ตอนที่ 275 หยกวิญญาณสงบเก้าอัตลักษณ์ (ฟรี)
“ศิษย์รู้สึกเป็นพระคุณที่ท่านผู้อาวุโสทั้งสองท่านรักและใส่ใจศิษย์ถึงเพียงนี้ ขอให้ท่านทั้งสองรับการคารวะจากศิษย์ซักคราด้วย” หลงเฉินกล่าวต่อหลิงหวินจื่อและถู่ฟางพร้อมกับโค้งกายทำการคารวะ
ถึงแม้จะเห็นว่าถู่ฟางเล่าเรื่องราวออกมาได้อย่างสงบ แต่หลงเฉินก็พอที่จะคาดเดาได้ว่า ถู่ฟางเองก็คงจะประสบความคับข้องใจอยู่ไม่น้อยอย่างแน่นอน
เพื่อดำเนินการเรื่องของตนเอง ถึงกับทำให้ถู่ฟางผู้มีความยุติธรรมเช่นนี้ ต้องมาอารมณ์เสีย แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมต้องทำให้หลงเฉินเกิดความหวั่นไหวในจิตใจ
“เด็กเอ๋ย เจ้าทำเช่นนี้จะมีแต่ทำให้พวกเราลำบากใจได้นะ” ถู่ฟางกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกละอายใจเล็กๆ ถึงแม้ว่าจะทำเพื่อหลงเฉิน แต่ก็ถือได้ว่าทำไม่สำเร็จ
อีกทั้งการยื่นคำร้องขอตำแหน่งศิษย์ระดับชั้นเลิศให้แก่หลงเฉิน ประโยชน์หาได้ตกอยู่ที่หลงเฉินทั้งหมดไม่ เมื่อหลงเฉินได้รับตำแหน่งศิษย์ชั้นเลิศไป ย่อมต้องสามารถพัฒนาพลังฝีมือได้อย่างก้าวกระโดด อาจจะทำให้การจัดอันดับของหมู่ตึกเปลี่ยนแปลงไป หมู่ตึกพลิกสวรรค์อาจจะมีโอกาสได้รับอันดับที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
หากมองถึงอนาคตและผลประโยชน์ นี่ย่อมต้องเป็นการทำเพื่อหมู่ตึก ดังนั้นที่หลงเฉินเปี่ยมมารยาท แสดงการคารวะอย่างน้อบน้อมเช่นนี้ จึงทำให้หลิงหวินจื่อและถู่ฟางต่างก็ใบหน้าร้อนผ่าว
“หลงเฉิน ถึงแม้จะไม่สามารถยื่นขอตำแหน่งมาให้เจ้าได้ แต่ว่าข้าสามารถรับปากเจ้าได้ว่า ทรัพยากรภายในหมู่ตึกนี้ ให้เจ้าหยิบเอาได้ตามต้องการ” หลิงหวินกัดฟันจื่อกล่าวขึ้นมาอย่างหนักแน่น โดยทันที
“นี่……” ถู่ฟางได้ยิน ก็ตื่นตกใจ ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นถูกต้องหรือไม่ จะกล่าวเป็นประโยคก็อึ้งจนนึกความไม่ออก แสดงหน้าตาลังเลหันมองหลิงหวินจื่อ
“ไม่เป็นไรหรอก สาขาหลักไม่ยอมให้การเลี้ยงดู พวกเราก็มาจัดการกันเองเถอะ ทุกสิ่งทุกอย่างจวบจนผลสุดท้าย ข้าจะแบกรับเอาไว้เอง” หลิงหวินจื่อกล่าวออกมาอย่างเด็ดขาด
ถู่ฟางมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าก็ทราบถึงลักษณะนิสัยของหลิงหวินจื่อดี เมื่อเขาเอ่ยปากกล่าวออกมาเช่นนี้ ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงได้อยู่แล้ว
“หากเช่นนั้น ศิษย์ก็ต้องขอขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสทั้งสอง” หลงเฉินรู้สึกขอบคุณขึ้นมาอีกครั้ง เขาในตอนนี้แน่นอนว่ายังจำเป็นที่จะต้องได้รับการสนับสนุนจากทางหมู่ตึกอยู่
ที่หลงเฉินต้องการแท้จริงแล้ว หาใช่วิชาทักษะยุทธ์ แต่เป็นวัตถุดิบ อีกทั้งยังเป็นวัตถุดิบจำนวนมหาศาลอีกด้วย เพื่อที่จะได้รวบรวมดาราแปรแสงขึ้นมา
ทันใดนั้นหลงเฉินก็นึกถึงเรื่องๆหนึ่งขึ้นมาได้ เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ ล้วงเอาหยกวิญญาณสงบออกมายื่นให้แก่หลิงหวินจื่อและถู่ฟาง แล้วเอ่ยถาม
“ท่านผู้อาวุโสทั้งสอง พวกท่านพอจะทราบถึงที่มาของหยกชิ้นนี้หรือไม่”
เมื่อได้เห็นหยกในมือหลงเฉิน หลิงหวินจื่อและถู่ฟางก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป บนใบหน้าปรากฎแววไม่อยากที่จะเชื่อออกมาอยู่เต็มไปหมด
ทั้งหลิงหวินจื่อและถู่ฟาง ต่างก็มิได้ยื่นมือรับหยกวิญญาณสงบจากหลงเฉินเพื่อดูใกล้ๆ ทำเพียงแต่สำรวจชิ้นหยกนั้นจากมือของ
“นี่.. นี่จะต้องเป็นหยกวิญญาณสงบเก้าอัตลักษณ์ในตำนานเป็นแน่ ข้าเองก็พึ่งเคยเห็นครั้งแรก หลงเฉินเจ้าได้รับหยกชิ้นนี้มาจากที่แห่งใดกัน ?” หลิงหวินจื่อถามขึ้นอย่างตื่นตะลึง
“ช่างเถอะ เจ้าไม่ต้องตอบคำถามข้า ลองบอกสิ่งที่เจ้าต้องการจะถามออกมาเถอะ” เมื่อได้เห็นว่าหลงเฉินกำลังจะตอบกลับ หลิงหวินจื่อกลับกล่าวห้ามปรามขึ้นมา เขาไม่คิดที่จะทราบเรื่องอะไรมากมาย เพราะจะกลายเป็นส่งผลเสียต่อเขาเท่านั้น
หลงเฉินนั้นก็กำลังเกิดอาการลังเล ชั่งใจว่าจะบอกถึงที่มาของป้ายหยกออกไปดีหรือไม่ ถึงแม้จะทราบว่าผู้อาวุโสทั้งสองคนควรค่าแก่การเชื่อมั่น แต่เนื่องจากเรื่องเช่นนี้มีความซับซ้อนมากเกินไป การพูดออกไปอาจมิใช่เรื่องที่ดี
เมื่อเห็นหลิงหวินจื่อไม่ถามไถ่อะไร หลงเฉินก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก แล้วกล่าวออกมา “ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก ศิษย์ต้องการจะรู้ถึง เกี่ยวข้องกับที่มาและประโยชน์ของหยกวิญญาณสงบนี้”
หลิงหวินจื่อหยักหน้าแล้วกล่าว “ความจริงแล้วหยกวิญญาณสงบถือได้ว่าเป็นเครื่องมือพิเศษชนิดหนึ่ง เนื่องจากสามารถแบกรับพลังแห่งจิตวิญญาณเอาไว้ได้ จึงทำให้มีสรรพคุณมากมายมหาศาล
หากกล่าวกันตามระดับที่มีรับการจัดแบ่งไว้ จะแบ่งออกเป็นห้าขั้น แต่เพื่อที่จะทำให้แยกแยะและจดจำได้ง่าย ระดับของพวกมันจึงถูกแบ่งออกไปตามสี ไล่เรียงเป็นขาว ฟ้า เหลือง เขียว ม่วง
จากที่ไล่เรียงมา ก็จะขอพูดถึงคุณสมบัติของมันต่ออีกซักหน่อย หยกวิญญาณสงบถือได้ว่าเป็นวัตถุที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตัวมันเองสามารถดูดซับพลังแห่งฟ้าดินเอาไว้ได้ และยังสามารถอยู่ในสภาพเดียวกับวิถีแห่งยุทธ์ของมนุษย์เราอีกด้วย
ในทุกๆระดับขั้นที่พัฒนาขึ้นยังเป็นที่แน่นอนอีกด้วย ซึ่งจะเผยออกมาเป็นอัตลักษณ์ ยิ่งมีอัตลักษณ์มากเท่าไหร่ ก็จะสิ่งสามารถแบกรับพลังแห่งจิตวิญญาณเอาไว้ได้มากขึ้นเท่านั้น
ยิ่งมีพลังในระดับสูง หยกวิญญาณสงบก็จะยิ่งมีคุณสมบัติที่มากขึ้น หรือก็คือยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น ทว่าหยกวิญญาณสงบโดยส่วนมากแล้ว มักจะนำมาใช้เพื่อเป็นป้ายหยกเคลื่อนย้าย
หากเป็นหยกขาววิญญาณสงบ จะสามารถใช้เดินทางในระยะทางที่ห่างไกลได้หลายสิบหมื่นลี้ และยิ่งเป็นหยกขาววิญญาณสงบที่มีเก้าอัตลักษณ์ ก็ถึงขั้นที่จะเดินทางได้ไกลกว่าเก้าสิบหมื่นลี้เลยทีเดียว
ถึงแม้จะกล่าวว่าหยกวิญญาณสงบแบ่งออกเป็นขาว ฟ้า เหลือง เขียว ม่วงทั้งหมดห้าระดับขั้น แต่ข้าเคยเห็นเพียงแค่หยกขาวกับหยกฟ้าเท่านั้น ที่เหลือก็เพียงแต่เคยได้ยินได้ฟังมาเท่านั้น
หยกฟ้าวิญญาณสงบมีความสามารถในการเคลื่อนที่ได้มากถึงร้อยหมื่นลี้ขึ้นไป ทว่าหยกฟ้านั้นถือได้ว่าล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่หมู่ตึกของพวกเราเองก็ยังไม่มี จะมีก็แต่เพียงแค่สาขาหลักเท่านั้น
ได้ยินมาว่าหยกเหลืองวิญญาณสงบ นอกจากความสามารถในการเคลื่อนย้ายแล้ว ยังมีความสามารถอื่นๆอยู่อีก แต่ในรายละเอียดนั้นยังไม่มีผู้ใดรู้ ส่วนหยกม่วงวิญญาณสงบระดับเก้าอัตลักษณ์ เหอะเหอะ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง”
หลงเฉินได้ฟังจบ ก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากตาค้าง หมู่ตึกที่แบ่งออกเป็นทั้งหมดหนึ่งร้อยกับอีกแปดหมู่ตึก ถือเป็นขุมกำลังที่สืบต่อกันมายาวนานหลายสิบหมื่นปี ยังมีเพียงแค่หยกเขียวเท่านั้น
เช่นนั้นหยกวิญญาณสงบที่บิดามารดาได้ทิ้งเอาไว้ให้แก่เขานี้ ก็ถือได้ว่าน่าตื่นตกใจมากจนเกินไปแล้ว บิดามารดาที่แท้มีที่มาอย่างไรกัน ถึงกับสามารถครอบครองหยกม่วงวิญญาณสงบที่สูงส่ง และยังทิ้งเอาไว้เป็นเครื่องรางให้กับเขาได้
สิ่งที่เขาได้รับรู้นี้ ทำให้หลงเฉินรู้สึกทั้งยินดีทั้งลำบากใจไปพร้อมกัน ที่น่ายินดีก็คือ น่าจะมีหนทางในการค้นหาที่มาของบิดามารดาได้ ทว่าที่ลำบากก็คือ เส้นทางสายนั้นกลับยาวไกลมากจนเกินไป ยาวไกลจนสุดลูกหูลูกตา ไม่ทราบว่าต้องใช้เวลานานเท่าใดจึงจะสามารถเดินไปจนถึงปลายทางได้
“เมื่อไม่อาจที่จะยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวิทยายุทธ์ ก็จงอย่าได้เสาะหาชาติกำเนิดของตนเองโดยเด็ดขาด”
ในห้วงความคิดของหลงเฉิน ปรากฎคำพูดของยอดฝีมือที่น่าหวาดกลัวผู้นั้นขึ้นมา คำพูดที่เขาทิ้งเอาไว้ แท้จริงแล้วก็มีความหมายเช่นนี้นี่เอง
ตนเองในขณะนี้ยังคงอ่อนแอเกินไป เรื่องราวที่ได้รับรู้นี้ทำให้จิตใจของหลงเฉินเกิดความหนักอึ้งขึ้นมา เขาร่ำลาเจ้าสำนักกับถู่ฟาง แล้วย้อนกลับมายังพรรคแห่งฟ้าดิน
ถู่ฟางกับหลิงหวินจื่อมองตามแผ่นหลังของหลงเฉินที่เดินจากไป หลิงหวินจื่อถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง แล้วกล่าว “ไม่แปลกใจเลยที่หลงเฉินอายุเพียงแค่นี้แต่มีความเป็นผู้ใหญ่มากถึงเพียงนี้ ดูเหมือนสิ่งที่เขาต้องแบกรับ คงจะมากเกินกว่าที่พวกเราคาดคิดไว้มากมายนัก”
ถู่ฟางเองก็ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง แล้วกล่าว “ขอรับ คนมากมายมองเห็นแต่ด้านที่แข็งแกร่งของเขา จะมีสักกี่คนกันที่รู้ว่า เขาต้องแบกรับภาระที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เอาไว้ ทั้งยังต้องสูญเสียอะไรไปมากแค่ไหนอีก”
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านคิดที่จะทำการสนับสนุนหลงเฉินด้วยกำลังทั้งหมดจริงอย่างนั้นหรือ ? หรือว่าท่านไม่เกรงกลัวผลลัพธ์ที่จะเกิดจากวิถีแห่งฟ้าแล้วอย่างนั้นหรือ ?”
หลิงหวินจื่อยกยิ้มบางเบาแล้วกล่าว “ย่อมหาได้เกรงกลัวไม่ ข้ามิใช่บอกไปแล้วหรือว่า ต่อให้มีผลลัพธ์อะไรตามมา ข้าจะแบกรับเอาไว้ทั้งหมดเอง”
ข้าหลิงหวินจื่อไร้บุตรชายหญิง ท่านอาจารย์ก็ลาโลกไปแล้ว ข้าเองก็มิได้มีศิษย์ส่วนตัว ต้องทัณฑ์จากวิถีสวรรค์แล้วจะอย่างไร ? อย่างมากก็แค่ช่วงชิงชีวิตของข้าไปได้เท่านั้นเอง มีอะไรให้ต้องกลัวอย่างนั้นหรือ ?
การที่ข้าสามารถเป็นประจักษ์พยานในการเติบใหญ่ของอี่ซูคนหนึ่งได้ สิ่งนี้แต่เดิมทีแล้วก็ถือได้ว่าเป็นวาสนาที่เย้ยสวรรค์อย่างหนึ่งอยู่แล้ว หรือไม่การที่หลงเฉินปรากฏตัวขึ้นที่ต่อหน้าข้า ก็คงจะเป็นลิขิตของสวรรค์อย่างหนึ่งก็เป็นได้
ในเมื่อผู้ใดก็มิอาจที่จะทราบได้ว่า สุดท้ายแล้วจะเป็นเช่นไร แล้วใยจึงต้องมาหวาดระแวงกันด้วยเล่า มิสู้หลับตาสู้ให้มันผ่านไปเถอะ อะไรมันจะเกิดมันก็ต้องเกิดอยู่ดี ! ”
ถู่ฟางหัวเราะอย่างขมขื่นแล้วกล่าว “ยังไงซะการที่ข้าบอกก็เพราะหวังดีต่อท่าน”
หลิงหวินจื่อกล่าวต่อไปว่า “ลิขิตสวรรค์ยากคาดเดา ขอบเขตที่ยิ่งกว้างไกล ก็ยิ่งยากที่จะเข้าใจวิถีแห่งฟ้าได้ การจะศึกษาวิถีแห่งฟ้าอย่างละเอียดก็ยากเกินไป มิสู้ ‘คิดที่จะทำอะไรก็ทำ’ เสียยังจะดีกว่า
ข้าจะทุ่มเทพลังทั้งหมดบ่มเพาะสร้างหลงเฉินเอง เชอะ ศิษย์เหล่านั้นของหมู่ตึกอื่นๆถือเป็นอะไรได้ ข้าเองก็รอคอยวันที่หลงเฉินจะได้เข้าสู่การประลองครั้งต่อไปอยู่เหลือเกิน เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะทุบตีให้ฟันของพวกเขาร่วงจนหมดปากเลยทีเดียว”
“นี่ท่านเดิมพันจนติดลมเกินไปแล้วใช่หรือไม่” ถู่ฟางกล่าวออกมาอย่างเอือมระอา น้ำเสียงแฝงด้วยความอับจนปัญญาอยู่บางส่วน
“ใช่ ติดลมไปบ้างแล้ว ช่วงนี้ข้าเองก็รู้สึกเหมือนกับพลังที่ติดอยู่ที่ส่วนปลายเริ่มที่จะคลายตัวลงไปมากแล้ว ข้าเองก็มีความเป็นไปได้ที่จะต้องเก็บตัวเพื่อทะลวงพลังแล้วเช่นกัน ครั้งนี้ข้ารู้สึกว่าน่าจะมีความเป็นไปได้สูงถึงสามส่วนเลยทีเดียว” หลิงหวินจื่อกล่าวออกมาพร้อมกับดวงตาที่สาดประกายความเชื่อมั่น
“สูงถึงเพียงนี้เชียวงั้นหรือ ?” ถู่ฟางแตกตื่นขึ้นมา
“ชัยชนะครั้งใหญ่นี้ของหลงเฉิน ได้ปลุกความเชื่อมั่นที่ดับมอดของข้าให้ลุกโชนกลับมาแล้ว เหอะ ถ้าหากครั้งนี้ข้าทำสำเร็จแล้วละก็ ในการประลองครั้งต่อไป จะขอตบปากตาแก่ใกล้ลงโลงเหล่านั้นซักฉาดใหญ่เลยคอยดู” หลิงหวินจื่อกล่าวขึ้นมาพร้อมกับส่งเสียงดัง ชิ!
“เอ๊ะ ใช่แล้ว ลืมบอกกับหลงเฉินไปเลย ว่าเรื่องการขอยื่นเป็นศิษย์ระดับชั้นเลิศ อย่าได้แพร่งพรายบอกต่อผู้อาวุโสชางหมิงโดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นหากปล่อยให้ท่านผู้อาวุโสชางหมิงทราบเข้า จะต้องบุกไปล้างบางหมู่ตึกหลักอย่างแน่นอน” ถู่ฟางนึกขึ้นได้ กล่าวพร้อมตบไปที่หน้าขาเสียงดังฉาดใหญ่
“เจ้าน่ะคิดมากเกินไปแล้ว หลงเฉินหาได้เป็นคนปากพร่อยเช่นนั้นไม่ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะบอกเรื่องนี้แม้แต่กับใครเลยด้วยซ้ำ” หลิงหวินจื่อส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวออกมา
“ข้าตอนนี้จำเป็นที่จะต้องไปเก็บตัวเพื่อฝึกฝนแล้ว เรื่องภายในหมู่ตึก มอบให้เจ้าดูแลก็แล้วกัน จำเอาไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่หลงเฉินร้องขอ แม้แต่กวาดทุกสิ่งจนหมู่ตึกไม่หลงเหลืออะไรก็ตาม ก็ต้องมีให้แก่เขาให้ได้” หลิงหวินจื่อกล่าวกับถู่ฟาง
ทว่าถึงแม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่ก็เชื่อมั่นว่า คนอย่างหลงเฉิน จะต้องไม่ทำเรื่องที่เกินเลยอย่างแน่นอน
ถู่ฟางพยักหน้ารับ แล้วกล่าวขึ้นมา “แล้วทางผู้อาวุโสซุน……”
“ช่างเถอะ เจ้าอย่าได้ไปสนใจ หลงเฉินพอใจที่จะตอบแทนกลับไปอย่างไรก็ตอบแทนกลับไปเช่นนั้นเถอะ นี้ต่างก็เป็นชีวิตของเขา”
ถู่ฟางออกมาจากถ้ำของหลิงหวินจื่อ หยุดยืนที่ปากทางเข้า มองไปยังภาพทิวทัศน์ของหมู่ตึกที่อยู่ทางด้านล่าง ถึงแม้ว่าภาพทิวทัศน์จะยังคงเป็นเหมือนดั่งเช่นที่เคยเป็นมา แต่ถู่ฟางกลับรู้สึกได้ว่า ทั่วทั้งหมู่ตึกราวกับกำลังจะเกิดความเปลี่ยนแปลงที่พลิกฟ้าสะเทือนพสุธาเลยทีเดียว
หลงเฉินเมื่อกลับมาถึงยังพรรคฟ้าดิน ก็พบว่าศิษย์ทั่วทั้งหมู่ตึก ต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่หน้าประตูพรรคฟ้าดิน สุราชั้นดีถูกตระเตรียมเอาไว้พร้อมสรรพ รอคอยให้หลงเฉินกลับมา
เมื่อเห็นหลงเฉินปรากฎกายขึ้น ศิษย์ทั้งหมดก็ส่งเสียงดังร้องต้อนรับ หลงเฉินที่เดิมทีกำลังอยู่ในสภาวะอัดอั้นตันใจ แต่เมื่อพบไมตรีของทุกคน เพียงพริบตาเดียวก็เหมือนความอัดอั้นและหดหู่ที่เต็มแน่นอยู่ในใจถูกกวาดทิ้งไปจนหมดสิ้น
“พี่ใหญ่ เจ้าเด็กน้อยพวกนี้กำลังวางแผนคิดที่จะมอมเหล้าให้ท่านเมามาย” ศิษย์คนหนึ่งในกลุ่มของกัวเหริน เมื่อได้เห็นหลงเฉินเดินเข้ามา ก็แสดงหน้าตาประจบสอพลอแล้วกล่าว
“สามหาว เจ้ากัวเหริน! เจ้านี่คิดที่จะทรยศกันแล้ว เหตุใดถึงได้เปลี่ยนแปลงเป็นคนพลิกลิ้น ได้เร็วถึงเพียงนี้กัน” แล้วก็ได้มีคนก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้นมาด้วยโทสะ
“พูดเป็นเล่นอะไรกัน ข้ากับพี่ใหญ่แน่นอนว่าย่อมต้องใจเดียวกัน มีหรือที่จะเปื้อนมลทินไปพร้อมกับพวกเจ้าได้” กัวเหรินกล่าวอย่างไม่รู้สึกรู้สา พร้อมทั้งแสดงสีหน้ามุ่งมั่น
หลงเฉินเมื่อได้มองไปที่ผู้คนภายในขบวน มีหรือที่จะไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ? จึงได้หัวเราะฮาฮาขึ้นมาแล้วกล่าว “ก็แค่ดื่มสุราเองมิใช่หรือ ? ข้าหลงเฉินเคยเกรงกลัวผู้ใดบ้าง ? มา ข้ากับกัวเหรินจะดวลกับพวกเจ้าทั้งกลุ่มเอง”
ทุกคนนั้น เมื่อพบว่าหลงเฉินทราบถึงเป้าหมายที่แท้จริงแล้ว อีกทั้งยังตบปากรับคำในทันที ความใจกว้างเช่นนี้ ไม่ต่างไปจากหลงเฉินที่อยู่ในสนามรบเลยทีเดียว จึงอดไม่ได้ที่จะโห่ร้องขึ้นมาด้วยความยินดี
“มาเลย มอมหลงเฉินให้หมอบกันเลย”
“พี่น้องทั้งหลาย ขึ้นมากันเลย”
ถังหว่านเอ๋อ เยี่ยจื่อชิวและเหล่าสตรีคนอื่นๆ แม้ว่าจะไม่ชมชอบการดื่มสุรา ก็ยังหัวเราะคิกคักพรางจิบสุราในชาม
ความสำเร็จในการต่อสู้ครั้งนี้ มิได้ง่ายดายเลยแม้แต่น้อย ศิษย์หมู่ตึกเองก็ต้องสละชีพไปกว่าครึ่ง ทุกคนต่างก็เตรียมใจ ร่วมแรงร่วมใจพร้อมที่จะแบกรับความเจ็บปวดเอาไว้แล้ว
หลังจากกลับมาถึง ทุกคนต่างก็รอคอยกันอย่างเงียบสงัด การกลับมาของหลงเฉินในครั้งนี้ เหมือนทำให้พวกเขาได้ค้นพบสิ่งที่สำคัญ สาบานว่าจะต้องร่ำสุรากับหลงเฉินให้มีความสุข ถือเป็นการระบายอารมณ์ที่อัดอั้นอย่างหนึ่ง
กัวเหรินทราบถึงเป้าหมายของทุกคนดีอยู่แล้ว มีหรือที่จะไม่ช่วยเหลือสหายพวกพ้อง แต่เมื่อพบหน้าหลงเฉิน กลับหาได้ทำตามแผนการที่วางเอาไว้ทั้งหมดไม่
นับตั้งแต่แรก เขายังคิดเอาไว้ว่า หลงเฉินจะต้องคิดที่จะลากพี่น้องของพรรคฟ้าดินเข้าไปเป็นพวก เพื่อเตรียมการรบกับศึกร่ำสุราในครั้งนี้
ทว่าขณะนี้บนสนามรบ กลับมีตนเองเพียงคนเดียวที่เป็นพวกเดียวกันกับหลงเฉิน กัวเหรินใบหน้าเขียวคล้ำขึ้นมา ด้วยความสามารถเชิงสุราของเขาที่ดีกว่าการทานข้าวแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น คงแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากการต้องร่ำสุราจนตายไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว
ทันใดนั้น กัวเหรินจึงตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “พี่น้องทั้งหลาย ตอนนี้ข้าได้แทรกซึมเข้าสู่ภายในกองทัพศัตรูแล้ว และสามารถล่วงรู้กลศึกของเขาได้ ข้าจะประกาศให้รู้ว่าหลงเฉินมีกำลังเพียงแค่คนเดียว ทั้งยังไม่มีกำลังสนับสนุนใดๆ ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย อย่าได้ไปกลัว ลุยกันเข้าไปเลย!!”
กัวเหรินประกาศจบก็ยกชามสุราขึ้นมา ปั้นหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวแล้วกล่าวกัหลงเฉิน “มาเถอะ พี่ใหญ่ ข้าขอคารวะต่อท่านหนึ่งจอก”
“สามหาว กัวเหรินเจ้า ยิ่งนานวันเจ้ายิ่งเหิมเกริมเกินไปแล้ว” หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะด่าทอออกมา
“พี่ใหญ่ นี่มิใช่เรียนรู้มาจากท่านหรอกหรือ ลูกผู้ชายต้องยืดได้หดได้” กัวเหรินกล่าวจบ ก็ยกถ้วยสุราดื่มเข้าไปจนหมดเกลี้ยง
จากนั้นก็ประกาศเสียงดังด้วยจิตใจที่ฮึกเหิมว่า “พี่น้องทั้งหลาย มาเถอะ ข้ากัวเหรินเป็นหัวขบวนให้แล้ว ที่เหลือก็ต้องฝากพวกเจ้าแล้วล่ะ”
“เจ้าน่ะ รีบไสหัวไปเลย”
แล้วก็ได้มีมือข้างหนึ่งยื่นเข้ามา ผลักไสกัวเหรินออกไป กู่หยางปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าหลงเฉิน “ข้ากู่หยาง ก็ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ข้าไม่เชื่อหรอกว่าความสำเร็จแม้แต่ในเชิงสุราก็ยังเทียบเจ้าไม่ได้ มา พวกเราดื่มกันให้หมดไปซักสิบไหไปเลย”
หลงเฉินหัวเราะเฮฮาเสียงดัง ไม่พูดพร่ำทำเพลง ขอเพียงมีคนยื่นสุราเข้ามา ไม่ว่าเจ้าจะใช้ถ้วยชาม หรือว่าจะเป็นถังล้างเท้า เจ้าดื่มเท่าไหร่ข้าก็ดื่มเท่านั้น
ในครั้งที่กับดื่มกับพวกสือเฟิง เจ้าลิงพวกนั้น กลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ครั้งที่แล้วหลงเฉินจงใจที่จะไม่ไหลเวียนพลังคุ้มครองร่าง ไม่เช่นนั้นก็คงจะกลายเป็นเอาเปรียบรังแกผู้คนมากเกินไป
แต่ว่าเหล่าศัตรูในศึกร่ำสุราครั้งนี้ต่างก็เป็นยอดฝีมือ ดังนั้นเขาก็ไม่สนใจแล้ว ดื่มกินอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้พวกนี้จะบอกว่าจะขอท้าชนกับเขาทีละคนมาตั้งแต่เริ่ม
แต่ว่าผู้ใดจะมัวเอาแต่รีรอปล่อยให้เข้ามาทีละคนกันเล่า ทุกคนต่างก็เริ่มจะยกจอกชนแก้ว จนท้ายที่สุดทุกคนที่ได้ดื่ม ต่างก็หมอบราบลงไปหลับอยู่กับพื้น
หลงเฉินเองก็ดื่มจนภาพตัดไปอีกครั้ง หลับใหลไปถึงสองวันสองคืน เมื่อฟื้นคืนสติกลับมาได้ หลงเฉินรู้สึกว่าหลังจากที่ได้เมามายไปแล้วคร้งใหญ่ ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาได้เป็นอย่างมาก การดื่มสุราก็ยังคงถือได้ว่ามีประโยชน์อยู่บ้าง
ในห้องที่อยู่ภายในถ้ำ ในมือหลงเฉินปรากฎก้อนศิลาเก่าแก่เพิ่มขึ้นมาชิ้นหนึ่ง บนใบหน้าของเขาปรากฏเป็นรอยยิ้มเย็นเยียบขึ้นมา รีบจัดการเรื่องหลักกันดีกว่า
.
ติดตามตอนอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ : 9 ดารา <<< (ถึงตอนที่ 802 แล้วครับ)