Re-new ตอนที่ 43 ใจดำ
ตอนที่ 43 ใจดำ
หมู่บ้านตงชานมิได้เป็นหมู่บ้านที่ใหญ่มาก ข่าวจึงแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็วว่า เมื่อคืนภรรยาของชวนจู้ได้เดินฝ่าหิมะไปขอให้ลูกสาวคนเล็กของตระกูลหยูไปดูคนไข้ ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งหมู่บ้านแล้ว ดังนั้นเช้าวันนี้จึงมีคนไปที่บ้านของชวนจู้เพื่อสอบถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
หลังจากนั้นหยูเสี่ยวเฉาก็ถูกเชิญไปรักษาคนไข้เป็นครั้งคราว นางได้เรียนรู้จากประสบการณ์และไม่ได้พึ่งแต่น้ำหินศักดิ์สิทธิ์มารักษาอาการป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกต่อไปแล้ว นางจะจ่ายยาสำหรับอาการป่วยเล็ก ๆ และพรมน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ลงไปบนสมุนไพรหากเป็นโรคที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น คนไข้ที่นางรักษานั้นหายดีหมดทุกคน ดังนั้นชื่อเสียงของนางในฐานะ ‘หมอน้อยแห่งหมู่บ้านตงชาน’ จึงค่อย ๆ แพร่กระจายไปยังหมู่บ้านใกล้เคียง
หิมะตกหนักอยู่หลายวันกว่าจะหยุด ทั้งหมู่บ้านตงชานถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาวโพลนกองสูงพะเนิน ราวกับว่าโลกนี้มีเพียงสีขาวและสีดำเท่านั้น
บ้าน 20 หลังในหมู่บ้านตงชานต้องเดือดร้อนเนื่องจากผลของพายุหิมะ บ้านของชาวบ้านต่างก็เสียหายจากพายุหิมะในครานี้เพียงแต่ต่างกันที่ว่าเสียหายน้อยหรือมากเพียงเท่านั้น มีสามครอบครัวที่บ้านพังลงทั้งหลังเพราะหิมะ แต่โชคดีที่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือล้มตาย
แต่ก็มีคนแก่และเด็กมากมายที่ไม่สามารถรอดชีวิตจากความหนาวเย็นอันแสนสาหัสอย่างกะทันหันได้ พวกเขาเหล่านั้นต่างก็เสียชีวิตไปอย่างเงียบ ๆ
หิมะที่ตกหนักทำให้ชาวบ้านหลายคนอ่อนแอ บ้างก็หิวโหย บ้างก็ป่วยไข้ หิมะที่ตกหนักอยู่หลายวันทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นในเมือง
ราคาเมล็ดธัญพืชหยาบเพิ่มจาก 2 อีแปะต่อชั่งเป็นราคาเดียวกับธัญพืชชั้นดีก่อนที่หิมะจะตก ธัญพืชชั้นดีที่แต่เดิมราคา 5 อีแปะต่อชั่งก็เพิ่มขึ้นเป็น 10 อีแปะต่อชั่ง ยิ่งกว่านั้นราคาของข้าวขาวที่มิมีปลูกในพื้นที่รอบ ๆ เมืองถังกู่ก็เพิ่มขึ้นเป็น 20 อีแปะ ! ต่อชั่งไปแล้ว ราคาเนื้อทุกชนิดก็เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
เมื่อเวลาผ่านไป วันปีใหม่ก็มาถึง แต่ราคาของอาหารและสินค้าต่าง ๆ ก็ยังคงสูงอยู่ นี่เป็นปัญหาหลักสำหรับชาวบ้านทั่วไปที่ทำงานหนักในปีที่ผ่านมาและอยากจะเปลี่ยนวิถีชีวิตของพวกเขาในช่วงปีใหม่
ในช่วงหลายวันมานี้ บรรยากาศที่โต๊ะอาหารของตระกูลหยูมืดครึ้มชอบกล เสียงบ่นของนางจางทำให้คนอื่น ๆ กินข้าวไม่ลง
“กิน ! กิน ! กิน ! รู้จักแต่เรื่องกิน ! กินจนจะหมดโกดังอยู่แล้ว ! เหตุใดตระกูลหยูของเราถึงให้คนขี้โรคอย่างเจ้าแต่งงานเข้ามาในตระกูลกันนะ ? เป็นผู้หญิงที่พาโชคร้ายมาให้ครอบครัวสามีตนเองอย่างแท้จริง !” นางจางเห็นหยูเสี่ยวเฉาเอาแผ่นแป้งไปให้แม่อีกแผ่นก็เริ่มด่าอย่างเกรี้ยวกราด
หิมะตกหนักทำให้นางหลิวที่อ่อนแอและสุขภาพไม่ดีต้องล้มป่วย นางหลิวไอจนหอบอยู่บ่อยครั้ง เสี่ยวเฉาไม่ต้องจับชีพจรของแม่นางก็รู้ได้ว่านางหลิวเป็นโรคหลอดลมอักเสบ นางสั่งยาให้แม่หลายถ้วยและใส่น้ำหินศักดิ์สิทธิ์ลงไปในน้ำดื่มของแม่อีกด้วย ดังนั้นอาการไอที่ปกติจะกินเวลานานหลายเดือนก็ถูกเสี่ยวเฉารักษาจนหาย
ตอนที่ป่วยนางหลิวจะทนความหนาวมิได้ ดังนั้นนางหลี่กับคนอื่น ๆ ในบ้านจึงต้องแบ่งงานกันทำ นางหลี่ไม่เคยทำงานอย่างจริงจัง ดังนั้นงานบ้านส่วนใหญ่จึงตกเป็นภาระของหยูไซตี้และบ่าวรับใช้ของนางจ้าว
นางจางไม่เต็มใจให้ลูกสาวคนเล็กของนางทำงานบ้าน แต่นางก็ไม่กล้าโยนงานทั้งหมดไปให้บ่าวรับใช้ของสะใภ้สาม ดังนั้นนางจึงต้องทำงานด้วยตนเอง พอนางหงุดหงิดจากงานบ้าน นางก็เริ่มด่ากราดไม่หยุด ราวกับปืนกล
“ท่านย่า ป่วยครานี้ท่านแม่มิได้ใช้เงินสักอีแปะเดียว เพียงแค่ให้ท่านแม่พักเพียงสองสามวันก็มิได้รึเจ้าคะ ? ในบ้านมีคนอยู่ตั้งสิบกว่าคน ถ้าทุกคนช่วยกันคนละนิดละหน่อย งานก็เสร็จได้เจ้าค่ะ ร่างกายของท่านแม่ยังอ่อนแอมาก จะปล่อยให้หิวมิได้ ถ้าไม่ได้พักฟื้นให้ดี อาการป่วยเล็กน้อยก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ ถ้าป่วยหนักขึ้นมาท่านย่าคิดรึว่าข้าจะยังสามารถรักษาได้ ? เยี่ยงนั้นก็ต้องเรียกหมอจากในเมืองมาใช่หรือไม่เจ้าคะ ?”
หยูเสี่ยวเฉากินต่อและไม่สนใจเสียงบ่นของนางจาง ถ้าทะเลาะกับยายแก่วัยทองที่โคตรลำเอียงผู้นี้ก็เป็นการทรมานตนเองเสียเปล่า
นางจางไม่รู้ว่าจะเถียงคำพูดของเด็กหญิงได้เยี่ยงไร นางจึงวางตะเกียบลงแล้วคร่ำครวญพร้อมกับตบขาตนเอง “ข้าทำเวรทำกรรมอันใดไว้ ? เหตุใดต้องมาพบเจอกับพวกไร้ประโยชน์พวกนี้ด้วย ? ข้าเป็นเพียงผู้หญิงแก่ ๆ อ่อนแอที่ทำงานหนักเพื่อเก็บอาหารให้คนทั้งบ้าน แล้วยังต้องถูกเด็กด่าอีก สวรรค์ ! เหตุใดท่านมิเอานังเด็กอกตัญญูนี่ไปให้พ้น ๆ เสียที...”
หลังจากนางหลี่กลืนอาหารลงคอแล้ว นางก็ใช้แขนเสื้อสกปรกของนางเช็ดปากและแดกดันออกมาอย่างมีความสุข “เฮ้ ! เสี่ยวเฉา เจ้าพูดกับท่านย่าเช่นนั้นได้เยี่ยงไรกัน ? เจ้าทำให้ท่านย่าโมโห จะไม่ก้มหัวขอโทษท่านย่าสักหน่อยรึไงเล่า ?”
หยูไห่รีบพูดแทรกขึ้นมาเพื่อปลอบใจนางจาง “ท่านแม่ เฉาเอ้อร์ยังเด็ก อย่าได้เก็บเอาคำพูดนางมาใส่ใจเลย พวกเราทุกคนต่างก็รู้ว่าท่านแม่เป็นกังวลเพื่อครอบครัวเราเพราะเงินเฟ้อในฤดูหนาวปีนี้ แต่ท่านแม่มิต้องห่วงหรอกขอรับ พอหิมะละลาย ข้าจะไปล่าสัตว์ในภูเขา แล้วเก็บไว้ครึ่งหนึ่งสำหรับวันปีใหม่ ส่วนอีกครึ่งก็เอาไปแลกแป้งขาวชั้นดีกับแป้งสาลีที่เมืองก็ได้นี่ขอรับ !”
ทันทีที่นางจางได้ยินว่าปัญหาเรื่องอาหารวันปีใหม่สามารถแก้ไขได้แล้ว นางจึงหยุดร้องไห้และทำหน้าดุมองเสี่ยวเฉาที่ท้าทายอำนาจของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นก็หันไปกล่าวกับหยูไห่ว่า “ลูกรอง เจ้าตามใจลูกมากจนมิรู้จักเคารพผู้ใหญ่แล้ว นางเป็นเด็กพูดกับผู้ใหญ่เยี่ยงนั้นได้หรือ ? น่าจะตีสั่งสอนนางสัก 2 ทีจะได้รู้จักเคารพผู้ใหญ่เสียบ้าง !”
หยูไห่ที่ทนเห็นลูกเจ็บไม่ได้แม้แต่ปลายก้อย ก็ได้คิดว่าลูกสาวของเขาไม่ได้พูดอะไรผิดเลยสักนิด แต่เขารู้สึกว่าหญิงชราไม่อาจยอมรับความอับอายได้ ถ้าเขาไม่ให้ทางออกกับนาง นางก็คงจะสร้างเรื่องสร้างราวไปอีกทั้งวัน
ขณะที่หยูไห่กำลังลังเล เขาก็เห็นตะเกียบในมือลูกสาวหล่นลงบนพื้นอย่างกะทันหัน นางขมวดคิ้วแน่นพร้อมกับจับหน้าอกด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ท่านพ่อ...ข้า ข้าหายใจมิออก...” พูดยังไม่จบนางก็หมดสติและล้มหงายหลังลงไปทันที
หยูเสี่ยวเหลียนวางตะเกียบเตรียมพร้อมตั้งแต่เห็นเสี่ยวเฉาขมวดคิ้วแล้ว พอเสี่ยวเฉาล้มหงายหลังลงไป เสี่ยวเหลียนจึงสามารถรับตัวนางเอาไว้ได้ก่อนที่นางจะหล่นหัวกระแทกพื้น เสี่ยวเฉาแอบหรี่ตามองพร้อมกับทำท่าชมเชยเสี่ยวเหลียน
“เฉาเอ้อร์ ! เจ้าเป็นอะไรไป เฉาเอ้อร์ !” นางหลิวหน้าซีดเผือด นางกอดร่างผอมบางของลูกสาวเอาไว้พร้อมกับร้องไห้
หยูไห่อุ้มลูกสาวขึ้นมาทันทีและก้าวออกไป “ท่านพ่อ ! ท่านแม่ ! เฉาเอ้อร์ป่วยอีกแล้ว ! ท่านหมอโหยวบอกว่าเด็กคนนี้ร่างกายอ่อนแอเป็นอย่างมาก หากล้มป่วยอีกคราอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ข้าจะไปขอยืมรถลากบ้านลุงใหญ่แล้วพาเสี่ยวเฉาเข้าเมือง... !”
เฒ่าหยูหยุดกินทันทีและรีบเอาเสื้อคลุมขนสัตว์ของเขาคลุมร่างหลานสาวเอาไว้ “สวมเสื้อเยอะ ๆ ร่างกายจะได้อบอุ่น อย่าปล่อยให้นางเป็นหวัดได้หละ ยายเฒ่าเอาเงินออกมาเร็วเข้า หมอในเมืองมิยอมให้ติดไว้ก่อนเป็นแน่ !”
นางจางตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ นางยืนขึ้นและตะโกนใส่ชายชราว่า “เหตุใดข้าจะต้องให้เงินด้วย ? นังเด็กเวรนั่นแกล้งป่วยก็เห็น ๆ กันอยู่ ! เมื่อครู่ยังสบายดีอยู่เลยมิใช่รึ พอบอกให้ลงโทษก็ล้มป่วยลงไปเสียดื้อ ๆ เด็กนั่นกำลังขู่ข้า มันกำลังเอาอาการป่วยมาขู่ข้า ! ห้ามทุกคนขยับเป็นอันขาด ! หากกล้าออกจากห้องนี้ก็ไม่ต้องกลับเข้ามาในบ้านตระกูลหยูอีก !”
เฒ่าหยูก็โมโหเช่นกัน “เจ้ามันเผด็จการ ! กับเด็กเล็ก ๆ ยังทำใจร้ายอยู่ได้เยี่ยงไรกัน ? มิได้ยินที่ท่านหมอโหยวกล่าวไว้รึไง ? เด็กนี่จะถูกกระตุ้นหรือยั่วยุมากเกินไปมิได้ เมื่อครู่เจ้าจะลงโทษนาง นางก็กลัวจนป่วยไปอีกน่ะสิ เจ้าเป็นถึงท่านย่าของนาง แต่เจ้ากล้าทำเช่นนี้ได้เยี่ยงไรมิรู้สึกละอายเลยบ้างรึไง ? รีบเอาเงินมาประเดี๋ยวนี้ จะให้นางไปรักษาช้ามิได้ !”
“เหตุใดต้องไปหาหมอให้เสียเงินเปล่าด้วยเล่า ! ข้ามิมีเงินแม้แต่อีแปะเดียว เฉือนเนื้อข้าไปจ่ายเลยไหมล่ะ !?” นางจางทำราวกับว่ายอมตายดีกว่าจะเอาเงินให้พวกเขา ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าควรจะทำยังไงกับนางดี
นางหลี่ยิ้มเยาะและเอ่ยเสริมว่า “เสี่ยวเฉาเก่งนักมิใช่รึ ? รักษาคนได้เงินมาตั้งมากมาย มิเห็นเคยเอาเงินที่ได้มาให้ครอบครัวบ้างเลยนี่ !”
“เงินนั่นเป็นค่ายาของท่านหมอโหยว ! น้องสามคิดแค่ค่ายาเพียงอย่างเดียว !” หยูเสี่ยวเหลียนอดที่จะพูดไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าดูถูกเหยียดหยามของท่านย่ากับท่านป้าใหญ่
นางจางตะโกนราวกับเจอข้อผิดพลาดที่พวกเขาทำไว้แล้ว “คิดแค่ค่ายางั้นรึ ? ใครจะไปเชื่อพวกเจ้ากัน ? ทุกอย่างที่พวกแกกินเข้าไปเป็นของข้า ยังจะเห็นแก่ตัวแอบเก็บเงินเอาไว้เองอีกเยี่ยงนั้นรึ ! ข้าจะปล่อยให้ผู้อื่นทำตามมิได้ เอาเงินนั่นมาเร็วเข้า !” พูดจบนางก็ทำท่าจะไปค้นห้องตะวันตกด้วยตนเอง
หยูไห่อุ้มลูกและกัดฟันมองการกระทำของนางจาง ลูกสาวของเขาป่วยจนหมดสติ ท่านย่าของนางก็ยังขัดขวางไม่ให้พวกเขาไปหาหมออีก ยิ่งกว่านั้นนางยังต้องการยึดเอาค่ายาที่ลูกสาวของเขาเก็บไว้ให้ท่านหมอโหยวอีกด้วยรึ
“ท่านพ่อ ! เงินทั้งหมดที่เสี่ยวเฉาเก็บไว้คือค่าสมุนไพรของท่านหมอโหยว ! หากท่านหมอโหยวรู้ว่าพวกเราเอาเงินจากความลำบากเหนื่อยยากของเขาไป ครอบครัวของเรายังจะมีหน้าไปขอให้เขามารักษาพวกเราในวันข้างหน้าอยู่อีกรึ ? ถ้าคนในหมู่บ้านรู้เข้า ครอบครัวของเราจะยังมีศักดิ์ศรีอยู่อีกเยี่ยงนั้นรึ ?”
เมื่อเห็นว่าพ่อของเขาไม่คิดจะห้ามนางจาง หยูไห่ก็รู้สึกเจ็บปวดและโกรธเคือง คนมักจะพูดกันว่า ‘ถ้ามีแม่เลี้ยงก็จะมีพ่อเลี้ยง’ ดูเหมือนว่าคำกล่าวนั้นจะเป็นความจริง นางจางมักจะข่มเหงรังแกและกดขี่บ้านสองอยู่เสมอ แต่ท่านพ่อของเขาจะช่วยพูดให้ก็ตอนที่รู้สึกว่านางจางทำเกินไปเท่านั้น วันนี้เขาถึงกับเห็นพ้องกับการกระทำของนางโดยไม่คิดจะขัดเมื่อปัญหานั้นเกี่ยวข้องกับการเงินของครอบครัว
เฒ่าหยูก็มีความคิดเป็นของตนเอง ในเมื่อตระกูลต้องมีบัณฑิต ก็มีเรื่องให้ต้องใช้เงินอีกเยอะในอนาคต ถ้าทุกคนเห็นแก่ตัว แล้วตระกูลจะอยู่รอดได้เยี่ยงไร ? เรื่องแอบเก็บเงินเอาไว้เองนั้นเป็นเรื่องที่ยอมมิได้โดยเด็ดขาด
แต่ตระกูลหยูแตะต้องเงินค่ายาในมือหลานสาวของเขามิได้จริง ๆ ทุกวันนี้ทุกบ้านต่างก็มีการเจ็บป่วยและปัญหาที่ต้องขอความช่วยเหลือจากหมอทั้งนั้น พวกเขาจะล่วงเกินหมอคนเดียวในละแวกนี้มิได้ ถ้านางแอบทำอะไรกับยาของพวกเขาขึ้นมาคงแย่เป็นแน่
“ห้ามทุกคนแตะต้องเงินของท่านหมอโหยว ! นี่ยายเฒ่า เจ้ามิต้องการให้ท่านหมอโหยวรักษาโรคไขข้ออักเสบของเจ้าแล้วรึเยี่ยงไร ? แล้วยังอาการไอของต้าชานอีก...” ในที่สุดเฒ่าหยูก็ยอมเอ่ยออกมา
นางจางถือกล่องเงินที่หาพบซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินอีแปะ อย่างน้อยข้างในก็น่าจะมีถึงสองสามพันอีแปะ ถ้าเอาเงินทั้งหมดเข้าบัญชีของครอบครัวได้แล้วล่ะก็ ต่อให้ปีใหม่ราคาของยังสูงอยู่ ตระกูลหยูก็สามารถมีวันปีใหม่ที่หรูหราได้
คำพูดของเฒ่าหยูทำให้มือที่กำลังจะเอื้อมไปหาเงินต้องหยุดชะงัก นางจางคิดอยู่ในใจว่านางรู้ดีว่าเสี่ยวเฉามีความสามารถมากถึงเพียงไหน นางเชื่อว่าเหตุผลเดียวที่คนพวกนั้นขอให้เสี่ยวเฉาไปรักษาก็เพราะยาของหมอโหยว
นางจางทนทรมานจากโรคไขข้ออักเสบมานานกว่า 10 ปี ช่วงพายุหิมะเมื่อหลายวันก่อนโรคของนางก็กำเริบขึ้นมาอีกครา ตอนนั้นหยูเสี่ยวเฉาใช้สมุนไพรที่หมอโหยวเตรียมไว้ให้ช่วยลดอาการปวดของนาง (ผู้แต่ง : ความจริงเสี่ยวเฉาเป็นคนเตรียมต่างหากเล่า) ถ้าหากพวกเขาล่วงเกินหมอโหยวเข้า นางมิต้องเข้าเมืองเพื่อไปรักษาขาของนางหรอกรึ ? นั่นจะต้องเป็นการเสียเงินมากเป็นแน่ !
หลังจากคิดไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ นางก็ได้วางกล่องเงินลงอย่างไม่เต็มใจมากนัก จากนั้นก็กลับห้องไปโดยไม่ยอมกินอาหาร นางเมินเฉยต่อทุกคนและนอนลงบนเตียง
หยูไห่ก้มลงมองลูกสาวที่ดูซีดเซียวในอ้อมแขนของเขาและเอ่ยกับเฒ่าหยูว่า “ท่านพ่อ ต่อให้ต้องยืมเงิน ลูกก็ต้องพาเสี่ยวเฉาไปหาหมอในเมืองให้ได้ !”