Re-new ตอนที่ 50 ให้เงิน
ตอนที่ 50 ให้เงิน
หยูไซตี้ขยี้หัวเสี่ยวเฉาแล้วยิ้มกว้างขึ้นอีกนิด “ไม่โทษอาก็ดีแล้ว เจ้าพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้อาจะเอาไข่หวานมาให้เจ้าอีก !”
อาเล็กนิสัยอ่อนโยนและอ่อนหวาน มองแวบเดียวก็บอกได้ไม่ยากเลยกับการที่จะดึงนางมาไว้ในกำมือ แต่ก็พูดยากว่านางจะโดนแม่สามีรังแกในอนาคตหรือไม่ ? นางจางทั้งปากจัดและอารมณ์ร้ายถึงเพียงนั้น ไม่รู้ว่านางเลี้ยงลูกสาวเยี่ยงไรให้ออกมาหัวอ่อนและอ่อนหวานได้เช่นนี้ ?
หยูเสี่ยวเฉาคิดว่า พวกเขาได้เอาเด็กกลับบ้านมาผิดคนหรือไม่ ? อ่า...แต่ยุคนี้เขาให้หมอตำแยมาทำคลอดที่บ้านมิใช่รึ มิมีทางที่ใครจะเอาเด็กกลับบ้านผิดคนได้เป็นแน่
หยูเสี่ยวเฉาเล่นกับเจ้ากวางโรเพื่อแก้เบื่อ กวางโรตัวนี้แปลกยิ่งนัก พวกเขาเลี้ยงมันมาสอง - สามเดือนแล้วและให้อาหารมันอยู่ตลอด รวมทั้งให้น้ำหินศักดิ์สิทธิ์เพื่อบำรุงร่างกายมันเป็นบางครั้งคราอีกด้วย แต่เหตุใดตัวมันถึงเท่าเดิม ? เจ้ากวางโรยังคงตัวเล็กน่ารักอยู่เช่นเดิม ขนาดที่เล็กจิ๋วของมันทำให้ใครบางคนที่อยากจะฆ่ามันตอนมันโตเพื่อหวังที่จะได้กินเนื้อของมัน ก็ยังรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก
แต่ในฐานะสัตว์เลี้ยงแล้ว เจ้ากวางโรตัวนี้น่ารักเป็นอย่างมาก มันรักความสะอาดและฉลาดมากอีกด้วย มันไม่เคยปล่อยของเสียในห้องเลย อีกทั้งยังไม่มีกลิ่นสาปของกวางโรเลยด้วย กลิ่นของมันเหมือนกลิ่นหญ้า
ฉีโตวชอบกอดเจ้ากวางโรและพามันไปด้วยทุกที่ที่เขาไป เด็ก ๆ ในหมู่บ้านต่างอิจฉาเขา อู๋ซือที่สนิทสนมกับฉีโตวมากที่สุดพยายามเกลี้ยกล่อมฉีโตวอย่างเต็มที่เพื่อที่จะให้ตนเองได้ยืมเจ้ากวางน้อยไปเล่นสัก 2 วัน แต่เจ้ากวางโรไม่ยอมตามเด็กคนนั้นไปเลย ถึงขนาดที่ถูกอุ้มไปยังบ้านของอู๋ซือ เจ้ากวางโรก็มักจะหลบหนีออกมาและวิ่งกลับมาที่บ้านตลอด
ครั้งหนึ่งประตูบ้านถูกปิดสนิท เจ้ากวางโรก็ยืนอยู่กลางหิมะเช่นนั้นทั้งคืน เช้าวันต่อมามันเกือบจะกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งไปแล้วจากความหนาว ฉีโตวรู้สึกสงสารมันเป็นอย่างมาก ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่ให้ใครยืมเจ้ากวางโรตัวนี้อีกเลย
ตอนนี้เจ้ากวางโรกำลังนอนอยู่ข้าง ๆ เสี่ยวเฉาและไม่ได้มีปัญหาอะไรกับมือที่ทำขนมันยุ่งเหยิง ตรงกันข้ามมันกลับแลบลิ้นอุ่น ๆ ที่เปียกชุ่มของมันเลียมือเสี่ยวเฉาเป็นครั้งคราว
ชาติก่อนเสี่ยวเฉาเคยเลี้ยงหมาตัวเล็กที่ชอบเลียคนมากกว่าเจ้าตัวนี้เสียอีก เสี่ยวเฉาจึงไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่หินศักดิ์สิทธิ์บนข้อมือนางกลับมีความคิดอีกอย่าง [ เฮ้ ! เจ้าผลักเจ้าตัวนี้ออกไปห่าง ๆ ได้หรือไม่ ? หินนี่คือร่างกายข้า ข้าจะทนให้สัตว์ชั้นต่ำเยี่ยงมันมาทำให้ข้าแปดเปื้อนได้เยี่ยงไรกัน ? ]
หยูเสี่ยวเฉาไม่สนใจเสียงของหินศักดิ์สิทธิ์และยังจงใจวางข้อมือที่มีหินศักดิ์สิทธิ์ไว้ใกล้ ๆ ปากเจ้ากวางน้อยอีกด้วย หินศักดิ์สิทธิ์เผลอปล่อยพลังวิญญาณออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงทำให้เจ้ากวางโรที่ฉลาดและความรู้สึกไวชอบใจอย่างที่สุด มันจึงเลียหินบนข้อมือของเสี่ยวเฉาไม่หยุด
[ ออกไป ออกไปประเดี๋ยวนี้ ! ] หินศักดิ์สิทธิ์เริ่มโกรธโมโห ร่างวิญญาณแมวสีทองลอยออกมาและพุ่งตรงไปที่หัวของเจ้ากวางโร มันข่วนเจ้ากวางโรไม่หยุดแต่ก็ไม่มีพลังเพียงพอที่จะทำอะไรเจ้ากวางโรตัวนี้ได้ เมื่อแก้แค้นไม่สำเร็จ เจ้าแมวน้อยก็ได้แต่ขู่ฟ่อ ๆ และทำขนตั้งจนดูเหมือนเม่น
“ทังหยวนน้อย ทังหยวนน้อย ! ยังมิยอมเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังกันอีกรึ ? ชะตาชีวิตของเจ้าอยู่ในมือของข้าที่เป็นเจ้านายเจ้าแล้ว เจ้าต้องให้ความเคารพข้ามากกว่านี้ สุภาพมากกว่านี้อีกด้วย เจ้าเข้าใจหรือไม่ ?” หยูเสี่ยวเฉาเบื่อสุด ๆ นางจึงจงใจแหย่หินศักดิ์สิทธิ์จอมยโสโอหังเล่น
[ ห้ามเรียกข้าว่า ‘ทังหยวนน้อย’ ! ชื่อนี้ไม่เห็นจะเข้าท่าเลยมิใช่รึ ! เรียกข้าว่า ‘ท่านหินศักดิ์สิทธิ์’...อี๋ ! เอามันออกไปเร็วเข้า ! ข้าเปียกน้ำลายมันไปหมดแล้ว น่าขยะแขยง ! ]
หินศักดิ์สิทธิ์เป็นเหมือนเสือที่อยู่นอกอาณาเขตของมัน มันไม่สามารถทำอะไรมนุษย์กับสัตว์ที่อ่อนแอตรงหน้ามันได้เลย ถ้าเป็นเมื่อก่อนมันคงจัดการกับทั้งสองได้โดยที่ไม่ต้องกระดิกนิ้วด้วยซ้ำ
[ ก็ได้ ! เจ้านาย เจ้านายที่รักของข้า ! ข้ายอมแล้ว ขอร้องเอามันออกไปให้พ้นจากข้าที แล้วก็ช่วยอาบน้ำให้ข้าด้วย ! ] ในฐานะที่มันเป็นหินศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่หนี่วาที่รักความสะอาดมากที่สุด ทังหยวนน้อยจึงยอมแพ้ต่อเจ้านายผู้ชั่วร้ายของมัน
หินศักดิ์สิทธิ์ถึงกับกัดผ้าเช็ดหน้าคร่ำครวญ ‘เจ้าแม่หนี่วา ท่านรู้หรือไม่ว่าหินที่ท่านโปรดปรานที่สุดกำลังถูกทรมานอยู่ที่มุมไร้ชื่อของโลก ? ได้โปรดรีบมาช่วยข้าเร็ว ๆ เข้าด้วยเถิด ! ’
ถึงแม้หินศักดิ์สิทธิ์จะไม่อยากยอมรับ แต่เจ้าแม่หนี่วาก็ได้ตั้งชื่อที่เหมือนกับเจ้านายคนนี้ตั้งให้มัน ! นี่คือเหตุผลที่มันไม่ยอมบอกชื่อตอนที่เสี่ยวเฉาถามถึงชื่อมัน หินศักดิ์สิทธิ์แห่งสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่และสง่างามอย่างมันต้องมีชื่อที่มนุษย์อ่อนแอตั้งให้ ทำให้มันรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก
พอเสี่ยวเฉากำลังจะหลับด้วยความเบื่อหน่าย ประตูห้องตะวันตกก็ได้เปิดออกอีกครา ร่างจ้ำม่ำอ้วนกลมที่เกือบเหมือนลูกบอลก็ลอดผ่านช่องประตูเข้ามา ด้านหลังของเขาคือบ่าวรับใช้ที่เอ่ยย้ำ ๆ ว่า “คุณชาย ระวังธรณีประตู ประเดี๋ยวจะหกล้มหน้าคะมำเอานะเจ้าคะ !”
“ตัวเล็ก ! ตัวเล็ก ! โต้วโต่วอยากเล่นกับตัวเล็ก !” เด็กน้อยโต้วโต่วเห็นกวางโรอยู่บนเตียงก็รีบวิ่งเข้ามาหา เขาพยายามปีนขึ้นมาบนเตียง แต่ขาของเขาอ่อนแอเกินไป เขาพยายามเอามือดันตัวขึ้น แต่ก็ยังล้มเหลว
เสี่ยวเฉาหัวเราะเบา ๆ แต่ก็ไม่คิดจะช่วยเด็กน้อย โต้วโต่วน้ำตาคลอพลางมองนางด้วยสายตาตัดพ้อต่อว่า
หยูเสี่ยวเฉาเห็นคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้องจากทางหางตา นางรีบไอ 2 ครั้งและแกล้งทำเป็นอ่อนแอไม่มีแรง นางเอ่ยออกมาเบา ๆ ว่า “โต้วโต่ว ตอนนี้พี่สาวมิสบาย เจ้ามิควรปีนขึ้นมา ประเดี๋ยวจะหายใจเอาอากาศจากโรคของพี่เข้าไป ถ้าชอบก็เอาเจ้าตัวเล็กกลับไปเล่นที่ห้องก็ได้...”
ยังไม่ทันที่โต้วโต่วจะตกลง เขาก็ถูกเสียงไอของนางจ้าวขัดเสียก่อน “มิใช่เรื่องใหญ่หรอก ให้โต้วโต่วนั่งเล่นกับฉีโตวที่หัวเตียงก็ได้ อามีเรื่องอยากคุยกับเจ้า”
บ่าวรับใช้ก้มลงอุ้มคุณชายขึ้นไปบนเตียง จากนั้นนางก็ออกไปจากห้องและปิดประตูตามหลัง
“เสี่ยวเฉา เมื่อวานท่านย่าของเจ้าอาละวาดเสียหนัก อาเป็นลูกสะใภ้ จะมิเชื่อฟังก็ไม่ได้ใช่หรือไม่ ?” นางจ้าวนั่งลงข้างเตียงและดึงมือเสี่ยวเฉามา ท่าทางของนางดูราวกับว่าช่างจริงใจเป็นอย่างมาก
เสี่ยวเฉายิ้มเยาะอยู่ในใจ ‘ใครบ้างจะไม่รู้ว่าคนที่ยายแก่นั่นกลัวมากที่สุดก็คือท่าน นางจ้าวถึงนางตดยายแก่นั่นก็คงบอกว่าหอม เมื่อวานถ้ามีการเคลื่อนไหวอะไรจากห้องตะวันออกสักนิดล่ะก็ นางจางคงเปลี่ยนท่าทีไปแล้ว ท่านอาสะใภ้นะท่านอาสะใภ้ ท่านคิดจะหลอกเด็กเยี่ยงข้างั้นรึ ! ’
สีหน้าแววตาที่ว่างเปล่าของเสี่ยวเฉา (แท้จริงแล้วนางก็แค่เหม่อเพราะกำลังนินทาอาสะใภ้อยู่ในใจ) ทำให้นางจ้าวรู้สึกหมดหนทางเล็กน้อย นางไม่อ้อมค้อมอีกและตรงเข้าประเด็นทันทีว่า “เสี่ยวเฉา อากับอาสามอาศัยอยู่ในเมือง พวกเราต้องเช่าบ้าน จ่ายค่าเรียนของอาสาม ต้องซื้อพู่กันกับหมึก อีกทั้งยังมีค่าอาหารกับค่าน้ำอีก อากับอาสามพยายามประหยัดกันแล้วแต่ก็เก็บได้แค่ 1 - 2 ตำลึงเพียงเท่านั้น ท่านพ่อของเจ้ายืมเงินจากท่านลุงใหญ่มาเท่าใด ? เจ้าให้ท่านพ่อของเจ้านำเงินนี่ไปคืนลุงใหญ่ก่อนเกิด !”
เสี่ยวเฉาไอเบา ๆ สองสามครั้งเพื่อให้เห็นว่านาง ‘อ่อนแอมาก’ เด็กหญิงมองเงินในมือของนางจ้าวแล้วก็ยิ้มเยาะอยู่ในใจ ‘คิดว่าคนอื่นโง่สินะ ทุกเดือนนางจางจะส่งเงินไปให้ลูกชายกับลูกสะใภ้เป็นค่าใช้จ่ายมากจนเกินพอ จากที่นางหลี่เคยเอ่ยมา ข้ารู้นะว่าเงินที่นางจางให้ลูกชายคนเล็กน่ะ เดือนหนึ่งได้มากกว่าเงินที่ครอบครัวเราทั้งครอบครัวใช้กันครึ่งปีเสียอีก’
ในเวลาสั้น ๆ เพียงแค่ 3 ปี สามีภรรยาคู่นี้ไม่เพียงแต่ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการกินอยู่เท่านั้น แต่ยังซื้อบ่าวรับใช้มาคอยช่วยพวกเขาอีกด้วย อีกทั้งเงินที่เหลือก็ได้นำไปซื้อแผงลอยเล็ก ๆ บนถนนที่ค่อนข้างรกร้างในเมืองเพื่อทำธุรกิจขายของชำเล็ก ๆ อีกด้วย
พวกเขาอ้างว่าแผงลอยนั่นเป็นสินสมรสจากตระกูลจ้าว แต่สินสมรสที่ไหนถึงไม่ได้ให้ตอนแต่งงาน แต่มาให้ตอน 3 ปีให้หลัง เรื่องเยี่ยงนี้หลอกได้แต่คนโง่เท่าเพียงนั้นแหละ !
เยี่ยงไรเสียต่อหน้า ‘ความปรารถนาดี’ ของท่านอาสะใภ้ เสี่ยวเฉาจึงไม่เปิดโปงคำโกหกของนางและปฏิเสธข้อเสนอไปว่า “ท่านอาสะใภ้เจ้าคะ โต้วโต่วยังเล็กและท่านอาสามก็ต้องเรียน พวกท่านมีค่าใช้จ่ายตั้งมากมาย เสี่ยวเฉาขอบคุณในความปรารถนาดีของท่านอาสะใภ้ แต่ท่านอาเก็บเงินพวกนี้ไว้เถอะเจ้าค่ะ !”
“พี่สาว พี่สาว ! เงินเอาให้พี่สาวไปหาหมอ !” โต้วโต่วคลานจากหัวเตียงเข้ามาและพยายามจะคว้าเอาเงินจากมือแม่ไปวางบนมือของเสี่ยวเฉา จากนั้นเขาก็พยายามลุกขึ้นยืนและเอาหน้าผากของเขาแนบกับหน้าผากของนาง เมื่อไรก็ตามที่โต้วโต่วไม่สบาย แม่ของเขาก็จะทำกับเขาเช่นนี้
ความห่วงใยของเด็กน้อยไม่เคยถูกลดค่า เสี่ยวเฉาใจอ่อนยวบ นางหยิกแก้มกลม ๆ ของโต้วโต่วแล้วเอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยนว่า “โต้วโต่วของเราช่างน่ารักเสียจริง พี่สาวจะต้องหายเร็วขึ้นเป็นแน่ พอหิมะละลายแล้วพี่สาวจะไปที่ภูเขาแล้วจับปลามาทำแกงปลาของโปรดของโต้วโต่วให้นะ เจ้าว่าดีหรือไม่ !”
“เอา เอา !” โต้วโต่วตบมือพร้อมกับกระโดดอย่างดีใจ แล้วเขาก็สะดุดผ้านวมล้มหัวทิ่มลงไปในผ้าห่ม เด็กน้อยดิ้นรนอยู่นานก็เอาตัวเองออกมาไม่ได้จนฉีโตวต้องไปช่วยเอาตัวเขาออกมา
“พี่สาวหายเร็ว ๆ นะ ! ต้องไปจับปลามาทำแกงปลาให้โต้วโต่วกินนะ !” โต้วโต่วเข้ามานอนบนผ้าห่มของเสี่ยวเฉาและจ้องมองนางด้วยสายตาอ้อนวอน สีหน้าของเขาคล้ายกับสีหน้าเจ้ากวางโรตัวน้อยตอนที่มันกำลังหิวและอยากดื่มน้ำหินศักดิ์สิทธิ์อีก
“ตกลง ตกลง ตกลง ! พี่สาวจะทำแกงปลาให้โต้วโต่วกินอีกแน่นอน !”
พอเสี่ยวเฉาให้สัญญา เด็กน้อยจึงยิ้มกว้างอย่างดีใจ เขาหันไปสนใจเจ้ากวางโรตัวน้อยที่กำลังวิ่งไปรอบ ๆ เตียง เด็กน้อยจ้ำม่ำลงไปคลานสี่ขาไล่ตามเจ้ากวางน้อย
หยูเสี่ยวเฉาส่งเงินที่เด็กน้อยยัดใส่มือนางกลับไปให้นางจ้าวและเอ่ยว่า “ท่านอาสะใภ้ ถึงครานี้พวกเราจะยืมเงินมาเยอะ แต่ข้าได้ยินท่านพ่อพูดว่าพายุหิมะทำให้ร้านอาหารในเมืองขาดแคลนเนื้อสัตว์ป่า เยี่ยงนั้นท่านพ่อจะต้องขายได้ราคาดีเป็นแน่ แต่ถึงหิมะไม่เยอะ ท่านพ่อแค่ขึ้นภูเขาหลายครั้งหน่อยก็สามารถคืนเงินได้ก่อนสิ้นปีแล้ว เงินหนึ่งตำลึงนี้ถึงเอาให้ท่านลุงใหญ่ไปก็ไม่ใกล้เคียงกับที่เราติดหนี้ไว้หรอกเจ้าค่ะ ให้เราขายสัตว์แล้วเก็บสะสมจนครบแล้วคืนเงินทีเดียวเลยจะดีกว่านะเจ้าคะ !”
“ยาอะไรกันถึงได้แพงเกิน 2 ตำลึง ?” เมื่อนางจ้าวรู้ว่าเงิน 2 ตำลึงไม่พอจ่ายหนี้ นางก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้
หยูเสี่ยวเฉาถอนหายใจเบา ๆ และเอ่ยต่ออีกว่า “ท่านหมอซุนบอกว่าร่างกายของข้านั้นอ่อนแอยิ่งนัก ควรบำรุงให้ดี แต่อาหารที่ข้าได้มามันไม่พอทำให้ร่างกายแข็งแรง ท่านหมอซุนเลยต้องเพิ่มตัวยาที่ช่วยเสริมและบำรุงร่างกายเข้าไปอีก เลยทำให้ยาแพงขึ้น ท่านหมอยังบอกอีกด้วยว่าหลังจากกินยาหมดแล้ว ท่านพ่อต้องพาข้าเข้าเมืองเพื่อไปให้ท่านหมอตรวจอีกครา ถ้าร่างกายยังอ่อนแออยู่และไม่ได้รับการบำรุงที่ดี ข้าก็คงจะต้องได้กินยาต่อน่ะเจ้าค่ะ”
พูดแล้วก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้าราวกับเกลียดการกินยาแต่ก็ไม่มีทางเลือก
กินยาหมดแล้วก็อาจจะต้องกินอีกงั้นรึ ? มิน่าเล่าแม่สามีของนางถึงเอาแต่เอ่ยว่าเด็กคนนี้เป็นปีศาจผลาญเงิน ! นางจ้าวเอาเงินกลับไปอย่างมิลังเลและเอ่ยต่อว่า “เสี่ยวเฉา เจ้ามิต้องห่วงเรื่องเงินนะ ดูแลร่างกายให้ดีคือสิ่งที่สำคัญที่สุด พออากลับไปอาจะคุยกับอาสามว่าเราจะเพิ่มเงินให้ได้หรือไม่ เจ้าตกลงหรือไม่ ? โต้วโต่วกลับได้แล้ว อย่าได้รบกวนการพักผ่อนของพี่สาว”
“ไม่เอา ! โต้วโต่วอยากเล่นกับเจ้าตัวเล็ก !” เพราะพายุหิมะทำให้โต้วโต่วติดอยู่ในบ้านออกไปข้างนอกไม่ได้ เขาจึงไม่อยากกลับไปที่ห้องอีก
นางจ้าวพยายามเกลี้ยกล่อมเด็กน้อยให้ออกไป แต่เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะร้องไห้ นางจำใจยอมให้โต้วโต่วอยู่ในห้องตะวันตก และนางก็ได้เดินกลับไปที่ห้องของนางเพียงลำพัง