Re-new ตอนที่ 36 พรสวรรค์
ตอนที่ 36 พรสวรรค์
แม้ว่าลำธารบนภูเขาจะมีพลังวิญญาณอยู่ด้วย แต่มันก็ไม่ได้รับประโยชน์เท่ากับการช่วยเหลือเจ้านาย พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ การดูดซับพลังจากลำธาร 10 วันก็ไม่ทำให้มันได้ประโยชน์มากเท่ากับการสร้างน้ำแช่หินศักดิ์สิทธิ์ให้เจ้านาย 1 เหยือกด้วยซ้ำ
เจ้ามนุษย์ตัวเล็ก ๆ ที่แสนอ่อนแอกลับกุมชะตาชีวิตของมันเอาไว้ ! ‘รอก่อนเถอะ วันใดที่ข้าทลายโซ่พันธนาการได้แล้วล่ะก็ อย่าคิดว่าจะขู่ข้าได้อีก ! เจ้านั่นแหละที่จะต้องเป็นฝ่ายอ้อนวอนขอให้ข้าช่วย ! ’ ร่างวิญญาณของหินศักดิ์สิทธิ์ตีแข้งตีขาในน้ำแรงขึ้นกว่าเดิมด้วยความโกรธ
หยูเสี่ยวเฉาไม่สนใจอาการต่อต้านของมัน นอกจากนางแล้วก็ไม่มีใครมองเห็นร่างวิญญาณของหินศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นมันจะออกอาการเยี่ยงไรนางก็มิได้สนใจมันอีก นางกับพี่น้องของนางป้อนอาหารเจ้ากวางโรตัวน้อยจนมันอิ่ม
“พี่สาม ตอนกลางคืนอากาศหนาวเย็นนัก เจ้ากวางโรมันยังตัวเล็กเกินไป ถ้ามันเกิดแข็งตายขึ้นมาเล่า จะทำเยี่ยงไร ?” ฉีโตวนั่งลงกับพื้นกอดเจ้ากวางน้อยเอาไว้ เห็นได้ชัดเลยว่าฉีโตวน้อยไม่เต็มใจจะปล่อยมันออกไป ทั้งคนน้องทั้งสัตว์ต่างก็มองหยูเสี่ยวเฉาด้วยสายตาอ้อนวอน
หยูไห่หยิกแก้มกลม ๆ ของลูกชายแล้วยิ้มกว้าง “ถ้ามิให้มันนอนข้างนอก แล้วลูกจะเอาผ้าห่มของลูกให้มันเยี่ยงนั้นรึ ?”
“ข้ากอดเจ้ากวางโรตัวเล็กนี้ก็ได้ มันก็มิได้กินที่เยอะแยะมิใช่รึ ?” ฉีโตวทำปากยื่น เขาพยายามคิดหาวิธีโน้มน้าวใจทุกคน
ถึงแม้เสี่ยวเหลียนจะชอบเจ้ากวางน้อยน่ารักแสนรู้ตัวนี้มากเช่นกัน แต่นางก็ไม่คิดว่าการให้สัตว์เข้ามาอยู่ในห้องด้วยจะเป็นความคิดที่ดี “ข้าไม่อยากให้มันนอนบนเตียงของเรา เกิดมันอึตอนกลางคืนจะทำเยี่ยงไร ? ท่านแม่ก็ต้องมาซักผ้าปูที่นอนให้เจ้าอีก”
หยูเสี่ยวเฉาก็ไม่อยากเลี้ยงกวางโรในห้องเช่นกัน ถ้าให้มันอยู่ในห้องนาน ๆ มันจะเริ่มทิ้งกลิ่นเอาไว้ แต่ถ้าทิ้งมันไว้ที่ลานบ้านทั้งคืน นางก็เป็นห่วงมันอีก อาจจะมีคนอื่นในบ้านที่คิดจะฆ่ามันเอามาทำเนื้อตุ๋น ถึงมันจะไม่มีเนื้อมากนักแต่เยี่ยงไรเสียน้ำซุปก็ยังรสชาติอร่อยมากอยู่ดี
เสี่ยวเฉาออกไปข้างนอกแล้วรวบรวมฟางนุ่ม ๆ มาทำที่นอนเล็ก ๆ ตรงมุมห้องใกล้กับประตู เด็กหญิงแตะจมูกของเจ้ากวางน้อยแล้วพูดเสียงเคร่ง “เจ้ากวางน้อย ถ้าอยากอึ เจ้าต้องออกไปอึด้านนอก ถ้าหากเจ้าก่อความวุ่นวายในห้อง เจ้าจะโดนจับย่างกินเป็นแน่ !”
เจ้ากวางไรมองเสี่ยวเฉาอย่างไว้ใจและเลียนิ้วที่นางใช้ชี้หน้ามัน มันทำท่าเหมือนเข้าใจสิ่งที่นางพูด
ฉีโตวพูดอะไรไม่ออกและถอนใจออกมาเหมือนผู้ใหญ่ “เจ้ากวางน้อยถูกพี่สามจับมา มันก็เลยสนิทกับพี่สามมากที่สุด”
หยูเสี่ยวเฉาบีบจมูกของน้องชายแล้วยิ้ม “คราหน้าถ้ามีอะไรดี ๆ อีก ข้าจะให้เจ้าก่อนคนแรกเลยเป็นเยี่ยงไร”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นฉีโตวก็เริ่มมีความสุขและกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ “ได้ ๆ ! ข้าจะจับกวางโรอีกตัวมาให้ได้ เอามาเป็นเพื่อนเจ้ากวางน้อยตัวนี้ !”
ไม่รู้ว่าเจ้ากวางน้อยเข้าใจคำขู่ของหยูเสี่ยวเฉาหรือเป็นเพราะมันได้สติปัญญาจากน้ำแช่หินศักดิ์สิทธิ์ แต่เจ้ากวางน้อยที่อายุยังไม่ถึง 1 เดือนก็ไม่เคยปล่อยของเสียเรี่ยราดในห้องตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่นั่น หรือต่อให้มีคนเผลอปิดประตู มันก็จะอั้นไว้จนกว่าจะมีคนมาปล่อยมันออกไป แล้วมันถึงจะรีบวิ่งไปทำธุระส่วนตัวของมัน
อีกอย่าง เจ้ากวางน้อยไม่มีกลิ่นฉุน ๆ แบบกวางโรป่าอีกด้วย แม้แต่ตอนฤดูร้อนที่ร้อนเอาเสียมาก ๆ มันก็ยังมีกลิ่นที่สดชื่นเช่นเคย หยูเสี่ยวเฉากับพี่น้องของนางรักและทะนุถนอมเจ้ากวางน้อยตัวนี้เป็นอย่างมาก แม้แต่นางหลิวเองก็ยังพูดว่านี่เป็นกวางโรที่สามารถเข้าใจคำพูดของมนุษย์ได้
ตั้งแต่หยูเสี่ยวเฉาเริ่มสนใจที่จะเรียนหมอจากหมอโหยว นางก็ได้ไล่ตามเป้าหมายนั้นอย่างเต็มที่ วันต่อ ๆ มานางจึงยุ่งเป็นอย่างมาก
ทุกเช้านางจะตื่นแต่ยามเหม่าและเดินทางไปหาจ้าวฮัน ทั้งสองคนจะแบ่งพื้นที่และแยกกันไปวางกับดักตามพื้นที่ของใครของมัน เมื่อมีน้ำหินศักดิ์สิทธิ์เป็นเหยื่อล่อ เสี่ยวเฉาก็ไม่เคยกลับจากป่ามือเปล่าเลยสักครั้งเดียว
อีกทั้งนางมักจะล่าสัตว์ได้เป็นสองเท่าจากคนทั่วไปที่วางกับดักเสียด้วยซ้ำ บางครานางก็จะใช้เวลาเดิน 1 ชั่วยามเข้าเมืองไปกับจ้าวฮันเพื่อขายสัตว์ที่จับมาได้ บางครานางก็จะขอให้ลุงจ้าวช่วยนางขายตอนที่เขาเข้าไปในเมือง
โชคดีที่ร้านเจินซิวเป็นที่นิยมมากขึ้นทุกวัน พวกเขาจ้างพ่อครัวคนใหม่เพื่อรับผิดชอบหน้าที่เตรียมสัตว์ป่า และหน้าที่พิเศษของเขาก็คือการย่างและทำอาหารประเภทเนื้อ ความต้องการสัตว์ที่ป่าสด ๆ ใหม่ ๆ จึงเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก ดังนั้นหยูเสี่ยวเฉากับจ้าวฮันจึงไม่ต้องกังวลเลยว่าพวกเขาจะไปขายสัตว์ที่จับมาได้ที่ใด
บางคราพวกเขาก็จับมามากจนเกินไปโดยมิได้ตั้งใจ แต่ถึงแม้หยูเสี่ยวเฉาจะมิได้ไปที่นั่นด้วยตนเอง ร้านเจินซิวก็ยังยินดีรับสัตว์ที่พรานคนอื่นจับมาได้เช่นกัน ถึงเยี่ยงไรแล้วเนื้อที่ล่ามาสด ๆ ก็รสชาติดีกว่าเมื่อเทียบกับเนื้อที่ไม่สดเป็นไหน ๆ
ตอนบ่ายหยูเสี่ยวเฉามักจะไปที่บ้านของหมอโหยวเพื่อเรียนวิธีการแยกแยะสมุนไพร นางไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะนางมีน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ช่วยหรือเพราะนางความจำดีกันแน่ แต่สำหรับนางแล้ว การเรียนแยกสมุนไพรพวกนี้ง่ายราวกับปอกกล้วยเข้าปาก เสี่ยวเฉาจำทุกอย่างที่เรียนมาทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เดิมทีหมอโหยวไม่ได้คาดหวังสิ่งใดกับนางเลยแม้แต่น้อย แต่หลังจากที่เห็นพรสวรรค์ของเสี่ยวเฉาในด้านนี้แล้ว เขาก็เริ่มชื่นชมความสามารถของนางอย่างแท้จริง อีกทั้งนอกจากชื่อของนางแล้ว ก็ถือได้ว่านางคือศิษย์ของเขาและเขาก็ลงมือสอนนางด้วยตนเอง เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาต้องขึ้นเขาเพื่อไปเก็บสมุนไพร เขาก็ไม่เคยลืมที่จะพานางไปด้วย บางคราเขาก็จะทดสอบนางในขณะที่อยู่ในป่าเพื่อดูความสามารถในการแยกแยะสมุนไพรของนาง
หมอโหยวค่อย ๆ ตระหนักว่าสมุนไพรทุกอย่างที่เขาจำได้ หยูเสี่ยวเฉาเองก็จำได้ทั้งหมดแล้ว เขาจึงเริ่มสอนวิธีใช้สมุนไพรพวกนี้ให้กลายเป็นยา
หยูเสี่ยวเฉาเริ่มรู้สึกว่านางมีเวลาไม่พออีกต่อไปแล้ว บ่อยครั้งที่นางขึ้นเขาไปกับหมอโหยวตั้งแต่ฟ้าเริ่มสางเพื่อรวบรวมสมุนไพร นางจึงไม่มีเวลาไปวางกับดักจับกระต่ายป่า
ตอนนี้เสี่ยวเฉาคิดว่า เงินนั้นจะหาเมื่อใดก็ได้ แต่ยิ่งนางมีความรู้เรื่องยาสมุนไพรและการรักษาอาการเจ็บป่วยได้มากเร็วเท่าใด มันก็จะยิ่งดีกับนางมากขึ้นเท่านั้น นางคิดว่านางมีพรสวรรค์ทางด้านนี้เป็นอย่างมาก บางทีนางอาจจะได้เป็นหมอหญิงในอนาคตก็ได้ ผู้ใดจะรับรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ !
ดังนั้นหยูเสี่ยวเฉาจึงเริ่มใช้เวลากับท่านปู่โหยวมากกว่าอยู่กับครอบครัวของตนเอง หมอโหยวอยู่ผู้เดียวเพียงลำพังมา 30 ปีตั้งแต่มาลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านตงชาน เขาก็หมกมุ่นอยู่กับการเรียนและฝึกฝนฝีมือด้านการแพทย์จนมิได้แต่งงานและกลายเป็นชายโสดมาตลอดทั้งชีวิต
แม้ว่าหยูเสี่ยวเฉาจะยังเป็นแค่เด็กหญิงตัวน้อย แต่จิตใจของนางนั้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว พอมีคนเยี่ยงนางอยู่ข้าง ๆ โหยวหย่งก็รู้สึกว่าแต่ละวันของเขานั้นน่าสนใจขึ้นมากนัก แต่ก่อนตอนที่เขาเริ่มค้นคว้ายาตัวใหม่ เขาก็มักจะหมกมุ่นจนลืมเวลาอยู่บ่อยครั้ง การไม่ได้กินข้าวกลายเป็นเรื่องปกติของเขาไปแล้วในเวลานั้น
ตอนนี้เขามีผู้ช่วยอยู่ข้าง ๆ แล้ว ต่อให้เขาลืมกินข้าว นางก็จะคอยเตือนสติเขาอยู่ตลอด ! เวลาที่เขามัวแต่หมกมุ่นทำอะไรบางอย่าง นางก็จะเริ่มลงมือทำอาหารและวางเอาไว้ตรงหน้าเขา กลิ่นหอมน่าอร่อยของอาหารของนางจะทำให้เขาได้สติกลับมาในทุกครั้ง
เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีความเป็นนักกินหลบซ่อนอยู่ข้างใน แต่ฝีมือการทำอาหารของเสี่ยวเฉาดีมากจนน่าประหลาดใจ แม้แต่วัตถุดิบง่าย ๆ อย่างผักใบเขียวและหัวไชเท้า นางก็ยังสามารถทำให้มันเป็นอาหารอร่อย ๆ ได้หลากหลายประเภท
เด็กหญิงคนนี้ฉลาดเกินไปแล้ว นางไม่เพียงเรียนความรู้เรื่องยาที่เขาสอนได้อย่างสบาย ๆ เท่านั้น แต่ยังสามารถเชื่อมโยงและชี้สิ่งที่จะนำพาเขาให้ค้นพบกับสิ่งใหม่ ๆ ได้อีกด้วย หลังจากเรียนไปได้เพียงแค่ 1 เดือน เด็กหญิงก็สามารถสั่งจ่ายยาง่าย ๆ เองได้โดยไม่มีปัญหาแล้ว
ตอนนี้หมอโหยวถือว่าเสี่ยวเฉาเป็นศิษย์ของเขาอย่างเป็นทางการและได้สอนนางในฐานะศิษย์ เวลาที่เขาออกไปตรวจ เขาก็จะพาลูกศิษย์ตัวน้อยของเขาไปด้วยเสมอ เมื่อเวลาผ่านไปหมู่บ้านใกล้เคียงส่วนใหญ่ก็ได้รู้กันหมดแล้วว่าหมอโหยวยอมรับเด็กหญิงเป็นลูกศิษย์ของเขา นางคือสมบัติล้ำค่าที่อยู่เหนือการคาดหมาย
ในตอนที่หยูเสี่ยวเฉารู้สึกว่าตนเองสามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้องและรักษาอาการป่วยทั่วไปได้ด้วยตนเองแล้ว หมอโหยว อาจารย์ของนางก็ได้ทิ้งจดหมายเอาไว้ให้นางและรีบร้อนออกจากหมู่บ้านตงชานไปอย่างฉุกละหุก
ในจดหมายได้กล่าวไว้ว่า เขาได้ยินว่ามีข่าวเกี่ยวกับญาติที่หายสาบสูญไปนานตั้งแต่ช่วงสงคราม เขาจึงต้องเดินทางไกล แต่เขาได้ย้ำกับหยูเสี่ยวเฉาว่านางไม่ควรปล่อยให้พรสวรรค์ทางการแพทย์ของนางสูญเปล่า นางต้องทบทวนวิชาทุกวันอย่างต่อเนื่อง ถ้ามีคนใกล้ตัวนางเจ็บป่วย นางจะได้ช่วยเหลือพวกเขาได้ แต่ถ้าพวกเขาปฏิเสธความช่วยเหลือของนางก็มิจำเป็นต้องฝืนใจพวกเขา
ในที่สุดหยูเสี่ยวเฉาก็ถูกปลดปล่อยจากหน้าที่ประจำวันอันแสนยุ่งเหยิงเสียที แต่นางก็ยังคงไปที่บ้านของหมอโหยวทุก ๆ 2 วันเพื่อทำความสะอาดห้องและดูแลสมุนไพรให้เขา อีกทั้งเสี่ยวเฉายังพยายามผสมยาเพื่อใช้รักษาบาดแผลภายนอก อย่างเช่น ยาที่สามารถใช้ห้ามเลือด อีกด้วย ยาที่ถูกพรมด้วยน้ำหินศักดิ์สิทธิ์นั้นมีประสิทธิภาพมากกว่ายาที่หมอโหยวทำเสียอีก ! แต่ทว่ากลับมีผู้คนไม่มากนักที่กล้าใช้ยาที่นางจ่ายให้
จริง ๆ ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าใดนัก เพราะภายนอกนั้นเสี่ยวเฉาก็ยังคงเป็นเพียงแค่เด็กตัวเล็ก ๆ ที่อายุยังไม่ถึง 9 ขวบด้วยซ้ำ ถ้าการที่ชาวบ้านเชื่อว่านางรักษาโรคได้นี่สิถึงจะแปลก ดังนั้นนางจึงได้แต่สลับยาทาแผลที่พ่อของนางเอาติดตัวไปตอนออกล่าสัตว์ให้เป็นยาที่นางทำขึ้นมาเองแทน นางไม่ได้รู้เลยว่าการเปลี่ยนยาของนางนั้นจะกลายเป็นการช่วยชีวิตพ่อของนางเอาไว้...
หยูเสี่ยวเฉาที่ยุ่งอยู่ตลอดตอนนี้นางพอจะมีเวลาว่างบ้างแล้ว นางหันไปพูดกับฉีโตวที่กำลังป้อนอาหารเจ้ากวางโรในลานบ้านว่า “นี่ยังมิถึงเวลาที่ท่านพ่อจะกลับมาจากการหาปลาวันนี้อีกรึ ?”
ฉีโตวตอบทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นว่า “นี่ยังเร็วเกินไป ! ช่วงนี้พี่สามมัวแต่วุ่นอยู่นอกบ้านเสียจนลืมเวลากลับบ้านของท่านพ่อแล้วล่ะสิ พอจับปลาเสร็จท่านพ่อต้องไปที่ท่าเรือก่อน เพื่อนำปลาไปส่งให้กับพ่อค้าคนกลาง บางคราถ้าปลาเหลือเยอะมาก ๆ ก็ต้องเอาไปขายที่ตลาดปลา”
ท่าเรืองั้นรึ ? ดวงตาของหยูเสี่ยวเฉาเป็นประกายทันทีพร้อมกับยิ้มยิงฟันราวกับหมาป่าที่พยายามล่อกระต่ายน้อยให้มาติดกับดัก “ฉีโตว เจ้าอยากไปดูท่าเรือหรือไม่ ? ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นมีร้านค้าเรียงรายอยู่เต็มไปหมด มีของขายเกือบทุกอย่างด้วย ! มีอาหารอร่อย ๆ ของสนุก ๆ...”
“พี่สามอยากไปรึ ? ถ้าท่านพี่ไปข้าก็จะไปด้วย แต่เราควรเอาเจ้ากวางโรไปกับเราด้วยดีหรือไม่ ?” ฉีโตวรักเจ้ากวางโรตัวนี้เป็นอย่างมาก มันมักจะตามฉีโตวไปทุกที่ที่เขาไป
แต่ฉีโตวก็มีเหตุผลที่ต้องหวาดระแวงเช่นนั้น เจ้ากวางโรตัวน้อยผู้น่าสงสารเกือบจะถูกนางหลี่กับหยูไห่สือฆ่าตายเสียแล้ว ทั้ง ๆ ที่มันก็มิได้มีเนื้อให้กินมากมายนัก พวกเขาทั้งสองคนจับเจ้ากวางน้อยตรึงไว้กับพื้นโดยมีมีดปังตออยู่ในมือ ถ้าฉีโตวกับเสี่ยวเหลียนมาเห็นเขามิทัน เจ้ากวางโรตัวนี้ก็คงจะกลายเป็นอาหารจานหลักบนโต๊ะของพวกเขาไปเสียแล้ว
หลังจากนั้นจ้าวฮันก็ได้เอาตัวหยูไห่สือไปสั่งสอนบทเรียนเล็กน้อยว่า ‘เจ้ากวางโร’ ตัวนี้เป็นสัตว์เลี้ยงที่เขาให้ฉีโตวยืมมาเล่นด้วยเพียงเท่านั้น ถ้าหากเขารู้ว่าหยูไห่สือยังอยากจะกินเจ้ากวางน้อยตัวนี้อยู่ล่ะก็ เขาจะเลาะฟันหยูไห่สือออกให้หมดทั้งปาก !
ครอบครัวของพรานจ้าวเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่บ้านตงชาน กล่าวกันว่าเมื่อหลายปีก่อนในช่วงฤดูหนาว มีฝูงหมาป่าหิวโหยเข้ามาในหมู่บ้าน พวกหมาป่าไม่เพียงแต่ขโมยไก่ไปหลายตัวเท่านั้น มันยังทำร้ายผู้คนอีกด้วย ในขณะที่วิกฤตดูจะร้ายแรงมากขึ้นนั้น ครอบครัวจ้าวทั้งครอบครัวก็ได้เข้าต่อสู้กับหมาป่าฝูงนั้น แม้แต่ท่านป้าจ้าวที่ภายนอกดูอ่อนโยนสง่างามก็ยังจับธนูขึ้นมายิง หมาป่าสิบกว่าตัวไม่ใช่คู่มือของพวกเขา
แม้ว่าคนของตระกูลจ้าวทั้งสี่จะกลายเป็นวีรบุรุษของพวกชาวบ้านส่วนใหญ่ แต่ก็ยังมีคนที่รู้สึกไม่ชอบการกระทำของพวกเขา ถึงเยี่ยงไรก็ไม่มีใครชอบที่ข้อบกพร่องของตัวเองถูกชี้ให้เห็นด้วยการกระทำของคนอื่น
หลังจากได้รับบทเรียนเล็ก ๆ แล้ว หยูไห่สือก็กลับบ้านพร้อมเลือดที่ออกจากจมูกและตาที่เขียวช้ำ แม้แต่นางหลี่ที่ชอบทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ก็ทำได้เพียงแค่ตีโพยตีพายอยู่ในบ้านเท่านั้น นางกลัวว่าตระกูลจ้าวจะมาเอาเรื่องนางอีก และเมื่อมีหยูไห่สือเป็นตัวอย่างแล้ว คนอื่น ๆ ในตระกูลหยูที่ไม่ใช่คนของบ้านสองก็ไม่มีใครกล้าขโมยเจ้ากวางโรตัวนี้อีกเลย
ถึงจะเป็นเยี่ยงนั้นฉีโตวก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะทิ้งเจ้ากวางน้อยเอาไว้เพียงลำพัง ภาพของหยูไห่สือที่ถือมีดปังตออยู่เหนือลำตัวของเจ้ากวางน้อยได้ฝังอยู่ในใจของเขา ไม่ว่าฉีโตวจะไปที่ไหนก็ตาม เขาก็มักจะพาเจ้ากวางน้อยไปกับเขาด้วยเสมอ
ตอนนี้หมู่บ้านตงชานจึงมีของแปลกให้เห็น เด็กชายตัวน้อยเดินนำหน้าโดยมีกวางโรตัวเล็กจ้อยเดินตามอยู่ข้างหลัง ผู้ใดก็ตามที่เห็นเข้าก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้...