บทที่ 2 เด็กหนุ่มผู้ถูกผนึก
ภายในทวีปเทียนซิง ณ อาณาจักรเสินหวู่, เมืองเทียนอวี่
“อืม..”
เมื่อเจียงอี้ลืมตาขึ้นและพบว่ารอบด้านค่อยข้างที่จะพร่ามัว จากนั้นไม่นานเขาก็เค้นเสียงออกมาเมื่อตระหนักได้ว่าทุกส่วนในร่างกายนั้นรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรง
ส่วนที่สาหัสที่สุดก็คือศีรษะซึ่งปวดจนแทบจะทนไม่ไหว เจียงอี้พยุงตัวเองขึ้นด้วยเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่พร้อมกับใบหน้าอันบวมปูด
จากนั้นเขาก็เริ่มสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบและตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าเขาหมดสติอยู่บนเนินใกล้กับไร่สมุนไพรบนเขาซีชาน
ซึ่งที่แห่งนี้ก็คือส่วนหนึ่งของทรัพย์สินของตระกูลเจียง
เจียงอี้แทบจะถูกโทสะเข้าครอบงำเมื่อใช้มือสัมผัสไปที่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ
เช้าวันนั้นเขาต้องรีบไปตรวจสอบการเก็บเกี่ยวสมุนไพรภายในไร่
โชคไม่ดีที่เขาบังเอิญไปเจอกับเจียงหยูหู่และพวกตอนที่พวกเขากำลังขโมยสมุนไพรเพื่อนำไปขาย
โดยปกติแล้วตระกูลจะทำเป็นเมินเฉยต่อพวกต่อสิ่งเหล่านี้
อย่างไรก็ตามเจียงอี้ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะตำหนิการกระทำของคนเหล่านี้
แต่ผิดคาดที่พวกเขาตอบสนองโดยการร่วมหัวกันทำร้ายเขาและปล่อยให้เขาสลบอยู่ที่นี่จนถึงตอนนี้
“เจียงหยูหู่!” เจียงอี้ขบฟันแน่นด้วยความขมขื่น
“ทั้งหมดที่ข้าทำก็แค่ตำหนิเจ้านิดหน่อยเท่านั้น แต่พวกเจ้ากลับลงมือกับข้าอย่างโหดเหี้ยม! คอยดูเถอะ สักวันหนึ่งข้าจะต้องแก้แค้นเจ้าให้ได้!”
กระนั้นก่อนที่เขาจะยืนได้อย่างมั่นคง เพราะความเจ็บปวดจึงทำให้เขาสะดุดและเกือบล้มลงบนพื้นอีกครั้ง
บาดแผลน้อยใหญ่ทั่วร่างกายทำให้เจียงอี้รู้สึกทรมานมาก เขายังคงรู้สึกมึนงงในขณะที่ใบหน้าของเขายังกระตุกไม่หยุด
โชคร้ายที่นอกเหนือจากการสาปแช่งพวกนั้นและเก็บความแค้นไว้ในใจ เขาจะยังทำอะไรได้อีก?
ตระกูลเจียงเป็นหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนอวี่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีสมาชิกจำนวนมากในตระกูลและยังคงเข้มงวดในเรื่องลำดับอาวุโส
สมาชิกที่ได้รับความเคารพที่สุดของรุ่นเยาว์ในตระกูลเจียงคือบุตรของตระกูลสายหลักและตระกูลสาขา
ส่วนกลุ่มญาติที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดก็จะได้รับการปฏิบัติรองลงมา
เป็นผลให้ระดับชนชั้นผู้นำจะประกอบไปด้วยลูกหลานสายตรงหรือไม่ก็ส่วนน้อยซึ่งมีพรสวรรค์สูงจากตระกูลสาขา
ผู้ที่มาจากตระกูลสาขาและมีความสามารถโดยเฉลี่ยเหมือนกับเจียงหยูหู่นั้นมีสถานะด้อยกว่ามาก
สำหรับเจียงอี้… หากตัดสินกันด้วยสายเลือด ตำแหน่งของเขาควรที่จะติดอันดับต้นๆของตระกูลสาขา
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ในความจริงแล้วสถานะของเขาในทุกวันนี้แทบจะเป็นระดับต่ำสุดของตระกูลเจียงแล้ว
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การเป็นนายน้อยในตระกูลสำหรับเจียงอี้นั้นเป็นเพียงแค่ในนามเท่านั้น
เขาถูกรังแกจากคนในตระกูลที่มีระดับที่สูงกว่าและได้รับความทุกข์ทรมานจากเรื่องเหล่านี้อย่างแสนสาหัส
อย่างเช่นในครั้งนี้ที่เขาถูกทำร้ายจนหมดสติไปทั้งช่วงเช้า
“ความแข็งแกร่ง!”
“พลัง!”
“เพราะขาดพลัง! ข้า เจียงอี้ผู้นี้ ถึงกลับถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าของไอ้สารเลวอย่างเจียงหยูหู่และต้องประสบพบเจอกับความอัปยศมานับไม่ถ้วน!”
“นี่ไม่ใช่ชีวิตที่ข้าปรารถนาไม่ว่าจะตอนนี้หรือในอนาคต!”
เจียงอี้เริ่มลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนเช้า ใบหน้าของเขากำลังถูกแผดเผาไปด้วยความโกรธและเคียดแค้น
มือของเขากำแน่นจนทำให้เล็บแทงทะลุเข้าไปในฝ่ามือ
แม้จะอยู่ในสภาพไม่สู้ดีนัก แต่เขาก็ยังคงดื้อรั้น ทีละก้าวๆ เจียงอี้ค่อยๆเดินกะโผลกกะเผลกกลับบ้านโดยไม่สนใจรอบด้าน
ตลอดการเดินอันแสนยาวนาน ดวงตาอันมืดมิดของเขากำลังลุกไหม้ไปด้วยเพลิงแค้น แม้จะเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย แต่ใบหน้าของเขากลับสงบนิ่ง มันสงบนิ่งจนน่ากลัวซึ่งดูไม่สมกับอายุของเขาเลยแม้แต่น้อย
………
เมื่อสิบสองปีก่อน ตอนที่เจียงอี้อายุได้สามขวบเขาถูกพากลับมาตระกูลโดยผู้อาวุโสที่มีตำแหน่งสูงส่งท่านหนึ่งและยังถูกรับเลี้ยงในฐานะหลานรักของผู้อาวุโสท่านนั้น
ในเวลานั้นฐานะของเจียงอี้ได้รับความเคารพนับถืออย่างมาก มันหมายถึงการเป็นทายาทที่ถูกต้องของตระกูลเจียงแม้ว่าเขาจะไม่มีสายเลือดของตระกูลเจียงไหลเวียนอยู่ในร่างกายก็ตาม
เมื่ออายุได้ห้าปี เจียงอี้ก็เริ่มฝึกฝนวรยุทธ์ขั้นพื้นฐานเหมือนกับเด็กคนอื่นๆในตระกูล
ย้อนกลับไปตอนนี้ เขาแสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันยอดเยี่ยม โดยสามารถเรียนรู้และลอกเลียนแบบทักษะใดๆก็ตามได้อย่างง่ายดายจนน่าหวาดกลัว
ซึ่งเรื่องนี้เองได้ผลักดันให้เขามีชื่อเสียงและถูกเรียกขานว่า “อัจฉริยะน้อยแห่งตระกูลเจียง”
อย่างไรก็ตามสองปีต่อมา โชคชะตาของเขากลับพลิกผันในชั่วข้ามคืน
เมื่ออายุได้เจ็ดปี ตระกูลจะเริ่มสอนให้พวกเขารู้จักการบ่มเพาะแก่นแท้พลังและเจี้ยงอี้ในอายุเจ็ดปีก็ไม่มีข้อยกเว้น
เขาถูกให้ฝึกวรยุทธ์สายวารีระดับสูงของตระกูลเจียงซึ่งเป็นเทคนิคที่จะสอนให้แก่ผู้สืบทอดของสายเลือดหลักเท่านั้น
แต่ฝันร้ายก็ได้มาเยือน ตรงข้ามกับความคาดหวังของเหล่าสมาชิกในตระกูล
เจี้ยงอี้บ่มเพาะแก่นแท้ธาตุน้ำได้ในปริมาณที่น้อยมากแม้ว่าจะฝึกฝนทั้งเดือน
สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความโกลาหลมากเพราะแม้แต่ลูกหลานที่ธรรมดาที่สุดยังสามารถฝึกได้ผลลัพธ์เดียวกันแม้ว่าจะฝึกเพียงสามถึงห้าวัน
ชาวทวีปเทียนซิงต่างก็ฝึกฝนโดยการหยิบยืมพลังจากองค์ประกอบธาตุ โลหะ ไม้ น้ำ ไม้และดินเพื่อที่จะบ่มเพาะและหล่อเลี้ยงแก่นแท้พลังของพวกเขา
มีเพียงผู้ที่สามารถบ่มเพาะแก่นแท้พลังได้ในระดับสูงเท่านั้นจึงจะสามารถดึงพลังที่แท้จริงของทักษะหรือเทคนิคที่ตนฝึกออกมาได้
แม้แต่การผ่าแยกภูเขา การโบยบิยอย่างอิสระบนท้องฟ้าหรือการมีร่างกายที่แข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นไปได้หากว่าบ่มเพาะแก่นแท้พลังได้เพียงพอ
ในทางเดียวกัน หากปราศจากแก่นแท้พลังใดๆ ไม่ว่าทักษะการต่อสู้นั้นๆจะเป็นระดับสุดยอดแต่มันก็จะไร้ประโยชน์ทันที
ถ้าไม่สามารถที่จะบ่มเพาะแก่นแท้พลัง แม้แต่ทักษะวิชาขั้นพื้นฐานก็ไม่อาจที่จะฝึกฝนได้!
มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เจี้ยงอี้ในวัยเด็กผู้ซึ่งถูกกล่าวขานว่ามีพรสวรรค์ราวกับปีศาจจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?
ไม่มีแม้แต่คนเดียวในตระกูลเจียงที่จะไม่รู้สึกตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เมื่อตระหนักได้ถึงสถานการณ์ผิดปกติ ผู้อาวุโสใหญ่ที่กำลังฉุนเฉียวจึงได้ไปยังห้องสมุดส่วนตัวของเขา
จากกองหนังสือจำนวนนับไม่ถ้วน เขาได้รวบรวมตำราที่แตกต่างกันซึ่งใช้ในการฝึกบ่มเพาะพลังจิตและมอบให้กับเจียงอี้เพื่อฝึกฝนทีละเล่มๆ
โดยไม่คำนึงว่าเจียงอี้จะเหมาะสมกับการฝึกทางจิตระดับต่ำสุดหรือไม่
ตราบใดที่เขายังเรียนรู้ด้วยความเร็วที่เทียบเท่ากับคนธรรมดา ด้วยสัญชาตญาณในเรื่องการต่อสู้ของเขาที่เคยแสดงออกมาก่อนหน้านี้
วันหนึ่งเขาจะต้องสามารถกลายเป็นนักสู้ชั้นยอดได้อย่างแน่นอน
แต่ถึงเจียงอี้ในวัยเด็กจะใช้เวลาเกือบปีในการทดลองทุกเทคนิคการบ่มเพาะพลังจิต แต่เขาก็ไม่อาจที่จะสัมผัสถึงความมหัศจรรย์ใดๆได้เลย
ปริมาณของแก่นแท้พลังที่สะสมมาตลอดทั้งเดือนของเขายังคงน้อยกว่าอัจฉริยะบางคนที่ฝึกฝนในวันเดียวเสียอีก
ทำไมจู่ๆเด็กน้อยผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยศักยภาพสูงส่งจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้?
ด้วยความหงุดหงิด ในที่สุดผู้อาวุโสใหญ่จึงคิดที่จะใช้แก่นแท้พลังของตัวเองตรวจเช็คสภาพร่างกายของเจียงอี้
นี่เองที่ทำให้เขาค้นพบสิ่งที่น่าตกใจ เขาพบว่าบริเวณรอบๆตันเทียนของเจียงอี้นั้นถูกกั้นไว้ด้วยชั้นผนึกบางอย่าง
มันบางราวกับแผ่นกระดาษ ชั้นผนึกนี้ได้ปกคลุมตันเทียนของเจียงอี้ไว้ทั้งหมด
มันคล้ายกับตัวกรองที่ปิดกันทั้งทางเข้าและทางออกซึ่งจำกัดความเร็วของแก่นแท้พลังที่ไหลเข้าสู่ร่างกายของเขา
กล่าวอีกอย่างหนึ่ง ผนึกอันแปลกประหลาดนี้คือตัวการที่ทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเจียงอี้เชื่องช้าลง!
หลังจากที่มันถูกเปิดเผย ผู้อาวุโสใหญ่ก็ใช้การสังเกตและเริ่มวาดภาพผนึกนั้น มันคือตราประทับที่มีรูปมังกรอันลึกลับ
ปัญหาก็คือไม่มีใครที่จะสามารถอ่านหรือทำความเข้าใจกับตัวอักษรที่ก่อให้เกิดตราประทับอันนี้ได้
เมื่อผู้อาวุโสใหญ่ให้การยืนยันว่าเจียงอี้ไม่สามารถบ่มเพาะแก่นแท้พลังได้อีกต่อไป
เขาก็ใช้เวลาตลอดหลายวันเพื่ออ่านบันทึกโบราณและตำราที่เกี่ยวกับยันต์ทุกชนิดเพื่อที่จะช่วยเหลือหลานชายของเขา
เขาเดินทางไปไกลแสนไกลเพื่อขอความช่วยเหลือจากปรมาจารย์ด้านอักขระและยันต์เวทย์มนตร์
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่จะได้ทำลายตราประทับนั้นในวันหนึ่ง
ผู้อาวุโสใหญ่ผู้น่าสงสาร… เพียงไม่กี่เดือน เขากลับดูแก่ชราลงไปถึงสิบปี!
เมื่อเจียงอี้อายุได้เก้าปี ผู้อาวุโสใหญ่ก็ได้ทิ้งจดหมายไว้เพื่อบอกให้คนอื่นรู้ว่าเขากำลังจากไปยังที่แห่งอื่น
กระนั้น มันก็ผ่านมาหกปีแล้วนับตั้งแต่ที่เขาจากไป ทางตระกูลไม่เคยได้รับข่าวใดๆจากเขาอีกเลยราวกับว่าเขาได้หายสาบสูญไปจากโลกนี้
ชะตากรรมของเจียงอี้ จากอดีตยอดอัจฉริยะผู้น่าตกตะลึง ตอนนี้เขาได้กลายเป็นเพียงคนไร้ประโยชน์อย่างสมบูรณ์ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลเจียงหายตัวไป มันทำให้ชื่อเสียงของเขาลดฮวบลง
ในฐานะ ‘ต้นเหตุ’ ของเหตุการณ์อันโชคร้าย เจียงอี้ไม่ได้รับการสนับสนุนการเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเจียงอีกต่อไป แม้ว่าเขายังคงพากเพียรฝึกฝนตลอดทั้งหกปี
การหายตัวไปของผู้อาวุโสใหญ่ทำให้เขาต้องฝึกฝนหนักขึ้นจนสามารถก้าวสู่ขอบเขตฉูติ่งขั้นที่หนึ่ง[1] แต่ตำแหน่งของเขาในตระกูลก็ยังคงต่ำลงเรื่อยๆ
เมื่อสองปีก่อนเจียงอี้ถูกบังคับให้ย้ายออกจากตำหนักและไปอาศัยอยู่ในเรือนข้ารับใช้ทางฝั่งตะวันตกแทน
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เขายังคงรับผิดชอบในการดูแลไร่สมุนไพรของตระกูลเจียง ในครึ่งปีแรกนั้นงานหนักกว่าปกติ
มันคืองานที่ลูกหลานซึ่งอายุครบสิบหกปีและไม่สามารถบรรลุถึงขอบเขตฉูติ่งขั้นที่สามได้ต้องทำ
เจียงอี้ถอนหายใจ “คนไร้ค่าไม่อาจจะที่จะจมอยู่กับความสำเร็จในอดีตได้ แม้จะมองย้อนกลับไปมันก็ไร้ประโยชน์”
“ข้าไม่รู้เลยว่าตอนนี้เสี่ยวนู๋จะเป็นกังวลกับข้ามาแค่ไหน หากนางเห็นสภาพอันน่าสังเวชของข้าในตอนนี้…”
เมื่อนึกถึงเสี่ยวนู๋ แววตาที่เต็มไปด้วยความแค้นของเจียงอี้ก็ดูอ่อนลงก่อนที่จะหายไปในที่สุด
ร่างของเขาหยุดอยู่ชั่วคู่ วันเวลาอาจจะผ่านไปอย่างยากลำบากแต่เขาก็ไม่เคยที่จะยอมแพ้
เขามักจะนึกถึงแรงกระตุ้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา เหตุผลเพียงหนึ่งเดียวที่เขายอมทนต่อความทุกข์ทรมานต่างๆ นั่นก็คือเด็กหญิงตัวน้อยผู้ซึ่งเติบโตมาพร้อมกับเขา
แม้ว่าสถานการณ์ของเจียงอี้จะเลวร้ายแต่นางก็ไม่เคยคิดที่จะทิ้งเขาให้เดียวดาย นางยังคงสรรหาวิธีการต่างๆเพื่อกระตุ้นและสนับสนุนเขาในทุกๆวัน
……..
ปังงงง!!
เสียงประตูกระแทกใส่กำแพงดังขึ้นในบ้านหลังเล็กที่ดูทรุดโทรม เจียงอี้เดินโซซัดโซเซไปตามทางเดิน
เขาแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงเหลือพอที่จะไปนำตัวเองกลับมาที่บ้าน นัยน์ตาของเขาเผยให้เห็นความเจ็บปวดอันใหญ่หลวง คิ้วที่ขมวดชนกันอย่างหนักใจ และที่มุมปากของเขานั้นก็เต็มไปด้วยคราบเลือดแห้ง
อากาศภายในห้องนั้นเหม็นอับและเหน็บหนาว เพราะขาดแสงไฟของเทียนที่ให้ความอบอุ่น
เจียงอี้เอนตัวลงบนโต๊ะเพื่อสูดลมหายใจชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะลุกขึ้นมาจุดเทียนด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือไม่มาก ตอนนั้นเองที่เขาเห็นข้อความสั้นๆที่ถูกทิ้งไว้บนโต๊ะ
‘มีหมั่นโถวกับข้าวต้มเนื้ออยู่ในหม้อนะ ข้าออกไปข้างนอก เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าก็กลับมาแล้ว ไม่ต้องกังวลกับตัวข้านะ ตั้งใจฝึกฝนนะ นายน้อย’
เจียงอี้รู้สึกหนักใจเมื่อได้อ่านลายมือขยุกขยุยของเสี่ยวนู๋จอมเซ่อคนนี้
เขาเริ่มนึกย้อนกลับไปในความทรงจำสมัยเด็ก ประมาณ 12 ปีที่ผ่านมาหลังจากที่แม่ของเจียงอี้เสียชีวิตลงจากความเจ็บป่วย
เจี้ยงอี้ก็ถูกพากลับมาที่เมืองเทียนอวี่โดยผู้อาวุโสใหญ่ และมืออีกข้างของผู้เฒ่านั้นได้อุ้มเด็กอีกคนเอาไว้ด้วย
ซึ่งนั่นก็คือเสี่ยวนู๋... ทั้งเสี่ยวนู๋และเจียงอี้นั้นไม่รู้จักใครในเมืองเทียนอวี่นอกจากสมาชิกของบ้านตระกูลเจียงเลย
เจียงอี้รับรู้ได้อย่างลึกซึ้ง จากหลายๆปีที่ผ่านมา ชื่อเสียงของเขานั้นลดลงเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งตระกูลเจียงก็ยังหักค่าตอบแทนให้กับเจียงอี้น้อยลงเรื่อยๆ
ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวนู๋ที่ออกไปทำงานข้างนอก และนางไม่เคยปริปากพูดอะไรเกี่ยวกับค่ายารักษาที่จำเป็นต่อการรักษาเจียงอี้ แม้กระทั่งเรื่องการซื้ออาหารในแต่ละวันที่กลายมาเป็นปัญหาหลักๆของค่าใช้จ่าย
มีหลายครั้งที่เจียงอี้นั้นต้องการที่จะออกไปทำงานเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายลง แต่ก็ต้องถูกเสี่ยวนู๋ปฏิเสธในทุกๆครั้ง
นางให้เหตุผลว่า เจียงอี้เป็นภาพลักษณ์ของตระกูลเจียงที่ถูกกำหนดให้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ จะให้นายน้อยเจียงอี้มาทำงานเป็นข้ารับใช้ได้อย่างไร?
“สิ่งที่ยิ่งใหญ่หรอ? นายน้อยหรอ? ฮ่ะฮ่ะฮ่าๆๆ”
เขาหัวเราะออกมา แต่เขาไม่ได้รู้สึกมีความสุขเลย... เจียงอี้ลุกจากโต๊ะไปที่เตียงของเขาด้วยความเจ็บปวด หัวของเขาสะเทือนราวกับว่าจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆให้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็นอนหลับสนิทภายในเวลาไม่นาน โดยที่ไม่ได้กินข้าวเย็นที่เสี่ยวนู๋ได้เตรียมไว้ให้เลย
….
ในคืนนั้นเอง...เจียงอี้ก็เกิดฝันขึ้นมา
เมื่อเขาตื่นลืมตาขึ้นมา เขาเห็นเสี่ยวนู๋กำลังเตรียมมื้ออาหาร เขามองนางกำลังล้างผักจากข้างหลัง แล้วก็อดไม่ได้ที่จะไม่บ่นว่านางผอมเกินไป
ในขณะที่เจียงอี้กำลังจะไปช่วยเสี่ยวหนูทำอาหาร ก็มีชายชราผมขาวรูปร่างผอมสูงเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับตำราโบราณมากมายเข้ามาวางไว้บนโต๊ะด้วยสีหน้าที่จริงจัง
ชายชราผู้นั้นพูดกับเจียงอี้ว่า ตำราลับเหล่านี้คือทักษะวิชายุทธ์ที่เขาสามารถฝึกฝนได้
น้ำตาได้ร่วงหล่นเต็มใบหน้าของเจียงอี้ และเขาได้กระซิบกับชายชราว่า “ท่านปู่ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว...ข้าดีใจมากเหลือเกิน นี่เป็นข่าวที่ดีเหลือเกิน...”
ในขณะเดียวกันนั้น เสี่ยวนู๋ก็ส่งเทียนไขให้เจียงอี้และพูดอย่างตื่นเต้นว่า “อย่ายอมแพ้นะนายน้อย นายน้อยจะต้องทำมันได้แน่ๆ”
เจียงอี้พยักหน้ารับกำลังใจจากเสี่ยวนู๋และเขาหยิบตำราโบราณเล่มหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะ และเปิดหน้าแรกขึ้น
ทันใดนั้นเอง สายตาของเขาก็เริ่มพร่ามัว จู่ๆตัวอักษรสีดำตัวเล็กๆจากหน้าหนังสือนั้นก็ลอยขึ้นมากลางอากาศและก่อตัวเป็นวงกลมและโคจรไปรอบหัวของเจียงอี้
‘สวรรค์และปฐพีนั้นกว้างใหญ่ ทางเดียวเท่านั้นคือการเป็นนิรันดร์เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งกฎแห่งสวรรค์ มันจำเป็นที่จะต้องบ่มเพาะพลังด้วยตนเอง...’
เจียงอี้พยายามอ่านตัวอักษรเล็กๆเหล่านั้น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเขา
นอกจากตัวอักษรที่วนอยู่รอบตัวของเขาแล้ว ก็มีตัวอักษรอื่นๆที่เคลื่อนไหวอย่างอิสระไปรอบๆทิศราวกับลูกอ๊อดตัวเล็กๆที่เต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิต
เมื่อเจียงอี้นั้นมัวแต่สนใจเจ้าตัวอักษรเล็กๆเหล่านั้น อักษรเหล่านั้นก็ได้เรียงตัวกันอย่างสมบูรณ์ !
ทันใดนั้นเอง ตัวอักษรต่างๆที่เหมือนลูกอ๊อดก็เปลี่ยนรูปแบบจากที่อยู่รอบๆตัวเจียงอี้ จู่ๆก็มุ่งไปที่ร่างกายของเขา บางส่วนก็ติดอยู่ที่ร่างกายเขา บางส่วนก็พุ่งเข้าไปในหูและลูกตา
“อ๊ากก ไม่! ไม่นะ!!”
เขาสะดุ้งตื่นจากฝันทันที และมันทำให้บาดแผลบนตัวของเขาเจ็บปวดขึ้นมาเนื่องจากการลุกอย่างฉับพลันของเขา สิ่งต่างๆทำให้เขาลงไปโอดครวญกับความเจ็บปวดและได้ใช้เวลาพอสมควรกว่าจะทำให้ความเจ็บปวดนั้นหายไปก่อนที่จะพยุงตัวเองขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้ตรงนั้น
“เห้อ โชคดีที่ทั้งหมดนี่มันเป็นเพียงแค่ความฝัน....” เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกในขณะที่สีหน้าของเขาซีดเผือกราวกับเห็นผีมา แต่ในขณะนั้นเอง เจียงอี้รู้สึกได้ว่าตัวสัญลักษณ์และอักขระเล็กๆสีดำที่มากมายนับไม่ถ้วนมันเข้ามาอยู่ในตัวของเขา
“ไม่นะ.. ไม่สิ.. เดี๋ยวก่อนสิ.....”
อักขระพวกนี้เป็นสิ่งที่เขาเห็นในความฝันอย่างแน่นอน เหมือนลูกอ๊อดตัวเล็กกำลังว่ายเวียนอยู่ในจิตใจของเขา.....
[1] ฉูติ่ง – หล่อขาตั้ง