Re-new ตอนที่ 39 ตราแสดงความขอบคุณ
ตอนที่ 39 ตราแสดงความขอบคุณ
หลังจากนั้นหยูไห่ก็อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นตอนที่พวกเขาไปเก็บของที่ทะเล เขาเล่าว่าเขาได้ช่วยชีวิตจวิ๋นอ๋องและส่งเขาออกจากหินโสโครกเยี่ยงไรบ้างตั้งแต่ต้นจนจบ หลังจากได้ยินเรื่องนี้แล้วเฒ่าหยูก็พยักหน้าช้า ๆ “ดีแล้ว เจ้าพูดถูกทุกอย่าง ช่วยคนจมน้ำเป็นหน้าที่ของพวกเราชาวประมง โชคดีที่ชนชั้นสูงพวกนั้นจำเหตุการณ์นี้ได้ เรามิใช่คนประเภทที่เรียกร้องของตอบแทนสำหรับการทำความดี วันหน้าเราไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้อีก”
เสี่ยวเฉาไม่คิดว่าท่านปู่ของนางจะมีหัวคิดเยี่ยงนี้ นางรู้สึกว่านางคงต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับชายชราผู้เงียบขรึมและมีอำนาจมากที่สุดในบ้านเสียใหม่ทั้งหมดแล้ว
สีหน้าของหยูต้าชานผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด “น้องรอง ข้ามิคิดเลยว่าน้องของข้าจะโชคดีได้ช่วยชีวิตของจวิ๋นอ๋องเอาไว้ ถึงเราจะมิใช่คนประเภทที่เรียกร้องของตอบแทนจากผู้อื่น แต่เราก็ไม่ควรปฏิเสธความตั้งใจดีของพวกเขา เร็วเข้าสิ เปิดดูสิว่าท่านอ๋องให้ของดีอะไรมางั้นรึ !”
เฒ่าหยูเองก็จ้องไปที่ห่อผ้าในมือของหยูเสี่ยวเฉาเช่นกัน
นี่คือตราแสดงความขอบคุณที่หัวหน้าขันทีของจวิ๋นอ๋องมอบให้พ่อของนาง คนพวกนี้เกี่ยวอะไรด้วยเยี่ยงนั้น ? หยูเสี่ยวเฉารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ของดี ๆ หากถูกคนนอกครอบครัวเห็นเข้าแล้ว อย่าหวังว่าพวกนั้นจะเหลือไว้ให้พวกเขา
หยูเสี่ยวเฉาแอบถอนหายใจขณะเปิดห่อผ้าออก ในนั้นมีก้อนเงิน 10 ก้อนและจี้หยก 1 อัน ดูจากลักษณะแล้วตราขอบคุณนี้ถูกรวบรวมมาอย่างเร่งด่วน แม้ว่าเนื้อหยกจะมิได้แย่ แต่มันก็ไม่ใช่ของชั้นเลิศแต่อย่างใด ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่มักจะใช้ตบเป็นรางวัลให้พวกคนใช้
“ขุนนางพวกนั้นช่างใจกว้างเสียจริง ดูสิ ! พวกเขาให้เงิน 100 ตำลึงมาง่าย ๆ เลย อีกทั้งยังมีจี้หยกนี้อีก อย่างน้อยต้องราคา 180 ตำลึงเป็นแน่ !” หยูต้าชานเดาะลิ้น “ดูเหมือนว่าเราจะมีเงินพอจ่ายค่าเล่าเรียนของน้องสามไปอีก 10 ปีเลยมิใช่รึ !”
หยูต้าชานรู้สึกเหมือนจะเป็นลมเมื่อมองดูก้อนเงินและจี้หยกพวกนั้น ปกติแล้วของพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนในครอบครัวของพวกเขาจะมีวันได้เห็น
หยูเสี่ยวเฉายิ้มหยัน เงินนี้ได้มาเพราะพ่อของนางเสี่ยงชีวิตช่วยจวิ๋นอ๋องจากคลื่นลมทะเลที่น่ากลัวเอาไว้ แล้วจู่ ๆ เงินพวกนี้จะกลายเป็นค่าเล่าเรียนอีก 10 ปีของอาสามได้เยี่ยงไร ?
เฒ่าหยูเอื้อมมืออันใหญ่โตหยาบกร้านออกมาลูบจี้หยกสีขาวนั่นเบา ๆ เขามองลูกชายคนรองแล้วตัดสินใจว่า “จี้หยกอันนี้มิใช่ของที่จะเอามาซื้อขายได้ ในวันข้างหน้าไม่ว่าเราจะยากจนถึงเพียงใดก็ห้ามขายมันเป็นอันขาด มันจะเป็นมรดกตกทอดของตระกูลเรา สืบทอดต่อไปยังทายาทคนโตที่เป็นสายเลือดที่แท้จริงของตระกูลหยูและจะเป็นเครื่องเตือนใจสำหรับคนรุ่นต่อไปในอนาคต”
สีหน้าของหยูต้าชานแข็งทื่อ ทายาทคนโตที่เป็นสายเลือดที่แท้จริงของตระกูลหยูงั้นหรือรึ ? นั่นไม่รวมเขามิใช่รึ ! ทุกคนในตระกูลต่างก็รู้ว่าเขา หยูต้าชาน นั้นถึงจะเปลี่ยนแซ่แล้ว แต่ก็มิใช่สายเลือดของตระกูลหยู
นางจางเป็นภรรยาคนที่สองของเฒ่าหยูและเป็นลูกพี่ลูกน้องของแม่ที่เสียไปแล้วของหยูไห่ ตอนนั้นนางจางเพิ่งจะเป็นม่ายมาใหม่ ๆ นางถูกขับไล่ออกจากตระกูลของสามี แม่ของหยูไห่รับนางเข้ามาด้วยความเมตตา ต่อมาแม่ของหยูไห่ก็เสียชีวิตด้วยอาการป่วย ดังนั้นเฒ่าหยูจึงรับนางจางมาเป็นภรรยาคนที่สอง
ลูกชายคนโต หยูต้าชาน เป็นลูกชายจากการแต่งงานครั้งแรกของนางจางและอายุมากกว่าหยูไห่เพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้น
ทายาทคนโตที่เป็นสายเลือดที่แท้จริงงั้นรึ ? เยี่ยงนั้นก็หมายความว่าหยูไห่คือลูกคนโตของตระกูลหยูมิใช่รึไง ? สุดท้ายแล้วจี้หยกอันนี้ก็จะตกไปอยู่ในมือของน้องรองใช่หรือไม่ ?
หยูต้าชานไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้นอย่างสุดหัวใจ แต่เขาก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะคัดค้านได้ ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการที่จี้หยกต้องตกเป็นของหยูไห่ที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกับเขา แต่เขารู้ว่าสถานการณ์ไม่ได้เข้าข้างเขา แม้แต่นางจางก็ไม่อาจเปลี่ยนการตัดสินใจของชายชราผู้นี้ได้ หยูเสี่ยวเฉารู้สึกโล่งอกเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทายาทคนโตที่เป็นสายเลือดที่แท้จริงของตระกูลหยู นั่นก็คือพี่ใหญ่ของนาง ! โชคดีจริง ๆ ทำดีครานี้ไม่เสียเปล่า ! อย่างน้อยครอบครัวของนางก็ได้จี้หยกไว้ในครอบครอง
อย่างไรก็ตาม เงิน 100 ตำลึงก็ได้หลุดจากมือของเสี่ยวเฉาไป ถ้านางเร็วกว่านี้ล่ะก็ นางคงจะยักยอกเงินเอาไว้สัก 2 ก้อนแล้ว หยูเสี่ยวเฉาร้องไห้อยู่ในใจ นั่นเงินตั้ง 100 ตำลึงเลยมิใช่รึไง !
เมื่อทุกคนกลับไปถึงบ้าน หยูเสี่ยวเฉาก็เห็นเงินทั้งหมดหายเข้าไปในกระเป๋าของนางจางและทำให้นางรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาอีกครา นางหลิวสังเกตเห็นลูกสาวทำหน้าหงอยจึงเอามือแตะหน้าผากเสี่ยวเฉาด้วยความเป็นห่วง กลัวว่านางจะไม่สบายอีก
สามเดือนที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่สบายที่สุดที่นางหลิวได้อยู่มาตลอด 7 - 8 ปี ถึงแม้ปริมาณงานของนางจะไม่ลดลงและนางยังคงถูกตะคอกอยู่ทุกวัน แต่ลูกสาวขี้โรคของนางก็ไม่ป่วยเลยสักครั้งในช่วงที่ผ่านมานี้ อีกทั้งลูกสาวของนางยังสามารถวิ่งเล่นเหมือนเด็กคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านได้อีก และถึงขั้นไปเรียนวิชาแพทย์กับท่านหมอโหยวได้อีกด้วย
พวกเขาได้กินจนอิ่มเสมอแม้ว่ามันจะไม่ใช่อาหารแบบที่พวกเขาต้องการ นอกจากนี้แล้วลูก ๆ ของนาง ก็ได้เรียนรู้วิธีวางกับดักและจับสัตว์มาได้บ้างเป็นบางครั้ง พวกเขาจะทำอาหารกินกันข้างนอกบ้าน แต่ก็ไม่เคยลืมที่จะเอาเนื้อย่างกลับมาให้แม่และพ่อของพวกเขา
เมื่อเห็นแก้มของลูก ๆ เป็นสีชมพูและร่างที่เคยผ่ายผอมของพวกเขาเริ่มมีเนื้อหนังขึ้นมาบ้าง นางหลิวจึงรู้สึกว่าความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้นมาบ้างแล้ว
“เมียต้าชาน เมียต้าไห่ เช้านี้มีเริ่มมีน้ำแข็งอยู่บนพื้นบ้างแล้ว พรุ่งนี้ก็เก็บมันเทศมาไว้ที่ห้องใต้ดินด้วย” พอได้เงิน 100 ตำลึงมานางจางถึงได้ยิ้มออก
หยูไห่รักภรรยาของเขาเป็นอย่างมาก เขาจึงวางถ้วยข้าวลงและพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นพวกเราผู้ชายมิต้องออกเรือไปหาปลาแล้วไปเก็บมันเทศแทนเป็นเยี่ยงไร ?”
หลังจากได้ยินข้อเสนอของเขา สีหน้าของนางจางก็เครียดขึ้นทันที “พวกเรามีที่ดินอยู่เพียงแค่ 3 แปลง ตอนที่ข้ายังอายุน้อย ๆ ข้าก็เก็บเพียงลำพังคนเดียวได้ เหตุใดจะต้องเลื่อนการหาปลาออกไปด้วย ? เจ้าต้องใช้วันที่สามารถออกเรือได้ให้เต็มที่ก่อนที่จะหนาวเกินไปสิ”
หยูเสี่ยวเฉาลอบมองนางจางจอมงกแล้วคิดว่า ‘ยัยแก่นี่ชอบเงินเสียจริง ! เงิน 100 ตำลึงทำให้ครอบครัวอยู่ได้ทั้งปีโดยไม่ต้องออกเรือหาปลาก็ได้ด้วยซ้ำ ! นี่มัน เอเบเนเซอร์ สครูจ* เวอร์ชั่นผู้หญิงชัด ๆ ’
เช้าวันรุ่งขึ้น หยูเสี่ยวเฉาที่สวมเสื้อผ้าฝ้ายหนาตื่นขึ้นมาอย่างมึนงงหลังจากโดนนางจางตะโกนปลุก นี่มันเพิ่งจะเดือนสิบเท่านั้นแต่ก็มีน้ำแข็งหนาเกาะอยู่บนพื้นแล้ว ถ้าเสี่ยวเฉาไม่ได้สวมเสื้อกันหนาวแล้วล่ะก็ ไม่อยากจะคิดเลยว่านางจะทนอากาศที่หนาวถึงเพียงนี้ได้หรือไม่
“น้องสามกลับไปนอนเถอะ ข้าจะไปช่วยท่านแม่ขุดมันเทศเอง !” หยูเสี่ยวเหลียนลุกขึ้นทันทีแต่เมื่อเห็นน้องสาวยังง่วงอยู่ นางจึงรีบผลักน้องสาวกลับลงไปที่เตียง
เตียงและผ้าห่มอุ่น ๆ ทำให้ผู้คนไม่อยากลุกจากเตียงในตอนเช้า แต่เด็กหญิง 8 ขวบกลับลุกขึ้นจากเตียงเตรียมพร้อมจะไปที่ไร่แล้ว แล้วนางล่ะ วิญญาณของนางเป็นถึงผู้หญิงอายุ 30 แล้ว จะเอาแต่นอนเกียจคร้านอยู่บนเตียงได้เยี่ยงไรกัน ?
หลังจากล้างหน้าบ้วนปากเสร็จแล้ว หยูเสี่ยวเฉาก็เดินหาวตามนางหลิวไปอย่างเซื่องซึม เสี่ยวเฉาหันหน้าไปมองนางหลี่เล็กน้อย นางหลี่กำลังหาวและขยี้ตาอยู่ เห็นเช่นนั้นแล้วหยูเสี่ยวเฉาก็รู้สึกดีขึ้นทันที นี่ไง ! ข้ามิใช่คนเดียวที่อยากนอนอยู่บนเตียงเสียหน่อย
ทุกคนเดินไปบนทางแคบคดเคี้ยวที่ตรงไปสู่ไร่ หลังจากก็เดินไปอีกประมาณ 2เค่อ หยูเสี่ยวเฉาก็เห็นที่ดินของพวกเขาที่เต็มไปด้วยเครือเถาวัลย์ของมันเทศอันเขียวชอุ่ม พืชสีเขียว ท้องฟ้าสีฟ้าและกลิ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ที่มาพร้อมกับอากาศที่หนาวเย็นในทุกครั้งที่เสี่ยวเฉาหายใจเข้าไปมันช่วยทำให้นางตาสว่างขึ้น
“เมียต้าชาน เมียต้าไห่ พวกเจ้ามาเก็บมันเทศกันเยี่ยงนั้นรึ ?” ชายหน้าตาธรรมดาผู้หนึ่งยิ้มทักทายพวกผู้หญิงอย่างอบอุ่น
“อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ ท่านลุงสาม ! ท่านลุงก็มาขุดมันเทศเหมือนกันรึเจ้าคะ ?” หยูเสี่ยวเฉามีความประทับใจที่ดีกับลูกพี่ลูกน้องของพ่อผู้นี้ ตอนที่นางย้ายร่างมาที่นี่คราแรก ชายผู้นี้เป็นคนแบกนางไปที่บ้าน
หยูเจียงยิ้มและขยี้หัวเสี่ยวเฉา เขาสังเกตเห็นว่านางมีจอบเล็ก ๆ อยู่ในมือด้วยจึงเอ่ยแซวออกมาว่า “ดูสิเสี่ยวเฉาของเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว บ้านลุงสามขุดมันเทศเสร็จหมดแล้วล่ะ ประเดี๋ยวพอข้ากวาดพื้นเสร็จแล้ว ข้าจะมาช่วยพวกเจ้าดีหรือไม่ ?”
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ พวกเรามีที่ดินอยู่เพียงแค่ 3 แปลงเท่านั้นเอง ทำวันเดียวก็เสร็จแล้ว ท่านพี่ทำงานของท่านพี่ต่อเถอะเจ้าค่ะ” นางหลิวปฏิเสธความช่วยเหลือของเขาอย่างนุ่มนวล ครอบครัวของเสี่ยวเฉาเองก็มีคนเยอะอยู่แล้ว และทุกคนต่างก็มีงานยุ่งในฤดูนี้ จะให้พวกเขาถ่วงคนอื่นให้ชักช้าได้เยี่ยงไร ? นางหลี่มองน้องสะใภ้ ปฏิเสธความช่วยเหลือก็หมายความว่านางจะต้องทำงานเหนื่อยขึ้น ถ้าน้องสะใภ้รองเหนื่อยเพียงคนเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่เหตุใดจะต้องลากนางไปเหนื่อยด้วย ?
หยูเสี่ยวเฉาเห็นมันเทศกองโตที่ผู้อื่นขุดขึ้นมากองอยู่ข้างถนนแล้วนึกถึงอาหารที่ทำจากมันเทศทั้งหมดในชาติก่อนของนาง ภาพมันเทศอบ, บัวลอยนุ่ม ๆ เหนียว ๆ ที่ทำจากมันเทศ และแพนเค้กมันเทศ ภาพอาหารเหล่านั้นลอยอยู่ในหัวของนาง เด็กหญิงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาจึงหยิบจอบก้าวเข้าไปในไร่อย่างกระตือรือร้น ได้เวลาเก็บเกี่ยวแล้ว !
ขณะที่ท่านแม่และท่านลุงสามของเสี่ยวเฉากำลังพูดคุยกันอยู่ นางก็ได้ปัดพวกเถาวัลย์ออกไปและเล็งจอบไปที่ส่วนที่หนาที่สุดเพื่อเริ่มต้นขุด หลังจากเหวี่ยงจอบแล้ว นางก็เห็นมันเทศฝังอยู่ในดินครึ่งหัว หยูเสี่ยวเฉาตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น แม้ว่าในชาติก่อนครอบครัวของนางจะมีที่ดินอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ปลูกเพียงแค่ข้าวสาลีกับถั่วเหลืองเท่านั้น มิเคยปลูกมันเทศเลยสักครา จะเจอบ้างก็แค่บางคราที่มันขึ้นอยู่ตรงริมไร่ที่ผู้อื่นปลูกไว้เพียงเท่านั้น
หยูเสี่ยวเฉาใช้จอบขุดเอาดินรอบ ๆ ออกมาอย่างระมัดระวัง และขุดหลุมให้ลึกขึ้นใหญ่ขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ทำให้มันเทศเสียหาย นางจึงทิ้งจอบและขุดดินที่เหลือต่อด้วยมือเปล่า สุดท้ายนางก็รู้สึกว่ามันเทศเริ่มคลายจากพื้นดิน จากมุมมองของนางแล้วมันดูใหญ่เท่าลูกวอลเล่ย์บอลเลยก็ว่าได้ เสี่ยวเฉาจับมันเอาไว้และออกแรงดึงด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี ในที่สุดมันเทศก็หลุดออกมาจากพื้น
แรงดึงทำให้นางล้มก้นจ้ำเบ้า แต่โชคดีที่เถาวัลย์และดินที่นางขุดเอาไว้ได้กลายเป็นเบาะรองก้นนาง นางเลยไม่รู้สึกเจ็บมากเท่าใดนัก เด็กหญิงปัดดินออกจากก้นแล้วหยิบมันหวานที่ขุดเองขึ้นมาพร้อมกับประกาศว่า “ท่านแม่ ! มาดูนี่เร็วเข้า ! ข้าขุดมันเทศหัวใหญ่ได้ด้วยล่ะ !”
ลุงสามก็เข้ามาดูด้วยและทำสีหน้าประหลาดใจ “โอ้ ! เสี่ยวเฉาของเรานี่เก่งจริง ๆ ขุดคราแรกก็ได้มันเทศใหญ่ขนาดนี้แล้ว !”
หยูเสี่ยวเฉาดีใจเป็นอย่างมาก แต่อยู่ ๆ เสียงของหินศักดิ์สิทธิ์ก็ดังขึ้นมาในหูของนาง
[ เหตุใดต้องตื่นเต้นถึงเพียงนั้นด้วยเล่า ? ลืมไปแล้วรึ ? เมื่อ 2 เดือนก่อนเจ้าเอาน้ำอาบของข้าไปผสมกับน้ำแล้วใช้มันรดน้ำที่ไร่ ถ้าไม่มีข้าช่วย ที่ดินแห้งแล้งเยี่ยงนี้จะปลูกมันเทศออกมาได้ผลใหญ่ถึงเพียงนี้รึ ? ]
“หืม ! เยี่ยงนั้นน้ำแช่หินศักดิ์สิทธิ์ก็ช่วยให้พืชผลโตขึ้นได้ด้วยงั้นรึ ?” ลูกสาวชาวไร่อย่างหยูเสี่ยวเฉารู้สึกใจเต้นขึ้นมา ในอนาคตหากนางสามารถปลูกพืชนอกฤดูกาลได้ นางก็จะสามารถทำเงินได้มากโขเลยมิใช่รึ ?
[ พืชนอกฤดูกาล คืออะไรรึ ? ] หินศักดิ์สิทธิ์รู้สึกแปลกใจกับความคิดประหลาด ๆ ของหยูเสี่ยวเฉา
หยูเสี่ยวเฉาขุดมันเทศต่อพร้อมกับตอบว่า “ก็คือ...การปลูกผักฤดูใบไม้ผลิในฤดูหนาว เจ้าเข้าใจหรือไม่ ?”
[ อ๋อ ! มิได้ยากเย็นสำหรับข้า ตราบใดที่ไม่ใช่พายุหิมะ ข้าก็สามารถเร่งการเจริญเติบโตของพืชได้ ] ถ้าหินศักดิ์สิทธิ์มีหาง มันก็คงจะยาวขึ้นไปถึงบนท้องฟ้าแล้ว ถึงพลังของมันจะกลับมาเพียงเล็กน้อย แต่ก็มากพอที่จะช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืชได้
หยูเสี่ยวเฉาขุดได้มันเทศลูกที่เล็กกว่าใกล้ ๆ กับตรงที่นางขุดครั้งแรกและพยายามระงับความดีใจพร้อมกับตอบไปว่า “ถ้าสิ่งที่เจ้ากล่าวมาเป็นความจริง เยี่ยงนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าได้ดูดพลังจากสมุนไพรของท่านหมอโหยวอีกเป็นแน่”
*เอเบเนเซอร์ สครูจ (Ebenezer Scrooge) คือตัวละครจากนิทานเรื่อง A Christmas Carol ของชาร์ลส์ ดิกเคนส์ โดยเอเบเนเซอร์ สครูจเป็นนายธนาคารผู้เลือดเย็นและละโมบ ที่ได้รับการมาเยือนจากวิญญาณของเพื่อนเก่า ที่มาเตือนให้ระวังภูติแห่งเทศกาลคริสต์มาส จำนวน 3 ตน ที่จะมาเยือนตัวเขา คือ "ภูติแห่งคริสต์มาสในอดีต" (Ghost of Christmas Past) เป็นภาพชีวิตของสครูจในอดีตเมื่อเริ่มทำงานใหม่ ๆ ยังยากจนอยู่แต่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีความเอื้ออารีต่อผู้คน, "ภูติแห่งคริสต์มาสในปัจจุบัน" (Ghost of Christmas Present) เป็นภาพชีวิตในปัจจุบันของสครูจ ที่เบียดเบียนผู้คนอย่างเลือดเย็น จนเป็นที่หวาดเกรงและเกลียดชังจากคนรอบข้าง และ "ภูติแห่งคริสต์มาสในอนาคต" (Ghost of Christmas Yet to Come) เป็นภาพของสครูจที่นอนตายอย่างเดียวดาย และถูกหัวขโมยเข้ามารุมทึ้งทรัพย์สมบัติ และหลุมฝังศพ
นิทานจบลงเมื่อสครูจตื่นขึ้นมาในเช้าวันคริสต์มาส สำนึกตัวได้ว่าชีวิตของเขานั้นขาดความรักและความเห็นอกเห็นใจต่อคนรอบข้าง เขาใช้เวลาที่เหลืออยู่ในวันนั้นไปกับการแบ่งปันให้กับผู้ยากไร้ และกลับไปอยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข
นวนิยายจบลงเมื่อสครูจตื่นขึ้นมาในเช้าวันคริสต์มาส สำนึกตัวได้ว่าชีวิตของเขานั้นขาดความรักและความเห็นอกเห็นใจต่อคนรอบข้าง เขาใช้เวลาที่เหลืออยู่ในวันนั้นไปกับการแบ่งปันให้กับผู้ยากไร้ และกลับไปอยู่กับครอบครัวอย่างมีความสุข