บทที่ 45: อสูร!
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ
••••••••••••••••••••
นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล
สารบัญ จอมมารสะท้านภพ (เรื่องใหม่)
••••••••••••••••••••
บทที่ 45: อสูร!
วินาทีถัดมา นักเรียนเวทเหล่านี้ล้วนมีสภาพไม่ต่างจากไก่ตัวขาวที่ตัวเล็กจ้อย ทั้งหมดแตกตื่นและวิ่งทับกันอย่างรุนแรงเพื่อที่จะหลบหนีออกไปให้ได้ ตอนนี้ภายในถ้ำล้วนแต่โกลาหลอย่างมาก
“เร็ว! วิ่ง! ทำไมยังยืนอยู่ตรงนี้อีกห๊ะ!!?” จางหู่มองไปที่เหย่วหยู่ด้านข้างพร้อมกับตะโกนออกมา หญิงสาวตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว เธอไม่สามารถขยับร่างกายได้แม้แต่น้อย เขาเห็นสภาพเช่นนั้นแล้วจึงรีบคว้าแขนของเธออย่างรวดเร็ว
“ละ… ลม… วายุ… กระแส… โธ่โว้ย!!!”
จางหู่นั้นพยายามที่จะร่ายเวทมนตร์ของตนเองให้ได้ อย่างไรก็ตามในตอนนี้หัวใจของเขาไม่มั่นคงและไม่มีสมาธิใดๆทั้งสิ้น ทำให้ความพยายามนั้นเป็นศูนย์
ในการเอาชีวิตรอดก่อนหน้านี้ เขาสามารถจัดการกับดวงดาวได้อย่างราบรื่น นั่นทำให้จางหู่คิดว่าเขาสามารถใช้มันได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว แต่ในตอนนี้เมื่อเขาอยู่หางจากอสูรเวทมนตร์เพียงยี่สิบเมตร สิ่งที่เขาเรียนรู้มาตลอดนั้นกลับกลายเป็นสูญเปล่าในทันที!
ดวงดาวที่เคยเชื่อฟังในตอนนี้กลับปั่นป่วนวิ่งวนไปมาราวกับกวางน้อยที่กำลังหวาดกลัว ตอนนี้ไม่มีนักเรียนคนไหนสามารถร่ายคาถาได้เลยสักคน แต่ละคนเชื่อในสันชาตยานการเอาตัวรอดขั้นพื้นฐานนั่นก็คือวิ่งหนีออกจากถ้ำเท่านั้น!
“พี่ฝาน! พี่ฝาน! เร็วสิ วิ่งเร็ว!” จางหู่ที่กำลังดึงแขนของเหย่วหยู่ตะโกนออกมาพร้อมกับวิ่งไปยังทางออก
ในตอนนั้นโม่ฝานก็ไม่ได้แตกต่างจากกลุ่มนักเรียนที่กำลังวิ่งหนีไป หลายคนกำลังกรีดร้องและร่ำไห้หรือแม้แต่ทำให้กางเกงของตัวเองเปียกปอนก็ยังมี ทุกคนล้วนแต่ตกอยู่ในความเสียสติทั้งสิ้น เมื่อต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่โกลาหลวุ่นวายเช่นนี้ เขาก็ไม่สามารถที่จะร่ายเวทมนตร์ได้เช่นกัน
‘เป็นอย่างนี้ไม่ดีแน่ ฉันต้องหนี’
ในตอนนี้โม่ฝานเชื่อมดวงดาวทั้งหกเสร็จสิ้นแล้ว แต่ในขณะที่เขากำลังจะจัดการดวงที่เจ็ดนั้นช่างยากเย็น ในหัวของเขานั้นมีแต่ภาพอสูรเวทด้านหน้า แล้วเขาจะสามารถใช้เวทมนตร์ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร?
ในตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจับมือของซูมินที่ยืนอยู่ด้านข้างของเขาไว้
“ปล่อยฉันไว้ที่นี่ ฉันจะหยุดหมาป่าตาเดียวนี้เอง! เธอรีบวิ่งไปแล้วก็สงบจิตใจลงซะ!” ซูมินกล่าวออกมาอย่างไม่เกรงกลัวความตาย
“เธอเป็นบ้าไปแล้วรึไง?” โม่ฝานคว้าแขนของเธอไว้อย่างไม่สนใจพร้อมกับดึงในทันที
แม้ว่าซูมันนั้นจะดูแข็งกร้าวและดื้อรั้น แต่สุดท้ายแล้วเธอก็เป็นเพียงหญิงสาวตัวเล็กๆ หลังจากที่โม่ฝานนั้นฝึกฝนธาตุสายฟ้า พละกำลังของเขาดีขึ้นเล็กน้อย ดังนั้นการดึงซูมินให้วิ่งตามมาจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับเขามากนัก
ไม่ใช่ว่าโม่ฝานนั้นไม่ให้โอกาสซูมินแสดงฝีมือ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้แม้แต่เขาก็ยังไม่สามารถเชื่อมดวงดาวทั้งเจ็ดเข้าด้วยกันได้ ซูมินนั้นระดับต่ำกว่าเขามาก แล้วเธอจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?
ในเวลานี้เธอควรจะละทิ้งจิตวิญญาณแห่งความเป็นหัวหน้าห้องออกไปก่อน จากนั้นก็ควรจะวิ่งและวิ่งเท่านั้น!
โม่ฝานนั้นพาซูมินวิ่งออกไปอย่างเร่งรีบ เสียงคร่ำครวญและกรีดร้องดังตลอดอยู่ในโสตประสาทของเขา
‘เหอะ! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมไอ้ทหารพวกนั้นถึงได้เยาะเย้ยพวกเรานัก เพราะว่าปฏิกริยาแรกพวกเราจะหลบหนียังไงล่ะ… อย่างไรก็ตามถ้าเราหลบหนี แน่นอนว่ายังไงก็จะต้องมีคนตาย เพราะว่าเชือกที่พวกเราปีนขึ้นมานั้นมีเพียงเส้นเดียวเท่านั้น คนที่จะสามารถหลบหนีได้คงมีเพียงหยิบมือ…’
โม่ฝานนั้นพยายามคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เขากำลังสับสนกับสิ่งที่ทำอยู่ในตอนนี้ ในเวลานี้เขาพยายามจะสงบสติให้ได้มากที่สุด แต่ทว่าความน่ากลัวของอสูรเวทที่ติดตาของเขายังคงหลอกหลอนอยู่ภายในหัวใจไม่อาจห้ามปรามได้เลย
ความรู้สึกคล้ายกับเมื่อตอนที่ดูหนังสยองขวัญ การมองมันในจอภาพนั้นนับว่าเลวร้าย แต่เมื่อเราปิดมันไป ทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาวะปกติในทันที
แต่อย่างไรก็ตามในตอนนี้เขากำลังวิ่งหนีสิ่งเหล่านั้น ทั้งภาพและเสียงคำรามที่ไล่ตามหลังนั้นคมชัดเกินกว่าอะไร นั่นทำให้ความน่ากลัวเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
ช่วงเวลาเช่นนี้ไม่ใช่เพียงการดูหนังสยองขวัญเท่านั้น แต่มันเหมือนกับเหล่าปีศาจนั้นออกมาจากจอทีวีเพื่อไล่ล่าพวกเขา มันยืนอยู่ที่ด้านหน้าของทุกคน เส้นเลือดในดวงตาที่แดงก่ำนั้นยังชัดเจนติดตรึงอยู่ในหัวใจของพวกเขาอย่างเหนียวแน่น
เมื่อสถานการณ์ทั้งหมดเป็นเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดสามารถสงบจิตใจลงได้แม้แต่วินาที!
โม่ฝานนั้นวิ่งออกมาค่อนข้างเร็ว หลังจากพาเธอออกมาจากถ้ำได้ ซูมินนั้นทรุดตัวนั่งลงอย่างอ่อนแรง ความจริงแล้วเธอกลัวจนไม่สามารถหยัดยืนได้ไหวอีกต่อไปแล้ว
มันน่ากลัว… น่ากลัวเกินไปสำหรับพวกเขาทั้งหมด นี่มันยิ่งกว่าฝันร้ายสิบเท่า ไม่สิ ร้อยเท่าหรือพันเท่าด้วยซ้ำ!
“สวรรค์! เอาเชือกมาให้ฉัน เชือกอยู่ไหน!”
“ไม่นะ ไม่!!! ฉันไม่อยากตายที่นี่!”
“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?” มู่ไป๋และฉื่อจ้าวติงก็ยังไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ อย่างไรก็ตามพวกเขาได้แต่รู้สึกหดหู่ใจ แม้แต่ทั้งสองก็ยังไม่สามารถที่จะใช้เวทมนตร์ในสถานการณ์เช่นนี้ได้เลย
มีนักเรียนประมานสิบคนที่เป็นลมล้มพับไปตรงนั้น อีกทั้งยี่สิบคนพยายามที่จะลงจากเขาด้วยเชือกเส้นเดียว… ที่มันเคยมีอยู่ตรงนี้
แต่ว่าตอนนี้… เชือกหายไปแล้ว!
ตอนนี้มีเพียงทางเดียวคือพวกเขาจะต้องกระโดดลงไป…
“จะทำยังไงดี! พวกเราทั้งหมดจะตายตกอยู่ที่นี่งั้นเหรอ?” จ้าวคุณซานกล่าวออกมาด้วยความหวาดกลัว ร่างกายของเขาสั่นเทาอย่างรุนแรงโดยไม่อาจควบคุม
ในตอนนี้กลิ่นอายที่เยือกเย็นได้ไล่หลังพวกเขามาแล้ว มันคือกลิ่นลมหายใจของหมาป่าตาเดียว กลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปด้วยบริเวณกระจายออกมาล้อมรอบพื้นที่ นักเรียนทั้งหมดล้วนแต่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อผสมกับน้ำลายของอสูรร้าย
“มันตามเราออกมาแล้ว! ตอนนี้ชีวิตของเรานั้นตายไปแล้ว พวกเราทั้งหมดเป็นคนที่ตายไปแล้ว!” นักเรียนชายธาตุน้ำร้องไห้ออกมาเสียงดัง
“บ้าเอ้ย มีคนมากมายที่หมดสติอยู่ภายในต้ำ ทำไมมันถึงไม่กินไอ้บ้าพวกนั้นนะ ทำไมต้องไล่ตามออกมาด้วยวะ!?” จ้าวคุณซานกล่าวอย่างหงุดหงิด
แม้ว่าซูมินและฉื่อจ้าวติงจะกลัวอสูรตัวนั้นอย่างมาก แต่หลังจากที่ได้ยินจ้าวคุณซานกล่าวเช่นนั้น ทั้งสองรีบจ้องไปที่เขาอย่างดุร้ายทันที
“การวิ่งหนีนั้นไร้ประโยชน์ ในตอนนี้พวกเราจะต้องรวมพลังกันเพื่อจัดการมัน”
“เราจะทำมันได้อย่างไร? ฉันจำวิธีร่ายเวทไม่ได้ด้วยซ้ำในตอนนี้!”
——
ห่างออกไปจากภูเขานั้นมีหินก้อนใหญ่กว่าอยู่ มันอยู่ไกลจากตรงนี้ประมานสามร้อยเมตร
บนหินก้อนนั้นมีหัวหน้ากองทัพจ้านคง ลั่นหยุนปั๋ว พันหลีจวิ๋นและไป่หยาง รวมไปถึงเหล่าอาจารย์ทุกคนอีกด้วย ทั้งหมดกำลังสังเกตการณ์นักเรียนอยู่ไกลๆ
ไป่หยางในตอนนี้กำลังเอามืออุดปากตัวเองไว้เพื่อป้องกันเสียงหัวเราะ นี่เป็นเพราะเขาเห็นนักเรียนคนหนึ่งอึแตกใส่กางเกงของตนเองพร้อมกับเดินเซไปมาอย่างไร้สติ
สำหรับหัวหน้ากองทัพจ้านคงนั้นกำลังส่ายหัวอย่างผิดหวัง เขาไม่เคยนักเรียนคนไหนสามารถใช้เวทมนตร์ได้เลยแม้แต่คนเดียว…
ช่างน่าเสียดายจริงๆ….
ในตอนแรกเขาคิดว่าโรงเรียนมัธยมเทียนหลานคงจะมีใครสักคนที่สามารถทำได้ แต่ใครจะรู้ว่าในตอนนี้ไม่มีนักเรียนคนไหนเลยที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้เมื่อต้องเผชิญสถานการณ์ที่อันตราย
เขากล่าวไว้ในตอนต้นว่ากลุ่มนักเรียนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นขยะ แต่ในตอนนี้เหมือนที่เขาได้กล่าวไปมันจะเป็นความจริง โรงเรียนเทียนหลานนั้นสปอยเด็กเหล่านี้มากเกินไป พวกเขาทุ่มเททรัพยากรมากมายเพื่อฝึกเด็ก แต่ทว่าทั้งหมดกลับไร้จิตวิญญาณของนักเวท เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสูรร้าย แน่นอนว่าทั้งหมดกลายเป็นไก่ตัวจ้อยในทันที
ในตอนนี้อาจารย์ทั้งสามคน จางซิงเก่า ชุ่ยมู่เชิงและเฉินกวงเหลียงต่างรู้สึกอึดอัดใจกับภาพตรงหน้าอย่างมาก
พวกเขานั้นรู้ศักยภาพของนักเรียนเป็นอย่างดี โรงเรียนนั้นมีการประเมินและติดตามการพัฒนาของเด็กๆอยู่เสมอ ด้วยการสอบภายในโรงเรียนทุกคนนั้นทำได้ยอดเยี่ยม แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าทั้งหมดจะล้มเหลวในสนามจริง
ในการต่อสู้ภาคสนามนั้นพวกเขาทั้งหมดจะต้องเรียนรู้มันด้วยตนเอง โรงเรียนไม่สามารถจะสอนพวกมันได้ทั้งหมด!
“เอะ? มีคนบางคนกำลังใช้เวทมนตร์!” ลั่วหยุนปั๋วเบิกตาโพลง เขามองเห็นลำแสงสีขาวกระพริบอยู่ที่ภูเขาด้านหน้าของตน
“อ่า ธาตุน้ำแข็ง… ดูเหมือนว่าจะเป็นมู่ไป๋!” ชุ่ยมู่เชิงร้องออกมาด้วยรอยยิ้ม
เฉินกวนเหลียงและซางจิงเกามองตามอย่างรวดเร็ว ดังนั้นพวกเขาเห็นในทันทีว่านักเรียนที่สามารถใช้เวทมนตร์คนแรกได้คือมู่ไป๋
พลังเวทน้ำแข็งเริ่มหมุนวนร่างกายของมู่ไป๋ พลังเหล่านั้นวิ่งออกไปราวกับกองทัพทหารพร้อมทั้งปิดกั้นอยู่ที่ปากถ้ำเพื่อไม่ให้หมาป่าตาเดียวออกมาด้านนอกได้!
“อืมม เฝ้าดูต่อไป” จ้านคงกล่าวออกมาเรียบๆ
“นี่คือศิษย์ของตระกูลมู่ เขานั้นได้รับการฝึกฝนจากตระกูลและได้รับการถ่ายทอดทักษะมากมาย ไม่แปลกที่สภาวะทางจิตใจของเขาจะแข็งแกร่งกว่านักเรียนคนอื่น” ชุ่ยมู่เชิงกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว
เป็นอย่างที่เขากล่าว ในขณะที่นักเรียนคนอื่นกำลังสติแตกอยู่นั้น มู่ไป๋สงบสติอารมณ์ของตนเองอย่างรวดเร็วพร้อมกับพยายามใช้เวทมนตร์!
ความสามารถที่โดดเด่นเช่นนี้กับทักษะธาตุน้ำแข็งที่ยอดเยี่ยม ภายใต้สถานการณ์ทีอันตรายแต่เขาสามารถผ่านพ้นมันไปได้ แน่นอนว่าเกรดเอจะต้องเป็นของเขา!
ในตอนนี้หัวหน้ากองทัพเพียงแค่ต้องการให้เด็กนักเรียนสงบสติได้เท่านั้น… เขายังคงเฝ้าดูต่อไป…
••••••••••••••••••••
••••••••••••••••••••
ช่วยกันกดคะแนนดาวให้กับผู้แปลเพื่อเป็นกำลังใจด้วยน้าาาา //อ้อนน