Re-new ตอนที่ 44 ความผิดหวังอันขมขื่น
ตอนที่ 44 ความผิดหวังอันขมขื่น
“ยืมเงิน ? แล้วใครจะเป็นคนใช้หนี้กัน ?” นางหลี่เอ่ยแทรกขึ้นมา
หยูไห่มองหน้านางแล้วตอบด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองเล็กน้อย “ข้าเป็นคนยืมข้าก็ต้องเป็นคนใช้หนี้อยู่แล้วสิ ! พี่สะใภ้มิต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก !”
“น้องรอง อย่าลืมว่าเงินทั้งหมดที่เจ้าหาได้ต้องส่งเข้ากองกลางมิใช่รึ !” นางหลี่เตือนเขาพร้อมกับยิ้มเยาะ
“พี่สะใภ้ว่าเยี่ยงไรนะ ? ข้าเป็นคนหาเงิน แต่กลับใช้เงินที่หามาอย่างยากลำบากไปรักษาลูกสาวมิได้รึ จะให้ข้าดูลูกป่วยตายอยู่เฉย ๆ โดยมิทำอันใดเลยเยี่ยงนั้นรึ ? ถ้าเยี่ยงนั้นข้ายังสมควรเป็นพ่ออยู่อีกหรือไม่ ? แล้วจะหาเงินทั้งหมดนี่ไปเพื่ออันใดกัน ? จะหาปลาล่าสัตว์ไปทำไม ? นอนอยู่บ้านเฉย ๆ ให้อดตายพร้อมเมียกับลูกไปเลยยังจะดีเสียกว่า !” ในที่สุดชายที่ซื่อตรงก็โกรธจัดจนระเบิดออกมา เขาระบายความโกรธใส่นางหลี่ที่พยายามยั่วยุเขาไม่หยุด
นางหลี่ตะโกนกลับ “ข้ามิได้ใช้เงินที่เจ้าหามาสักอีแปะเดียว ! เจ้าจะมาตะคอกใส่ข้าทำไมกันเล่า ?”
“เอาล่ะ เลิกพูดได้แล้ว มิพูดก็ไม่มีใครหาว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ !” หยูต้าชานเห็นว่าน้องรองของเขาโกรธจริง ๆ แล้ว เขาจึงรีบลากตัวภรรยากลับไปที่ห้องตะวันออก
หยูไห่มองท่านพ่อของเขาด้วยแววตาเสียใจและพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ท่านพ่อ เฉาเอ้อร์เป็นหลานของท่านพ่อ เป็นลูกหลานของตระกูลหยู ท่านพ่อจะใจร้ายมองหลานของท่าน...”
เฒ่าหยูถอนใจแล้วเอ่ยว่า “พ่อจะไปยืมเงินที่บ้านลุงใหญ่ของลูก วันหน้าจับสัตว์มาได้ก็ค่อยไปใช้หนี้เขาล่ะกัน...”
ประตูห้องกระแทกเปิดดังปังก่อนที่เขาจะพูดจบ นางจางจ้องมองชายชราอย่างถมึงทึงและตะโกนเสียงดัง
“คนบางคนเขาหาปลาล่าสัตว์ได้ เยี่ยงนั้นเขาก็ต้องมีชื่อเสียงดีกว่าเจ้าอยู่แล้ว เหตุใดเขาจะต้องให้เจ้าช่วยยืมเงินมาให้ด้วย ? ราคาของในฤดูหนาวปีนี้ก็สูงเป็นอย่างมาก อีกทั้งตอนนี้ก็ยังมิมีรายได้อันใด ถ้าหากยังกินกันอยู่เยี่ยงนี้ ครอบครัวของเราได้สิ้นเนื้อประดาตัวเป็นแน่ ต่อไปจะต้องกินข้าวเช้าแบบประหยัด ส่วนอาหารเย็นก็ต้องจำกัดแผ่นแป้งอีกด้วย”
พอพูดจบนางก็กระแทกประตูปิดอีกครั้ง นางปิดประตูแรงเสียจนฝุ่นที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ฟุ้งเป็นควันลอยขึ้นไปในอากาศ
ชีวิตลูกสาวของเขายังอยู่ในอันตราย แต่ท่านแม่ของเขายังห่วงแต่เรื่องเก็บเงิน หยูไห่มองไปรอบ ๆ บ้านอย่างหมดหวัง จากนั้นก็อุ้มเสี่ยวเฉาวิ่งไปที่บ้านของลุงใหญ่
ลุงใหญ่ของหยูไห่ หยูลี่ชุน เลี้ยงหมาตัวใหญ่ไว้ 2 ตัวที่บ้าน เอาไว้ลากเลื่อนตอนหิมะตก เมื่อ 2 วันก่อนมีหิมะตกหนัก เขาจะต้องใช้เวลาเดินเท้าเข้าเมืองอย่างน้อยครึ่งวัน ดังนั้นที่เขาไปหาลุงใหญ่ครั้งนี้มิใช่แค่ยืมเงินอย่างเดียว แต่เขาต้องการยืมรถเลื่อนด้วย
หยูไห่เคาะประตูหน้าบ้านของลุงใหญ่ คนที่เปิดประตูออกมาคืออาสามของเสี่ยวเฉา หยูเจียงมองลูกพี่ลูกน้องของเขาอย่างประหลาดใจ เมื่อเลื่อนสายตาไปที่ร่างเล็ก ๆ ในอ้อมแขนของหยูไห่ น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปทันที “เกิดอะไรขึ้น ? เสี่ยวเฉาป่วยอีกแล้วรึ ? ท่านพี่ใหญ่ ท่านพี่ใหญ่...เอารถเลื่อนมาเร็วเข้า ! ท่านพี่รองต้องใช้มัน !”
หยูลี่ชุนมีลูกชาย 2 คนกับลูกสาวอีก 3 คน ลูกชายคนโตแก่กว่าหยูไห่ 5 ปี ขณะที่ลูกชายคนที่สองอายุน้อยกว่าหยูไห่ นับตามอายุหยูไห่จึงเป็นคนที่สอง พวกเขาจึงเรียกหยูไห่ว่า ‘พี่รอง’
ครอบครัวของหยูลี่ชุนหลบอากาศหนาวอยู่ในบ้านกันทั้งครอบครัว เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงตะโกนของลูกชายคนเล็ก ทุกคนก็วิ่งออกมาทันที หยูลี่ชุนรีบวิ่งเข้ามาดูอาการของเสี่ยวเฉา เขารีบเสียจนไม่ได้ใส่เสื้อกันหนาวมาด้วยซ้ำ
หยูไห่พูดตรงเข้าประเด็นทันที เขาพูดจุดประสงค์ในการมาหาครั้งนี้โดยไม่อ้อมค้อม หยูลี่ชุนหันไปหานางซุนภรรยาของเขาทันทีและพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า “บ้านเรามีเงินอยู่เท่าใด ? เอาให้ต้าไห่ให้หมด !”
หญิงชราเข้าห้องไปโดยไม่ลังเลและกลับออกมาพร้อมกับกระเป๋าสีเทา พร้อมกับส่งให้หยูไห่โดยไม่ได้เปิดกระเป๋าก่อนเลยด้วยซ้ำ และได้กล่าวกับหยูไห่ว่า “เอาไปทั้งหมดนี่แหละ การรักษาเฉาเอ้อร์สำคัญยิ่งกว่าเงินทองเสียอีก”
ภรรยาของหยูซีลูกชายคนโตพึมพำเสียงเบาว่า “ถ้าเอาเงินเราให้ต้าไห่ไปหมด แล้วเยี่ยงนั้นวันปีใหม่เราจะกินอะไรกันเล่า ? พวกเด็ก ๆ หวังว่าจะมีโอกาสได้กินแป้งสาลีบ้าง !”
เฒ่าหยูที่เพิ่งตั้งรถเลื่อนเสร็จก็ได้ยินในสิ่งที่ลูกสะใภ้พูด เขาจึงจ้องหน้านาง “เรื่องกินสำคัญกว่าชีวิตคนอีกเยี่ยงนั้นรึ ?”
ภรรยาของลูกชายคนโตไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก แต่นางคิดอยู่ในใจว่า “พ่อแม่เขามีเงินมากกว่าครอบครัวเราเสียอีก เหตุใดเราถึงต้องจ่ายค่ารักษาให้เด็กนี่ด้วย ? ยายแก่นั่นตระหนี่ถึงกับมิยอมให้สักอีแปะเลยรึ !”
หยูไห่รู้สึกสำนึกในบุญคุณของลุงใหญ่มาตลอด ตอนที่แม่ผู้ให้กำเนิดของเขาเสียชีวิตไป ลุงใหญ่กับป้าใหญ่ก็คอยดูแลเขามาเป็นอย่างดี ถ้าไม่ใช่เพราะลุงใหญ่คอยช่วยสนับสนุน เขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้มีภรรยา
หยูไห่ก้มหัวขอบคุณครอบครัวของลุงใหญ่ เขารับกระเป๋าเงินมาโดยไม่ได้พูดอะไรอีก จากนั้นเขาก็ขึ้นรถเลื่อนและเร่งไปจนถึงทางเข้าหมู่บ้าน
พวกเขาออกจากหมู่บ้านได้ไม่นาน เสี่ยวเฉาที่คอยฟังเสียงรอบข้างอย่างตั้งใจก็แกล้งทำเหมือนเพิ่งฟื้นขึ้นมา นางเรียกหยูไห่ที่กอดนางเอาไว้แน่น
หยูไห่ยิ้มให้ลูกสาวสุดที่รักของเขาซึ่งถูกห่อเอาไว้จนเหมือนลูกบอล และถามด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เฉาเอ้อร์ ฟื้นแล้วรึลูก ? ไม่สบายตรงไหนเจ้าบอกพ่อสิ”
หยูเสี่ยวเฉาดิ้นรนจะลุกขึ้นนั่ง นางส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “มิเป็นไรแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อมิต้องห่วง เมื่อกี้ข้าแค่กลัวท่านย่าจนเป็นลมไปเพียงเท่านั้น ตอนนี้ข้าสบายดีแล้ว พวกเรากลับบ้านกันเถอะเจ้าค่ะ !”
“เราต้องเข้าเมืองไปให้หมอตรวจก่อน ต้องให้แน่ใจว่าเจ้าหายดีแล้วจริง ๆ” หยูไห่แตะใบหน้าของลูกสาวแล้วยืนกรานจะพานางไปหาหมอในเมืองให้ได้
เมื่อเจอกับความดื้อรั้นของหยูไห่ หยูเสี่ยวเฉาก็รู้สึกตื้นตันและจนปัญญาไปพร้อม ๆ กัน นางเกลี้ยกล่อมพ่อต่อว่า “ท่านพ่อ ! ข้าสบายดีจริง ๆ ! ตัวข้าเองก็นับว่าเป็นหมอไปแล้วครึ่งตัว ข้าจะมิรู้สภาพร่างกายของตัวเองได้เยี่ยงไร ?”
หยูไห่บังคับรถเลื่อนและตอบลูกสาวว่า “พ่อรู้ว่าเสี่ยวเฉาของเราเก่งมาก ๆ แต่คำโบราณได้ว่าเอาไว้ว่า ‘หมอไม่อาจรักษาโรคของตนเอง’ พ่อจะสบายใจขึ้นก็ต่อเมื่อหมอที่ร้านยาถงเหรินตรวจอาการของลูกเสร็จแล้ว”
เมื่อไม่มีทางเลือก หยูเสี่ยวเฉาก็ประนีประนอมว่า “ท่านพ่อ เอาเยี่ยงนี้ดีหรือไม่ ไปวางกับดักที่ภูเขาก่อน ท่านพ่ออาจจะจับสัตว์ได้ จะได้มีเงินค่ารักษาข้า ติดหนี้ช่วงปีใหม่มันเป็นลางร้ายมิใช่รึท่านพ่อ ?”
หยูไห่มองแก้มแดง ๆ ของลูกสาวและความมีชีวิตชีวาของนาง แล้วตัดสินใจประนีประนอม เขาบังคับให้หมาทั้ง 2 ตัวเลี้ยวไปทางภูเขา
หิมะบนถนนใหญ่ถูกเหยียบย่ำโดยคนและรถม้าจึงแข็งและแน่นเป็นอย่างมาก แต่บนภูเขานั้นต่างออกไปเพราะหิมะจะนุ่มและสูงถึงหัวเข่า เมื่อสุนัขทั้ง 2 ตัวผ่านไปในหิมะลึก มันก็โผล่มาแต่หัวให้เห็น ทำให้เดินได้ยากเป็นอย่างมาก
หยูไห่ตัดสินใจปลดเลื่อนออกจากสุนัขและลากเลื่อนพาลูกสาวเข้าไปในป่าด้วยตนเอง เขาเป็นห่วงลูกสาวมาก ไม่อยากทิ้งนางไว้ที่ถนนเพียงลำพังในช่วงอากาศหนาวเย็นยะเยือกถึงเพียงนี้
หิมะเริ่มหยุดตก สัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่หิวโหยจำนวนมากก็เริ่มออกหาอาหารในป่า เดินอยู่ไม่นานพวกเขาก็เห็นไก่ฟ้าตัวหนึ่งกระพือปีกและบินผ่านพวกเขาไป
หยูไห่รู้สึกเสียดายเล็กหน่อย “เสียดาย...พ่อมิได้เอาเครื่องมือล่าสัตว์มาด้วยเลย”
“มิเป็นไรเจ้าค่ะท่านพ่อ ! ไปทางซ้ายกัน ท่านพี่ฮันกับข้าซ่อนเชือกสำหรับวางกับดักเอาไว้” หยูเสี่ยวเฉาที่นั่งอยู่บนเลื่อนกำลังสนุกกับประสบการณ์ใหม่และแตะทุกสิ่งรอบ ๆ ตัวของนางด้วยความอยากรู้ บางครั้งนางก็จะปั้นลูกบอลหิมะและขว้างไปที่กิ่งไม้ จากนั้นก็หัวเราะคิกคักดูหิมะบนกิ่งไม้เหล่านั้นหล่นลงมา
หยูไห่โล่งอกขึ้นมาได้เมื่อเห็นลูกสาวของตนดูคึกคักกระฉับกระเฉง ครู่ต่อมาทั้งสองคนก็เจอเชือก หยูไห่หักกิ่งไม้ออกมาและติดตั้งกับดักขนาดต่าง ๆ ประมาณ 20 จุด
หยูเสี่ยวเฉาเองก็ทำงานยุ่งอยู่ด้านหลังเช่นกัน นางพรมน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ลงบนหิมะรอบ ๆ บ่วงหรือวางหญ้าแห้งที่เปียกน้ำศักดิ์สิทธิ์ไว้รอบ ๆ กับดัก ตั้งแต่ที่หยูเสี่ยวเฉาเอาน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ใส่ขวดไว้ 2 ขวด นางก็จะพกติดตัวเอาไว้เสมอเผื่อกรณีฉุกเฉิน เพื่อมิให้สัตว์บนภูเขาก่อความโกลาหล หยูเสี่ยวเฉาจึงรีบเจือจางน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ด้วยน้ำหิมะก่อนจะพรม
พวกเขาใช้เวลาวางกับดักทั้งหมดกว่า 1 ชั่วยามหยูไห่เป็นพรานที่มีประสบการณ์ ดังนั้นเขาจึงวางกับดักได้ดีกว่านางอย่างแน่นอน เขาเลือกวางกับดักบนเส้นทางที่สัตว์ผ่านเป็นประจำ หลังจากวางกับดักอันสุดท้ายพวกเขาก็กลับไปตามเส้นทางเดิม และเห็นว่ามีสัตว์มาติดกับดักเยอะมากเสียทีเดียว
“ว้าว ! ไก่ฟ้า ! นกกะทา ! มีนกแต้วแล้วหัวน้ำเงินอีกด้วย !” หยูเสี่ยวเฉาร้องออกมาอย่างตื่นเต้น หลังพายุหิมะคราใหญ่ นกภูเขาพวกนี้น่าจะทำเงินได้มากเสียทีเดียว
หยูไห่เอาเชือกมัดสัตว์พวกนี้แล้ววางบนรถเลื่อน หลังจากนั้นพวกเขาก็จับกระต่ายป่าได้อีกหลายตัว
“ท่านพ่อ ! ดูสิ นั้นอะไรน่ะ ? ใช่กวางโรหรือไม่ ?” หยูเสี่ยวเฉาเห็นไกล ๆ ว่ามีสัตว์ติดกับดักอันใหญ่ที่พวกเขาวางเอาไว้ สัตว์ตัวนั้นดูคล้ายกับเจ้าตัวเล็กของพวกเขาเป็นอย่างมาก
หยูไห่วิ่งเข้าไปหาสัตว์ที่กำลังดิ้นรนอยู่ทันที เขากดมันลงกับพื้นและมัดขามันเอาไว้ด้วยเชือก
“ฮ่า ๆ ! วันนี้ข้าจับกวางได้ที่ชายป่าด้วย ! ลูกพ่อ นี่มิใช่กวางโร มันคือกวางตัวผู้ ! เลือดกับเนื้อกวางเป็นของดีมากเลยล่ะ พวกคนรวยในเมืองชอบมันเป็นอย่างมาก !” ในที่สุดก็มีรอยยิ้มปรากฏอยู่ในแววตาของหยูไห่ กวางตัวนี้น่าจะหนักเกิน 100 ชั่ง ถ้าหากขายมันเขาก็จะไม่ต้องยืมเงินเพื่อจ่ายค่ารักษาของลูกสาวเขา
ตอนที่หยูไห่กับลูกสาวของเขาออกจากป่า รถเลื่อนก็เต็มไปด้วยสัตว์ที่จับมาได้ หลังจากติดตั้งเลื่อนอีกคราแล้ว พวกเขาก็ได้ออกเดินทางไปยังเมืองถังกู่
เมื่อพวกเขามาถึงประตูเมืองถังกู่ก็เป็นยามอู่แล้ว พวกเขาทิ้งเลื่อนไว้กับครอบครัวที่อาศัยอยู่ใกล้ประตูเมืองและให้ไก่ฟ้าพวกเขาไป 1 ตัวเป็นค่าตอบแทนสำหรับความช่วยเหลือ
หลังพายุหิมะ ราคาสินค้าก็ทะยานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นไก่ฟ้าอ้วน ๆ 1 ตัวก็ราคาอย่างน้อย 100 - 200 อีแปะเข้าไปแล้ว ครอบครัวนั้นจึงมีความสุขเป็นอย่างมากและสัญญาว่าจะดูแลหมาทั้งสองตัวไว้เป็นอย่างดี
“อ้าว ! นั่นท่านพี่ต้าไห่มิใช่รึ ? มาส่งสัตว์ที่ร้านฝูหลินของเราเยี่ยงนั้นรึขอรับ ? มา ๆ ๆ เข้ามาข้างในเลยขอรับ !” ผู้จัดการร้านฝูหลินตาดีและจำหยูไห่กับลูกสาวของเขาได้ เมื่อเขาเห็นสัตว์ที่หยูไห่แบกมา คนที่หยิ่งจองหองอยู่เสมออย่างเขาก็ได้แต่ทักทายพวกเขาอย่างอบอุ่น
หยูไห่รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากกับการต้อนรับขับสู่ของเขา หยูไห่มาส่งสัตว์ที่ล่าได้ในเมืองอยู่บ่อยครั้งจึงรู้จักนิสัยและทัศนคติของผู้จัดการหลิวของร้านฝูหลินเป้นอย่างดี เขาเป็นคนมีอำนาจที่เหยียดหยามคนจน อีกทั้งผู้จัดการหลิวก็กดราคาสัตว์ที่เขานำมาขายอยู่ตลอด
กิจการที่กำลังเฟื่องฟูของร้านเจินซิวทำให้ความต้องการเนื้อสัตว์ของพวกเขาเพิ่มสูงขึ้น หยูไห่จึงไม่ค่อยได้ทำธุรกิจกับร้านฝูหลิน แล้ววันนี้ผู้จัดการหลิวเกิดบ้าอันใดขึ้นมาเยี่ยงนั้นรึ ? อยู่ ๆ ก็มาทำตัวราวกับสนิทสนมกับเขาเสียอย่างนั้น อีกทั้งยังเรียกเขาว่า ‘พี่’ อีกด้วย
หยูเสี่ยวเฉาที่ถือสัตว์เล็กไว้หลายตัวมีความประทับใจที่เลวร้ายกับผู้จัดการหลิวคนนี้ ยิ่งกว่านั้นนางก็ได้ทำข้อตกลงกับคุณชายสามตระกูลโจวเอาไว้แล้วว่าถ้านางจับสัตว์อะไรได้ นางจะเอามาขายให้กับร้านเจินซิวก่อน ดังนั้นนางจึงไม่อยากทำธุรกิจกับร้านฝูหลินที่ไม่มีจรรยาบรรณในการทำธุรกิจสักเท่าใดนัก