บทที่ 6 เจรจาต่อรอง
“โอ๊ย!”
เจียงอี้ชนกับเสี่ยวนู๋เข้าอย่างจัง นางร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดขณะที่ศีรษะด้านหลังของนางกระทบกับพื้น แต่โชคดีที่ไหวพริบของนางนั้นฉับไว เมื่อนางเห็นนายทหารยังคงพุ่งเป้าไปที่การโจมตีเจียงอี้อีกครั้ง
นางกระโจนไปเกาะขาทหารยามคนหนึ่งไว้อย่างเหนียวแน่น และในเวลาเดียวกันนางก็ตะโกนขึ้นว่า "นายน้อย ไม่ต้องกังวลกับข้าเลย ท่านได้โปรดจงหนีไปเสีย!"
"เสี่ยวนู๋!"
เจียงอี้กระสับกระส่าย และคิดว่าเจียงเสี่ยวนู๋พยายามที่จะทำในสิ่งที่เกินความสามารถของนางไปมากแม้จะขาดความแข็งแกร่งอย่างชัดเจน! แล้วถ้าหากนายทหารนั่นพยายามที่จะเตะนางออกไป นางจะไม่ถูกเตะจนตายใช่หรือไม่?
จิตใจของเจียงอี้ดูเหมือนจะอ่อนไหวง่ายเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อันตรายเช่นนี้ ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาหาเขาทันที
ดูเหมือนว่า ... ในระหว่างการทดลองของเขาเมื่อช่วงบ่ายนั้น เมื่อแก่นแท้พลังสีดำบางส่วนถูกส่งไปยังดวงตาของเขา ห้วงเวลานั้นจะช้าลงไปโดยปริยาย
ข้าจะลองทำมันดู!
ด้วยความคิดนั้น เจียงอี้รีบเคลื่อนย้ายแก่นแท้พลังสีดำไปยังเส้นลมปราณของเขา เขาได้รวมมันเข้ากับแก่นแท้พลังสีน้ำเงินก่อนที่จะส่งพลังทั้งสองขึ้นไปยังเส้นลมปราณที่ตาข้างซ้ายของเขา
ในเวลาเดียวกันเขาก็ถ่ายโอนแก่นแท้พลังสีดำอีกรอบหนึ่งซึ่งนั่นเป็นแก่นแท้พลังสีดำเส้นสุดท้ายที่เหลืออยู่ในตันเทียนของเขา ไปยังมือขวาของเขา
เขารวบรวมแก่นแท้พลังสีดำทั้งห้าเส้นที่เขาได้บ่มเพาะพลังมาในวันนั้น หากเขายังไม่สามารถเอาชนะทหารที่มีพลังขั้นที่สามของขอบเขตฉูติ่งได้
ก็ไม่มีอะไรที่เสี่ยวนู๋และตัวเขาเองสามารถที่จะทำได้อีกแล้ว มีก็เสียแต่ว่าจะต้องอดทนต่อการโจมตีที่จะเข้ามาอีกมากมาย...
ฟึ่บบบ!!!
แสงสีดำนั้นแลบเข้ามาภายในดวงตาข้างซ้ายของเขา ในขณะที่ทุกสิ่งในดวงตาของเขาชัดเจนและสดใสขึ้นราวกับว่าโลกได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง
เหนือสิ่งอื่นใด ... ดูเหมือนว่าห้วงเวลานั้นได้ชะลอช้าลงอย่างแน่นอน
เจียงอี้สังเกตเห็นถึงฝ่ามือภายหน้าดวงตาของเขานั้นยังคงอยู่ในท่ามกลางแรงปะทะที่ช้าลง แต่การเคลื่อนไหวนั้นช้าลงกว่าเดิมจากหลายๆครั้งที่ผ่านมา
นอกจากนี้เจียงอี้ยังเห็นว่าทหารนายนั้นเห็นว่าเสี่ยวนู๋เกาะอยู่ที่ขาของเขา
และเขากำลังรวบรวมแก่นแท้พลังไปที่ขาซ้ายของเขาสำหรับการเตะที่พร้อมจะส่งเสี่ยวนู๋ออกไปไกลๆเขาแล้ว
“พึบบ!”
การถูกครอบงำด้วยความโกรธแค้นอย่างรุนแรงในหัวใจของเจียงอี้และความเจ็บปวดภายนอกที่ทำให้เขารู้สึกเหมือร่างแทบฉีกขาดที่หน้าอกซ้ายของเขา
เจียงอี้ตะโกนเสียงดังขึ้นมาเพื่อที่จะล่อความสนใจของคู่ต่อสู้ในขณะที่เจียงอี้ใช้มือทั้งสองของเขาจับมือของคู่ต่อสู้ไว้แน่นดังเช่นเถาวัลย์ใต้ทะเล
เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว!
คู่ต่อสู้ของเขาวอกแวกด้วยเสียงตะโกนของเจียงอี้และทหารผู้นั้นก็ไม่สนใจเสี่ยวนู๋อีกต่อไป แต่เขากลับหันมาเย้ยหยันเจียงอี้ก่อนที่จะกวัดแกว่งฝ่ามือของเขาไปที่ข้อมือของเจียงอี้
อย่างที่ทหารนั่นรับรู้ได้ ว่าพลังที่แท้จริงของเขาสามารถทำลายกระบวนท่าการต่อสู้ของเจียงอี้ได้ทั้งหมด
เมื่อเทียบกับความสามารถของเจียงอี้ ที่ไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงพลังที่แท้จริงของเคล็ดวิชาการต่อสู้ใดๆได้เลย
"เอาล่ะ! ฝ่ามือม้วนอาภรณ์"
ผลที่ออกมานั้นช่างเป็นสิ่งที่เจียงอี้ต้องการให้มันเป็น!
หากว่ามันเกิดขึ้นเร็วกว่านี้หรือว่าคู่ต่อสู้ของเขากวาดฝ่ามือออกไป จะเป็นฝ่ามือของเขาเอาที่จะได้รับบาดเจ็บเพราะต้องอย่าลืมว่าฝั่งตรงข้ามมีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่าเจียงอี้ถึงสองระดับ
ความเร็วของเขานั้นเร็วเกินไปซึ่งทำให้เจียงอี้ไม่สามารถมองการเคลื่อนไหวของฝ่ามือได้ชัดเจน
แต่สภาพการณ์ในตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ศักยภาพการมองเห็นด้วยตาซ้ายของเขาเปลี่ยนแปลงไปจนทำให้แม้แต่เวลาก็ดูเหมือนว่าจะเชื่องช้าลง
เขาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนและสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของฝ่ามือของอีกฝ่ายได้
นี่ก็หมายความว่าเขาสามารถกำหนดทิศทางของฝ่ามือและสามารถที่จะหลบหลีกมัน นอกจากนี้เขายังมีโอกาสที่จะโจมตีสวนกลับได้อีกด้วย
เจียงอี้เริ่มโคจรแก่นแท้พลังสีดำไปรอบๆมือขวาตรงไปยังด้านบนซ้ายของเขา ดังนั้นเขาจึงสามารถหลบฝ่ามือของคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย
จากนั้นเขาก็หดเกร็งนิ้วมือให้ดูคล้ายกับกรงเล็บและโจมตีออกไป
เขาเหวี่ยงฝ่ามือออกไปและสับไปที่ข้อมือของคู่ต่อสู้
กร๊อบ!
เสียงที่คล้ายกับกระดูกหักดังออกมา การผสานพลังกับแก่นแท้พลังสีดำทำให้พละกำลังของเจียงอี้เพิ่มขึ้นสองถึงสามเท่า
ดังนั้นเขาจึงอ่อนแอกว่าทหารยามที่อยู่ในขอบเขตฉฉูติ่งขั้นที่สามคนนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ด้วยแรงฟาดของฝ่ามือทำให้สามารถหักกระดูกของอีกฝ่ายได้อย่างไม่ยากเย็น
“อ๊ากกก!”
ทหารยามผู้นั้นกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดกลัว จากนั้นเขาก็รีบดึงมือกลับโดยสัญชาตญาณ
แต่จะเป็นไปได้อย่างไรที่เจียงอี้จะปล่อยให้เขาทำเช่นนั้น เขาฟาดมือขวาออกมาอีกครั้งเพื่อใช้ทักษะฝ่ามือม้วนอาภรณ์ในการจับแขนของอีกฝ่ายไว้
จากนั้นก็กระชากร่างของเขามาข้างหน้าพร้อมกับคำราม
“ส่งดวงตาของเจ้ามา!”
สองนิ้วเกือบจะแทงเข้าไปในตวงตาของคู่ต่อสู้ด้วยความเร็วที่ราวกับลูกศร
“เจ้าเหนื่อยที่จะมีชีวิตอยู่แล้ใช่ไหม?!”
ทหารยามผู้นั้นจะตื่นตระหนกเพียงครู่เดียว แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บและแขนขวาก็ถูกเจียงอี้คว้าจีบไว้ แต่เขาก็ยังคงเป็นจอมยุทธในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สาม
ด้วยเหตุนี้ทำให้ความเร็วในการตอบสนองของเขานั้นรวดเร็วจนหน้าตกใจ มือที่เหลืออีกข้างคว้าไปยังสองนิ้วของเจียงอี้ที่กำลังพุ่งเข้ามา
ติดกับข้าล่ะ!
ดวงตาของเจียงอี้ฉายแววคมกริบและจับจ้องไปยังการเคลื่อนไหของคู่ต่อสู้ เขารู้สึกโล่งอกที่ฝ่ายตรงข้ามพยายามคว้ามือของเขา
ทันใดนั้นเองเข่าขวาของเจียงอี้ก็พุ่งไปยังส่วนล่างของทหารยาม
ในเวลานี้ทหารยามผู้นั้นถูกเบนความสนใจโดยสองนิ้วของเจียงอี้ ความรู้สึกโกรธแค้นและตื่นตระหนก เขาจะคาดเดาได้อย่างไรว่าแท้จริงแล้วเป้าหมายของเจียงอี้นั้นจะเป็นกล่องดวงใจของเขา?
หลังจากที่ถูกกระแทกอย่างรุนแรง ทำให้ใบหน้าของทหารยามบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ไหว
สมองและกล่องดวงใจเป็นสองส่วนที่มีรับรู้ความรู้สึกมากที่สุดในร่างกายของมนุษย์ มันจึงมีเทคนิคอย่าง ‘ทำลายจุดยุทธศาสตร์’ และ ‘ลิงชิงลูกท้อ’ แม้ว่าจะเป็นการกระทำที่น่าดูถูก แต่พวกมันก็ยังคงใช้ได้ผลดีอยู่เสมอ
แม้การโจมตีครั้งนี้ของเจียงอี้จะไม่ได้ผสานด้วยแก่นแท้พลังสีดำ แต่ก็นับว่ามีพลังทำลายล้างสูงยิ่ง
ขณะที่ทหารยามยังลงร้องโหยหวน เขารีบถอนมือที่เกือบจะคว้าไปยังมือของเจียงอี้และใช้มันกลับมากุมเป้าของตัวเองแทน
ด้วยโอกาสดีๆเช่นนี้ เจียงอี้คงเป็นคนที่โง่ที่สุดหากเขาไม่ใช้มันในการบดขยี้ศัตรูอย่างสมบูรณ์
มือขวาของเขาปล่อยแขนของอีกฝ่ายที่จับไว้ก่อนหน้านี้ จากนั้นเขาก็มองไปยังเสี่ยวนู๋ที่และตะโกน
“เสี่ยวนู๋!”
เนื่องจากเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ทำให้เจียงอี้และเจียงเสี่ยวนู๋สัมผัสได้ถึงความคิดของกันและกันได้อย่างง่ายดาย
ด้วยการเรียกเพียงครั้งเดียวทำให้เสี่ยวนู๋ตอบสนองในทันที นางปล่อยมือที่จับขาของทหารยามคนนั้นไว้
ในเวลาเดียวกัน เจียงอี้ก็ส่งลูกเตะออกไปยังร่างของทหารยามและส่งร่างเขาลอยบินไปด้านหลัง
ในช่วงพริบตาเดียวเท่านั้น!
เพียงแค่ช่วงสั้นๆไม่กี่วินาที่หลังจากที่ทหารยามในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สามพุ่งเข้ามาจนถึงตอนที่เขาถูกเตะออกไป
ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ทหารยามคนสุดท้ายที่อยู่ด้านนอกคิดที่จะตามสหายของตนไปในไปห้อง
อย่างไรก็ตามเมื่อมองเห็นร่างที่ถูกส่งลอยออกมาด้วยการเตะเพียงครั้งเดียว มันก็ทำให้เขาตกใจและรีบถอยตัวในทันที
เพียงแค่ช่วงสั้นๆ เจียงอี้สามารถจัดการคนสองคนได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้หนึ่งในนั้นยังเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาซึ่งอยู่ในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สาม
เขาไม่โง่พอที่จะลงมือทำอะไรและจบลงด้วยการถูกทุบตี
เจียงอี้สามารถมองเห็นความสับสนและหวาดกลัวในดวงตาของทหารยามผู้นั้นได้อย่างชัดเจน
ด้วยความฮึกเหิม เขาจึงเดินผ่านประตูออกไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหยิ่งยโสและจ้องมองไปยังทหารยามคนสุดท้ายก่อนที่จะกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น
“เข้ามาสิ! ทำไมเจ้าถึงไม่เข้ามาและจับกุมข้าเสียล่ะ?!”
เจียงอี้ทะยานไปข้างหน้าด้วยความดุดัน เนื่องสามารถล้มคนสองคนได้ติดต่อกันโดยอาศัยกำลังของเขาเพียงคนเดียว มันจึงทำให้ทหารยามผู้นั้นตกใจกลัว
ร่างของเขาสั่นสะท้านและก้าวถอยหลังโดยสัญชาตญาณ แต่เพราะไม่ระวังก็เกือบที่จะทำให้เดาสะดุดล้มลงกับพื้น
“ไอ้เศษขยะ! เจ้าต้องการที่จะตายจริงๆใช่ไหม?!”
แต่ถึงอย่างไรเขาก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ความกลัวก่อนหน้านี้ได้สูญสลายไปและถูกแทนที่ด้วยความโกรธ เขาจะไปกลัวไอ้เด็กน้อยนี่ได้อย่างไร?
ทันใดนั้นเองทหารยามก็ยกกำปั้นและเหวี่ยงไปทางเจียงอี้ในทันที
ชิบหายแล้ว!
เจียงอี้รับรู้ได้ทันทีว่าเขาเกิดปัญหาแล้ว เขาใช้พลังของแก่นแท้พลังสีดำไปจนหมดในขณะเดียวกันดวงตาของเขาก็เริ่มพร่ามัวมากขึ้นเรื่อยๆ
เห็นได้ชัดว่าพลังของแก่นแท้พลังสีดำที่อยู่ในดวงตาใกล้หมดลงแล้ว
หากปราศจากแก่นแท้พลังสีดำ เจียงอี้ก็เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตฉูติ่งขึ้นที่หนึ่งเท่านั้น มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะเอาชนะผู้ฝึกยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สอง?
“หยุดก่อน!”
โชคดีที่จู่ๆในเวลานั้นพ่อบ้านก็ตะโกนออกมาเพื่อให้ทหารยามผู้นั้นหยุดมือ
พ่อบ้านนั้นเดินออกมาและดูลังเลเล็กน้อย จากนั้นเขาก็มองเจียงอี้ตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนที่จะเอ่ย
“หมัดมายา? ฝ่ามือม้วนอาภรณ์? ท่านเป็นสมาชิกของตระกูลเจียงใช่หรือไม่? คนรับใช้อันต่ำต้อยเช่นข้าขอบังอาจถามท่านได้หรือไม่ว่าท่านเป็นคนของครอบครัวไหน?”
จู่ๆสายตาของเจียงอี้ก็ดูเยือกเย็นขึ้นมา มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่พ่อบ้านธรรมดาๆผู้หนึ่งจะสามารถจดจำทักษะการต่อสู้ของตระกูลเจียงได้ หรือว่ามีใครบางคนคอยบงการเขาอยู่?
เขาครุ่นคิดอยู่ในใจด้วยความขมขื่น แม้ว่าพ่อบ้านนั้นจะบอกว่าเขาเป็นสมาชิกตระกูลเจียงและไม่มีใครกล้าลงโทษเขาถึงตาย
แต่อย่างไรก็ตามหากเหตุการณ์ในวันนี้เข้าถึงหูตำหนักลงทัณฑ์… มันเป็นเรื่องเล็กน้อยหากเจียงอี้จะถูกลงโทษ แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือเสี่ยวนู๋อาจจะถูกลากเข้ามาเกี่ยว บางทีนางอาจจะต้องรับโทษถึงตายเนื่องจากทำลายชื่อเสียงของตระกูล
เจียงอี้ทำได้เพียงกำหมัดแน่นและควบคุมตนเอง จากนั้นก็ตอบออกไปด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา
“ทำไมเจ้าถึงได้สนใจว่าข้ามาจากครอบครัวไหน? พวกเจ้ากล้าทุบตีสาวใช้ของข้าในวันนี้ ไม่ว่าที่ไหนที่เจ้าจะไปร้องขอความเป็นธรรม แต่ข้าก็ไม่กลัวที่จะเอาคืนพวกเจ้า!”
“ฮ่าๆๆ”
พ่อบ้านผู้นั้นตอบสนองด้วยการหัวเราะเสียงดัง เขาจ้องมองมาที่เจียงอี้และกล่าวตอบอย่างเหน็บแนม
“ความเป็นธรรม? สาวใช้ของท่านทำงานให้กับข้า หรือจะบอกว่าทางเราไม่เคยจ่ายเงินให้นาง? นางทำงานได้แย่มากท่านทราบหรือไม่? ไม่เพียงแค่นางจะทะเล่อทะล่าวิ่งเข้าไปยังส่วนใน แต่นางยังทำลายภาพวาดที่เถ้าแก่หอนางโลมเฟิงเยว่ซื้อมาในราคาแพงหูฉีก”
“นอกจากนี้ เจ้า! ไอ้เด็กเหลือขอ! เจ้าไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นและลงมือทำร้ายทหารยามของหอนองโลมเฟิงเยว่ตามอำเภอใจ!”
“ในเมื่อเจ้าเอ่ยถึงความยุติธรรม เช่นนั้นพวกเราก็ควรไปยังตำหนักลงทัณฑ์เพื่อหาความยุติธรรมนั่นดีหรือไม่?”
“เหอะ… หากเจ้าไม่สามารถหาคำอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นก็อย่าได้คิดว่ามันจะจบลงง่ายๆ”
ในตอนนี้เจียงอี้รู้สึกหวาดวิตกอย่างมากที่รู้ว่าอีกฝ่ายจะรายงายสิ่งที่เกิดขึ้นต่อตำหนักลงทัณฑ์ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆและพยายามที่จะสงบใจ
เขาลบล้างความคิดของตัวเองอย่างรวดเร็ว ไม่ว่ายังไงเขาก็ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับทหารยามสองคนก่อนหน้านี้
นอกจากนี้อีกฝ่ายยังจำทักษะการต่อสู้ของเขาได้ เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวกับเลวร้ายลงแล้ว
“ทำไมตอนนั้นพ่อบ้านคนนี้ถึงไม่ตอบโต้เขาแต่กลับเรียกทหารยามมาแทน? หรือว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่กล้าต่อสู้นานเกินไปและขอเจรจา? แต่ไม่ว่ายังไง ตราบใดที่เขาสามารถปกป้องชีวิตของเจียงเสียวนู๋ได้ เรื่องอื่นๆก็จะกลายเป็นเรื่องรองในทันที”
เจียงอี้ครุ่นคิดอยู่เงียบๆ จากนั้นเขาก็เงยหน้ามองพ่อบ้านและเอ่ยถามอย่างเย็นชา
“เจ้าจะเอายังไง?”
“ง่ายมาก!”
ดวงตาของพ่อบ้านเริ่มฉายแววชั่วร้ายขณะเหลือบมองไปยังเจียงเสี่ยวนู๋ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังเจียงอี้ ก่อนที่จะหัวเราะออกมาและกล่าว
“เจ้าจะยอมให้นังหนูนี่ทำงานในฐานะทาสสิบปี… หรือจะทิ้งมือของตัวเองไว้ที่นี่ข้างหนึ่ง!”
“หืม?!”
ร่างของเจียงเสี่ยวนู๋ที่ยืนอยู่ด้านหลังเจียงอี้เสียงสะท้านอย่างรุนแรง นางกอดแขนของเจียงอี้ไว้แน่นพร้อมกับน้ำที่ไหลออกมาจากดวงตา
นางกัดฟันแน่นและกล่าวออกมาอย่างน่าสงสาร
“นายน้อยนี่เป็นความผิดของข้าเอง ท่านกลับไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”
“เจ้าพูดแบบนี้ออกมาได้ยังไง?! หากข้าไม่สนใจเจ้าแล้วใครจะทำ?”
เจียงอี้หันกลับมามองเจียงเสี่ยวนู๋ อย่างไรก็ตามความคิดของเขาก็ยังคงตกอยู่ในความปั่นป่วน
เมื่อคิดย้อนกลับไปตอนที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของเสี่ยวนู๋ก่อนที่จะเข้ามาในตึก แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเจาะจงสิ่งที่เกิดขึ้นได้แต่เขาก็ยังสามารถคาดเดาบางอย่างได้บ้าง
เห็นได้ชัดว่าพ่อบ้านผู้นี้ต้องการเสี่ยวนู๋ แม้ว่านางจะผอมแห้งและมีสีหน้าที่ซีดเซียวไปบ้าง แต่ก็ยังนับว่าเป็นหญิงสาวที่งดงาม
เช่นนั้น ขอเพียงแค่เขาจับนางแต่งตัวและฝึกฝนสักสองสามปี นางก็พร้อมที่จะใบบริการแขกได้แล้ว
ดังนั้นเขาจึงวางกับดักเพื่อที่จะหลอกให้นางทำงานให้กับหอนางโลมแห่งนี้
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าแผนการของพ่อบ้านจะอุบาทว์บัดซบสักแค่ไหน แต่พวกเจียงอี้ก็ไม่อาจที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้
หากเจียงอี้เลือกที่จะต่อสู้โดยปราศจากพลังจากแก่นแท้พลังสีดำ ก็พูดไม่ได้ว่าทหารยามทั้งสองที่บาดเจ็บอยู่จะไม่สามารถลงมือต่อได้
แม้แต่ตัวพ่อบ้านเองก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนอ่อนแอ ดูเหมือนว่าจะมีเพียงผลลัพธ์เดียวหากเขาเลือกที่จะต่อสู้ นั่นก็คือเจียงอี้อาจจะต้องคลานกลับบ้านด้วยสภาพสะบักสะบอม…
ตระกูลเจียงอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก หากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้แพร่กระจายไปถึงตระกูลเจียง ผลที่ตามมาจะร้ายแรงอย่างมาก ดังนั้นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ก็คือทำตามคำขอของอีกฝ่าย
เป็นแค่ทางเดียวเท่านั้น…
การทิ้งมือไว้ข้างหนึ่งนั้นเป็นไปไม่ได้
การสูญเสียมือหนึ่งข้างจะทำให้เขากลายเป็นคนไร้ประโยชน์อย่างสมบูรณ์
สำหรับตัวเลือกที่จะทอดทิ้งเสี่ยวนู๋ไม่เบื้องหลังและไม่จนใจนางอีกต่อไป? ตัวเลือกนี้คงจะเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย
ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมจ่ายค่าเสียหาย
แต่ปัญหาก็คือ… เจียงอี้ยากจนมากจนไม่สามารถซื้อแม้แต่จะซื้อกางเกงชั้นในตัวใหม่ในช่วงสองปีที่ผ่านมา
แล้วเขาจะมีปัญญาเอาเงินมาจากไหน?!