตลกมากเพียงใด !”

หยูเสี่ยวเฉารอจนพี่สาวของนางเอ่ยจบแล้วค่อยเอ่ยขึ้นว่า “เสี่ยวเหลียน คุณชายสามโจวบอกว่าเขามีธุรกิจที่อยากคุยกับข้างั้นรึ ? เขาได้บอกหรือไม่ว่าธุรกิจอันใดกัน ?”

“ไม่นะ เขามิได้บอก ! ตอนที่รู้ว่าข้ามิใช่เจ้า เขาคงคิดว่าบอกข้าไปก็เสียเวลาเปล่า อ่า ใช่  น้องสาม ! พวกเขาเรียนวิธีทำซอสหอยนางรมที่เป็นอาหารจานเด็ดของร้านเจินซิวมาจากเจ้าจริง ๆ รึ ? ท่านพ่อบอกว่าพญายมราชเอาตัวเจ้าไปผิดเลยให้ความรู้พวกนั้นมาเพื่อชดเชยให้กับเจ้า ที่ท่านพ่อกล่าวนั้นจริงหรือไม่ ? เจ้าต้องบอกข้ามาให้หมด !”

หยูเสี่ยวเฉาคิดไว้แล้วว่าวันหนึ่งคนในครอบครัวของนางจะต้องรู้เรื่องนี้ นางจึงได้เกลาเรื่องที่นางปั้นไว้ให้เนียนรอเอาไว้อยู่แล้ว นางเล่าเรื่องที่ไปพบกับพญายมราชให้เสี่ยวเหลียนฟังราวกับว่านางกำลังนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ และนางยังย้ำเตือนเสี่ยวเหลียนให้ระวังมิให้คนนอกรู้เข้า เยี่ยงนั้นแล้วนางจะกลายเป็นตัวประหลาดในสายตาของผู้อื่นทันที

เสี่ยวเหลียนเม้มปากและเลิกคิ้ว “เจ้าจำตอนที่ได้รับบาดเจ็บแล้วฟื้นขึ้นมาแล้วความจำเจ้าหายไปได้หรือไม่ ? ท่านป้าใหญ่เที่ยวบอกทุกคนในหมู่บ้านเลยว่าวิญญาณของเจ้าส่วนหนึ่งถูกปีศาจเอาไปแล้ว เจ้าก็เลยจำเรื่องในอดีตมิได้ ท่านป้าใหญ่ยังบอกอีกด้วยว่าคนที่วิญญาณไม่สมบูรณ์จะดึงดูดพวกปีศาจได้มากที่สุด พวกเด็ก ๆ ส่วนใหญ่ในหมู่บ้านก็เลยกลัวเจ้ากันหมด แล้วพวกนั้นก็พาลพากันอยู่ห่าง ๆ จากข้าอีกด้วย...”

นางหลิวยืนตัวสั่นอยู่นอกประตูด้วยความโกรธ ‘คนปากสว่างอย่างนางหลี่ ! ชอบปล่อยข่าวลือเลว ๆ เรื่องบ้านสอง แต่ครั้งนี้ถึงกับปล่อยข่าวลือน่ากลัวถึงเพียงนั้น ถ้าเรื่องนี้รู้กันไปทั่วทุกบ้าน แล้วลูกสามจะแต่งงานได้เยี่ยงไร ? ลูกที่น่าสงสารของแม่ถูกพาตัวไปปรโลก เจ้าจะรู้สึกกลัวมากถึงเพียงไหนกัน ! ’

จากนั้นนางก็ได้ยินหยูเสี่ยวเฉาที่อยู่ในห้องตอบกลับว่า “ลิ้นของท่านป้าใหญ่ต้องเคยถูกตบด้วยส้นรองเท้าเก่า ๆ เป็นแน่ ! มิกลัวถูกดึงลิ้นในนรกรึเยี่ยงไรกัน ? เสี่ยวเหลียนมิต้องไปฟัง ! ที่ข้าจำอันใดมิได้เพราะข้าได้ลองจิบน้ำแกงยายเมิ่ง‏‏ (น้ำแกงลืมภพของยายเมิ่งที่ทำให้วิญญาณกินเพื่อลืมอดีต) เข้าไปต่างหากเล่า !”

“น้องสาม พญายมราชน่ากลัวหรือไม่ ? มิได้มี 4 ตา 2 ปากใช่หรือไม่ ?” เสี่ยวเหลียนเป็นแค่เด็ก 8 ขวบเท่านั้น เป็นเรื่องปกติที่นางจะอยากรู้เรื่องราวหรือนิทานใหม่ๆ

เสี่ยวเฉาหยิกแก้มเสี่ยวเหลียนที่ถลาเข้ามาใกล้แล้วหัวเราะออกมา “พญายมราชเป็นเทพที่อยู่ในปรโลก ร่างกายของท่านก็เป็นมนุษย์เช่นเรานี่แหละแต่สง่างามกว่าพวกเรามากนัก วังของนรกของใหญ่โตอลังการยิ่ง แต่ด้านในกลับมืดสลัว บรรยากาศน่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวจริง ๆ ก็คือนรก 18 ขุม ข้าได้เห็นถึงขุมที่ 3 เพียงเท่านั้น มิกล้ามองลงไปลึกกว่านั้น...แต่เจ้ามิต้องกลัวไปหรอก ที่พวกนั้นมีไว้สำหรับลงโทษพวกคนชั่วเท่านั้น !”

“อ่า ข้าเข้าใจแล้ว !” เสี่ยวเหลียนพยักหน้ารัว ๆ แล้วพึมพำเบา ๆ อยู่ในใจ ‘ท่านป้าใหญ่กับท่านพี่ไห่สือชอบรังแกท่านแม่กับพวกเรา พวกเขาจะต้องโดนลงโทษในนรกเป็นแน่ ! ’

เมื่อเห็นเสี่ยวเหลียนเชื่อนางอย่างสนิทใจ หยูเสี่ยวเฉาจึงเอ่ยต่ออีกว่า “ในวังนรกข้าได้พบกับเทพแห่งโชคลาภอีกด้วย ! เขาสวมชุดสีแดงกับหมวกโชคลาภสีแดง มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าราวกับว่าเขาอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา พอเขาได้ยินว่าข้าถูกพาตัวมาผิด เขาจึงยิ้มแล้วลูบหัวข้า แล้วบอกว่าจะชดเชยให้...แล้วอยู่ ๆ ก็มีความรู้แปลก ๆ เข้ามาในหัวของข้า ข้าคาดว่าน่าจะเป็นเพราะเทพแห่งโชคลาภใส่ความรู้พวกนั้นเข้ามา ข้าจึงได้รู้ถึงวิธีการทำซอสหอยนางรม !”

เสี่ยวเหลียนส่งเสียง ‘อ่า’ ออกมาทันทีและเอ่ยเบา ๆ ว่า “น้องสาม เจ้ามิเคยเข้าครัวมาก่อนในชีวิต อีกทั้งยังแทบจะมิเคยเห็นหอยนางรมด้วยซ้ำ แล้วอยู่ ๆ เจ้าก็สามารถทำซอสหอยนางรมได้ เจ้าได้คิดไหมว่านี่เป็นสิ่งที่เทพแห่งโชคลาภมอบให้กับเจ้า ?”

เสี่ยวเฉาเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป จากมุมมองของเสี่ยวเหลียน มันหมายความว่าน้องสาวของนางยอมรับเป็นนัย ๆ แล้ว

“เยี่ยงนั้น...เทพแห่งโชคลาภจะมิให้ความร่ำรวยกับพวกเราหน่อยรึ ? นี่ถ้าพวกเรารวยขึ้นมา ข้าจะกินหมั่นโถวแป้งขาวแล้วก็ซื้อซาลาเปาเนื้อกับเกี๊ยวกินทุกวันอย่างแน่นอน !” เสี่ยวเหลียนกลืนน้ำลายแล้วแสดงความน่าออกมาทางสีหน้า

นางหลิวผลักประตูเข้ามาแล้วกอดสองพี่น้องเอาไว้ นางถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “แม่มิอยากรวย ความปรารถนาเดียวของแม่ก็คือขอให้เฉาเอ้อร์มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ให้ลูก ๆ ทุกคนโตขึ้นอย่างสงบสุข แค่นั้นก็ทำให้แม่มีความสุขมากที่สุดแล้ว !”

“ท่านแม่ได้ยินหมดแล้วรึ ?” หยูเสี่ยวเฉารู้สึกเศร้าใจ นางมิได้ตั้งใจให้แม่ที่แสนจะใจดีและรักนางต้องเป็นห่วง

“เด็กโง่ วันหน้ามีเรื่องอันใดในใจอย่าได้ปิดบังแม่อีก เจ้าต้องบอกกล่าวให้แม่รู้ด้วย ถึงแม่มิเก่ง แต่แม่ก็จะสละชีวิตเพื่อปกป้องพวกเจ้าเอง !”

นางหลิวรับรู้ได้ว่าลูกสาวคนเล็กของนางกลัวว่านางจะเป็นห่วง จึงไม่ยอมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นางฟัง นางจึงน้ำตาคลอขึ้นมาทันที ลูกสาวตัวน้อยที่บอบบางที่สุดของนางมักจะคิดถึงนางอยู่เสมอแม้กระทั่งตอนที่ป่วยอยู่เช่นนี้ นี่หมายความว่านางมิมีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นแม่รึ ? มิได้การแล้ว นางจะต้องเข้มแข็งให้มากยิ่งขึ้น ต้องเป็นแม่ที่ลูก ๆ สามารถพึ่งพาได้ !

เอาล่ะ ! สมาชิกหลัก 3 คนของครอบครัวนางยอมรับเรื่องที่แต่งขึ้นแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือนางยังเป็นเด็ก การอธิบายถึงปรโลกและเหตุการณ์ต่าง ๆ นั้นละเอียดถูกต้องและแม่นยำเป็นอย่างมาก จึงเป็นไปมิได้ที่ผู้อื่นจะไม่เชื่อนาง

เป็นธรรมดาที่นางหลิวจะย้ำเตือนลูก ๆ ทั้งสองคนด้วยกลัวว่าพวกเขาจะไม่รู้ถึงความร้ายแรงของผลที่ตามมาหากเรื่องนี้ได้รั่วไหลออกไป หากเป็นเช่นนั้นลูกสาวทั้งสองของนางจะต้องเจอปัญหาอีกมากเลยทีเดียว

2 วันผ่านไป ในช่วง 2 วันนี้หยูเสี่ยวเฉาถูกห้ามออกไปนอกห้อง นางนึกถึงเรื่องธุรกิจที่คุณชายสามโจวเอ่ยถึงอยู่ตลอดเวลา ถ้านางสามารถทำธุรกิจกับตระกูลโจวที่เป็นพ่อค้าใหญ่ได้ ความทุกข์เรื่องเงินของนางก็จะถูกขจัดไปได้เสียที ถึงจะยืนยันเต็มสิบส่วนไม่ได้ว่านางจะไม่สูญเสียเงิน แต่อย่างน้อยนางก็มั่นใจถึงแปดในสิบส่วนว่านางจะได้มิมีทางสูญเสียเงิน

ความรู้สึกไม่สบายใจนั้นทำให้นางรู้สึกเหมือนมีลูกแมวตัวเล็กอยู่ในใจคอยข่วนนางไม่หยุด โชคดีที่คุณชายสามโจวไม่ปล่อยให้นางรอนานเกินไป วันที่ 3 เขาจึงมาถึงบ้านของนาง

คุณชายผู้งามสง่าในชุดหรูหราทันสมัยนั่งอยู่บนหลังม้า ด้านหลังคือผู้ช่วยที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นชนชั้นสูง แต่กระนั้น ชายชราอายุประมาณ 50 ปีก็คอยเดินตามคุณชายผู้นั้นอยู่ตลอด ทันทีที่พวกเขาเข้ามาในหมู่บ้าน ก็ทำให้หมู่บ้านตงชานแทบระเบิดออกด้วยความอยากรู้อยากเห็นของชาวบ้าน

“พวกเขาเป็นใครรึ ?”

“จะไปรู้ได้เยี่ยงไร ? พวกเขามิได้มาหาข้านี่”

“มาหาเจ้า ? ดูสภาพตนเองเสียก่อน มิเหมาะแม้กระทั่งเป็นคนเช็ดรองเท้าของคนพวกนั้นเลยด้วยซ้ำ !”

“คุณชายผู้นั้นหล่อยิ่ง เป็นคนรวยนี่ดีจัง ดูเนื้อผ้าของเขาสิ แค่เงินที่ใช้ซื้อเสื้อผ้าของเขาเพียงชุดเดียวก็คงมากพอจะเลี้ยงพวกเราได้ทั้งปี !”

“เขาเป็นพวกชนชั้นสูงในเมืองเป็นแน่ ! ดูชุดที่ผู้ช่วยเขาใส่สิ มันสง่างามกว่าชุดที่เศรษฐีหวังใส่เสียอีก ไม่รู้ว่าที่คนพวกนี้มาหมู่บ้านตงชานนี่เป็นเรื่องดีหรือมิดีกันแน่”

“เขามาหาใครรึ ? บ้านของหยูไห่ ? ช่วงหลายวันมานี้ หยูไห่เข้าเมืองไปขายสัตว์ทุกวัน  เขาได้ไปล่วงเกินชนชั้นสูงเข้าหรือไม่ ?”

“อย่าเดามั่วไปเรื่อยสิ เจ้าก็น่าจะรู้ว่าหยูไห่เป็นคนเยี่ยงไร ? เขาจะไปก่อเรื่องได้เยี่ยงไรกัน ! ดูจากสีหน้าของคุณชายผู้นั้นก็มิเหมือนคนที่จะมาคิดบัญชีแค้นอะไรนี่ เลิกจินตนาการได้แล้ว พอพวกเขากลับไปค่อยไปถามกับหยูไห่เอาก็ได้มิใช่รึ ?”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด