Re-new ตอนที่ 28 รวบรวมเงิน
ตอนที่ 28 รวบรวมเงิน
อากาศยามเหม่าช่างสดชื่นยิ่งนัก หยูเสี่ยวเฉาสูดหายใจลึก ๆ ขณะที่ฉีโตวเดินทอดน่องตามหลังนางไปที่ภูเขาตะวันตก
“เสี่ยวเหลียน ตื่นแต่เช้าเลยนะ ! มาเก็บผักคาวทองไปเลี้ยงหมูรึ ?” ตั้งแต่หินศักดิ์สิทธิ์เริ่มช่วยนาง ร่างกายของเสี่ยวเฉาก็แข็งแรงขึ้นทุกวัน อีกทั้งนางแอบกินอาหารนอกบ้านอยู่บ่อยครั้ง ใบหน้าและร่างกายของนางจึงค่อย ๆ มีเนื้อขึ้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้นางจึงดูเหมือนพี่สาวของนางมากยิ่งขึ้น จนทำให้ชาวบ้านต่างจำสับสนอยู่บ่อย ๆ
ฉีโตววิ่งเข้าไปหาเด็กหญิงที่จำพี่สาวของเขาผิดแล้วพูดแก้ไห้ว่า “ท่านพี่หลิงหลง คนนี้คือพี่สามของข้าเอง มิใช่ท่านพี่เสี่ยวเหลียน !”
“พี่สาม ? เสี่ยวเฉาน่ะรึ ? ตายแล้ว ! พวกเจ้าเป็นฝาแฝดกันจริง ๆ ด้วย เหมือนกันเอาเสียมาก ๆ ข้าแยกพวกเจ้าสองคนมิออกเลย” โจวหลิงหลงยิ้มแล้วมองสำรวจเสี่ยวเฉาตั้งแต่หัวจรดเท้า
เสี่ยวเฉาแค่ยิ้มแต่ไม่พูดอะไรออกมา ฉีโตวน้อยเลยช่วยแนะนำพี่สามให้รู้จัก “ครอบครัวของท่านพี่หลิงหลงอยู่ใกล้ ๆ กับภูเขาตะวันตก แล้วก็ใกล้กับบ้านเก่าของพวกเราด้วย ท่านป้าโจวกับท่านแม่ก็เป็นมิตรที่ดีต่อกัน ตอนที่ท่านพี่ป่วย ไข่ที่ท่านพี่ได้กินทั้งหมดก็มาจากท่านป้าโจวทั้งสิ้น”
อ๋อ งั้นนางก็คือลูกสาวของเพื่อนสนิทของท่านแม่รึ หยูเสี่ยวเฉายิ้มหวานให้โจวหลิงหลง นางมีลักยิ้มบาง ๆ ขึ้นที่แก้มซ้ายของนาง “ข้าดีใจที่ได้เจอกับท่านพี่หลิงหลง ท่านพี่หลิงหลง วันหน้าข้าจะต้องแวะไปขอบคุณท่านป้าโจวให้ได้ ถ้าไม่ได้ไข่ของท่านป้า ข้าคงจะไม่หายเร็วเพียงนี้ !”
โจวหลิงหลงมองลักยิ้มของเสี่ยวเฉาแล้วยิ้ม “ก็แค่ไข่ไม่กี่ฟอง อย่าพูดถึงมันเลยว่าแต่ ข้ารู้แล้วล่ะว่าจะแยกพวกเจ้าสองคนพี่น้องได้เยี่ยงไร เจ้ามีลักยิ้ม ส่วนพี่สาวของเจ้าไม่มี...”
หยูเสี่ยวเฉายิ้มกว้างให้นางแล้วพูดว่า “ท่านพี่หลิงหลง พวกเราจะขึ้นภูเขาไปเก็บผลไม้ป่ากับท่านพี่ฮัน ท่านพี่อยากไปกับพวกเราด้วยหรือไม่ ?”
โจวหลิงหลงยกเคียวในมือให้ดูพร้อมกับส่ายหน้า “ข้าต้องไปเก็บผักคาวทองแล้วกลับบ้านน่ะ พวกเราเลี้ยงหมู 2 ตัว พวกมันร้องจะกินไม่หยุดเลย พวกเจ้าไปเล่นกันเถอะ ระวังตัวด้วยล่ะ !”
หยูเสี่ยวเฉาโบกมือให้เด็กหญิงแล้วจูงมือฉีโตววิ่งตรงไปที่เนินเขาที่ครอบครัวจ้าวอาศัยอยู่ ชาวบ้านในหมู่บ้านตงชานนั้นทำอาชีพประมงกันมาหลายรุ่น ครอบครัวจ้าวเป็นคนนอกที่เพิ่งย้ายเข้ามาเมื่อ 20 กว่าปีก่อน บ้านของพวกเขาจึงตั้งอยู่บนเนินเขาเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงเชิงเขาทางด้านตะวันตก บ้านของพวกเขาสร้างขึ้นจากหินและมี 3 ห้อง มีรั้วสูงที่ทำจากหินกั้นล้อมรอบบริเวณบ้าน มีต้นไม้ล้อมรอบบ้านทั้ง 4 ด้าน มีสวนผักและผลไม้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังบ้าน ให้ความรู้สึกราวกับว่าเป็นที่พำนักของฤาษีที่อาศัยอยู่ในป่าลึก
“ท่านพี่ฮัน ! ท่านพี่ฮัน !” ฉีโตวน้อยตะโกนเรียกพร้อมกับเปิดประตูไม้และโผล่หัวเข้าไปมอง เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงกลางลานบ้าน และนั่นคือลูกสะใภ้ของตระกูลจ้าว เจิ้งฟางยิน นางหันหน้ามาและเห็นเด็กน้อยกำลังมองดูอยู่จึงยิ้มให้อย่างใจดี “อ้าว ฉีโตว ! มา ๆ เข้ามาเร็ว !”
นางเจิ้งไม่แน่ใจว่าร่างกายของนางได้รับบาดเจ็บหลังคลอดลูกชายหรือไม่ ? แต่หลังจากที่จ้าวฮันเกิด นางก็ไม่เคยท้องอีกเลย ในช่วง 2 - 3 เดือนที่ผ่านมานี้ ฉีโตวอ้วนขึ้นและกลายเป็นเด็กที่แข็งแรงและนิสัยดี นางเจิ้งที่รักเด็กอยู่แล้วจึงชอบความน่ารักและความเฉลียวฉลาดของฉีโตวเป็นอย่างมาก นางมีหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักของแม่จริง ๆ
“ท่านป้าขอรับ ท่านพี่ฮันบอกข้าว่าจะสอนพวกเราวางกับดักจับกระต่าย พี่สามอยากเรียนเป็นอย่างมาก พวกเราก็เลยมากันแต่เช้าเลยขอรับ...แหะ ๆ !” เด็กน้อยลูบท้ายทอยตนเองอย่างเขินอายพร้อมกับโยนความผิดให้กับพี่สาว
หยูเสี่ยวเฉาเดินตามหลังน้องชายเข้ามา นางแอบต่อยหลังของเขาเบา ๆ พร้อมกับยิ้มสดใสให้กับนางเจิ้ง “อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะ ท่านป้าจ้าว !”
“เสี่ยวเฉา !” นางเจิ้งวางกะละมังที่ใส่อาหารไก่ลงบนพื้นแล้วเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน จากนั้นนางก็ลูบใบหน้าที่ผอมแห้งของเสี่ยวเฉาอย่างอ่อนโยนแล้วถอนหายใจ “ถ้ารอดตายมาได้ ต่อไปนี้เจ้าก็จะโชคดีแล้ว สุขภาพที่แข็งแรงสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งหมด ! เจ้ายังผอมอยู่เลย ท่านย่าของเจ้า...คราวหน้าถ้าเจ้าอยากกินสิ่งใดก็จงมาที่บ้านของป้านะลูก ฝีมือการทำอาหารของป้าก็พอใช้ได้เหมือนกันนะ !”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านป้าจ้าว วันหน้าข้าต้องมารบกวนท่านป้าเป็นแน่ !” หยูเสี่ยวเฉาไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือไปตรง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่จริงใจอย่างแท้จริง นางรับความห่วงใยของนางเจิ้งด้วยรอยยิ้มที่สดใสยิ่งกว่าเดิม
“ฉีโตว, เสี่ยวเฉา ! เหตุใดพวกเจ้ามากันแต่เช้าเลยล่ะ ? กินข้าวเช้ามาแล้วหรือยัง ?” จ้าวฮันถามอย่างประหลาดใจ เด็กหนุ่มแบกน้ำเดินเข้าประตูมาและเห็นสองพี่น้องยืนอยู่ที่ลานบ้าน จึงอดถามออกไปมิได้
ฉีโตวพูดขึ้นก่อนที่พี่สาวจะทันได้พูด “ครอบครัวของข้ากินข้าวเช้ากันยามเฉิน พวกเราไม่มีเวลารอจนถึงตอนนั้นหรอกขอรับ ! เก็บท้องไว้กินปลาย่างเสียดีกว่า !”
นางเจิ้งจูงมือสองพี่น้องพาเข้าไปในห้องใหญ่แล้วดุว่า “พวกเจ้ายังต้องเดินกันอีกไกลกว่าจะถึงภูเขา พวกเจ้าสองคนก็ยังเด็ก ถ้าไม่กินข้าวเช้าแล้วจะเอาแรงจากไหนไปเดินกัน ? เช้านี้ป้าต้มโจ๊กกับอบแป้งเอาไว้แล้ว กินโจ๊กด้วยกันก่อนแล้วค่อยขึ้นไปภูเขา”
“ท่านปู่จ้าว !” เด็กสองคนทักทายจ้าวซือสงชายชราผมสีขาวเครายาวที่นั่งหลังตรงด้วยท่าทางสง่าน่าเกรงขาม บางครั้งดวงตาของชายชราก็เผยแววตาที่มีอำนาจซึ่งไม่อาจปิดบังเอาไว้ได้ทั้งหมด เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา สองพี่น้องก็อดรู้สึกตัวเล็กลงไม่ได้
ชายชราเงยหน้าขึ้นมองและเห็นเด็กสองคนที่แม้จะสวมเสื้อผ้าโกโรโกโสแต่ก็ยังดูน่ารัก เขายิ้มออกมาและเอ่ยว่า “พวกเจ้าทั้งสองคนเป็นเด็กดี แย่หน่อยนะที่ต้องมีพ่อที่ไม่มีความกล้าเลยต้องทนลำบากกันเยี่ยงนี้ !”
“ท่านพ่อของข้าดีที่สุดแล้วเจ้าค่ะ ! ท่านพ่อรู้วิธีหาปลา, ล่าสัตว์, สานเครื่องมือที่ทำจากไม้ไผ่ง่าย ๆ ได้ แล้วท่านพ่อก็รักพวกเรามาก ๆ ด้วยเจ้าค่ะ !” ต่อหน้าคนอื่น หยูเสี่ยวเฉาย่อมต้องปกป้องชื่อเสียงของพ่อตนเอง
เฒ่าจ้าวเลิกคิ้วแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ “เจ้าปกป้องพ่อของเจ้าได้ดี ! แต่แย่มากที่พ่อของเจ้าปกป้องแม่กับพี่น้องของเจ้ามิได้เลย ! ถ้าเขายังปกป้องคนที่เขารักมากที่สุดไม่ได้ แล้วจะนับว่าเป็นลูกผู้ชายได้เยี่ยงไร ?”
“ท่านพ่อเจ้าคะ ! อย่าได้เอ่ยเยี่ยงนั้นต่อหน้าเด็ก ๆ สิ กินกันเถอะเจ้าค่ะ !” นางเจิ้งกลัวว่าสองพี่น้องจะรู้สึกอึดอัดใจ นางจัดการเสิร์ฟโจ๊กและแผ่นแป้งให้ชายชราและเหล่าเด็ก ๆ ทันที
ครอบครัวจ้าวถือธรรมเนียมกินอาหาร 3 มื้อต่อวัน อาหารเช้าประกอบด้วยโจ๊กที่ทำจากข้าวขาว ส่วนแป้งก็ทำจากแป้งขาวเช่นกัน อีกทั้งนางเจิ้งยังทำหมูผัดเห็ดกับกะหล่ำปลีดองเพิ่มอีก 2 อย่างด้วย
นอกจากจะได้กินโจ๊กที่ทำจากข้าวขาวกับแผ่นแป้งที่ทำจากแป้งขาวแล้วยังมีเนื้อหมูให้กินอีกด้วย ! ฉีโตวมองอาหารเช้าสุดหรูตรงหน้าด้วยความอยาก แต่ไม่กล้าลงมือกิน พอนางเจิ้งส่งหมูผัดเห็ดห่อแป้งมาให้ เขาก็ได้เงยหน้ามองพี่สาวอย่างเขินอาย
จ้าวฮันเห็นเด็กน้อยลังเลก็เลยจัดการห่อแป้งยัดไส้วางไว้ตรงหน้าเสี่ยวเฉาเช่นเดียวกัน จากนั้นเขาก็ยิ้มและพูดว่า “กินเสีย ! วันนี้พวกเราต้องเดินทางไกล ถ้าหากไม่กินคงได้หมดแรงเอากลางป่า ข้าไม่มีแรงแบกพวกเจ้าสองคนกลับลงมาหรอกนะ !”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ! เยี่ยงนั้นข้าจะกินแล้วนะเจ้าคะ” หยูเสี่ยวเฉากินแป้งสีน้ำตาลกับซุปถั่วทุกวันจนเบื่อแล้ว นางจึงคิดถึงรสชาติของอาหารที่ทำจากข้าวขาวและแป้งขาวเป็นอย่างมาก เด็กหญิงหยิบแผ่นแป้งที่จ้าวฮันห่อให้ขึ้นมาแล้วพยักหน้าให้น้องชาย จากนั้นนางก็อ้าปากกัดคำโต
เสี่ยวเฉาไม่เคยคิดเลยว่าแผ่นแป้งที่ทำจากแป้งขาวจะอร่อยได้ถึงเพียงนี้ เมื่อรวมกับรสชาติอันแสนอร่อยของเนื้อหมูแล้ว มันก็ทำให้อาหารที่เรียบง่ายนี้อร่อยขึ้นมามาก
นางเจิ้งตักอาหารใส่จานให้เด็กทั้งสองแล้วบอกกับลูกชายของนางว่า “ลูกจะพาน้อง ๆ เข้าไปในป่าลึกมิได้เด็ดขาด ในนั้นมีทั้งหมี, หมาป่า แล้วก็พวกสัตว์ดุร้ายอยู่ในนั้น อย่าให้พวกเขาไปเจอกับอันตราย เจ้าเข้าใจหรือไม่ ?”
จ้าวฮันปอกเปลือกไข่ต้มแล้วใส่ลงในถ้วยโจ๊กของเสี่ยวเฉา จากนั้นก็พยักหน้า “ท่านแม่ไม่ต้องห่วง ข้าเคยไปมาหลายครั้งแล้ว สัตว์ตัวใหญ่ที่สุดที่เคยเจอก็แค่กวางหรือแพะภูเขาเท่านั้น ปลอดภัยอย่างแน่นอนขอรับ !”
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว จ้าวฮันก็ได้พาเด็กสองคนที่กินอาหารเช้ามากเกินไป เดินไปตามถนนที่คดเคี้ยวขึ้นไปบนภูเขา
“เวลาวางกับดัก สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือหาว่าเส้นทางไหนที่พวกกระต่ายชอบผ่าน กระต่ายป่ามักจะใช้เส้นทางเดิม ๆ...เจ้าลองดูนี่ มีทางเล็ก ๆ ในพุ่มไม้ที่กระต่ายทิ้งเอาไว้” จ้าวฮันชี้ไปที่กลุ่มหญ้าที่เละเทะเล็กน้อยแล้วอธิบายอย่างอดทน
หยูเสี่ยวเฉ่าพูดอย่างกระตือรือร้น “เยี่ยงนั้นพวกเราก็ควรวางกับดักตรงนี้ ! ใครจะรู้ ตอนที่พวกเรากลับมาอาจจะมีกระต่ายมาติดกับดักก็ได้ !”
จ้าวฮันหัวเราะ “แถวนี้มันใกล้กับที่โล่งมากเกินไป มีกระต่ายผ่านทางนี้ไม่เยอะหรอก เดินลึกเข้าไปอีกหน่อยแล้วค่อยลองดีหรือไม่ ?”
“พวกเราควรใช้โอกาสนี้ฝึกก่อนมิใช่รึ กับดักวางยังไงรึ ? ท่านพี่ฮันสอนข้าเร็ว ๆ เข้า !” หยูเสี่ยวเฉาไม่ยอมปล่อยโอกาสให้หลุดมือไปได้โดยง่าย ถึงเยี่ยงไรนางก็มีอาวุธลับอย่างหินศักดิ์สิทธิ์อยู่
จ้าวฮันเลิกคิ้วแล้วยิ้มอย่างตามใจ เขาจึงพูดว่า “ตกลง ! พวกเรามีเชือกอยู่ตั้งเยอะนี่นะ งั้นก็วางตรงนี้ไว้อันหนึ่งก็แล้วกัน !”
เขาตรวจสอบบริเวณรอบ ๆ แล้วหักกิ่งไม้ที่มีง่ามจากต้นไม้ใกล้ ๆ จากนั้นตัดแต่งตรงกลางง่ามไม้นั้นจนเกลี้ยงเกลา จ้าวฮันอธิบายว่า “เวลาเลือกกิ่งไม้ให้หากิ่งที่สามารถรับน้ำหนักกระต่ายที่กำลังวิ่งได้ ไม่เช่นนั้นก็จะไม่สามารถจับได้แม้แต่ตัวเดียว”
หยูเสี่ยวเฉาพยักหน้าเงียบ ๆ นางพยายามจดจำคำสอนของจ้าวฮันเอาไว้
จ้าวฮันวางกิ่งไม้ที่แต่งกิ่งแล้วลงบนทางของกระต่ายป่า และขยับให้มันอยู่ตรงกลางเส้นทางนั้นพอดี แน่ใจได้เลยว่ากระต่ายจะวิ่งตรงเข้าระหว่างง่ามไม้ตอนที่มันผ่านมาอีกครั้ง
“ถ้าทำห่วงเชือกเอาไว้ตรงนี้ก็จะเป็นกับดักใช่หรือไม่ขอรับ ?” ฉีโตวมองขั้นตอนทั้งหมดด้วยความสนใจและรู้สึกว่าการวางกับดักนั้นง่ายเอาเสียมาก ๆ
จ้าวฮันขยี้ผมเด็กน้อยแล้วตอบว่า “ไม่หรอก ยังต้องใส่กิ่งไม้เข้าไปอีก 2 กิ่งเพื่อกันไม่ให้กระต่ายเปลี่ยนทิศทางและวิ่งผ่านบ่วงเชือกไป ถ้าหากกันเส้นทางหนีทั้งหมดได้ ยังไงเสียกระต่ายก็จะต้องวิ่งเข้าไปในบ่วงเป็นแน่ !”
จากนั้นจ้าวฮันก็เอาเชือกออกมามัดให้เป็นบ่วงและสอดมันเข้าไปบนง่ามไม้ บ่วงนั้นอยู่เหนือพื้นประมาณ 10 เซนติเมตร หยูเสี่ยวเฉาใช้มือวัดระยะแล้วจำเอาไว้ สิ่งนี้จะเป็นตั๋วทำเงินของนางในอนาคต !
“ท่านพี่ฮัน เหตุใดบ่วงมันถึงดูใหญ่เยี่ยงนี้ล่ะ กระต่ายจะไม่หนีไปได้รึขอรับ ?” ฉีโตวถามพร้อมกับมองจ้าวฮันตาแป๋ว
จ้าวฮันมองเขาแล้วหันไปมองทางหยูเสี่ยวเฉาที่กำลังมองเขาอยู่เหมือนกัน “ไม่หรอก เจ้าเห็นปมที่เชือกหรือไม่ ? พอกระต่ายวิ่งเข้าไปในบ่วง ยิ่งมันดิ้นมากเท่าใด บ่วงก็จะยิ่งรัดแน่นมากขึ้นเท่านั้น ถ้าเราทำให้มันใหญ่กว่านี้ ไม่ใช่แค่กระต่ายที่หนีไม่รอด แม้แต่หมีก็ไม่รอดเช่นกัน !”
สองพี่น้องพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง สายตาที่มองเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความนับถือหนุ่มน้อยที่มีอายุเพียง 13 ปี จ้าวฮันรู้สึกพอใจเป็นอย่างมากที่เด็กทั้งสองชื่นชมเขา เขาชูหมัดขึ้นแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ ! ยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าใดก็จะยิ่งมีเหยื่อให้พวกเราจับมากขึ้นอีกเท่านั้น !”
พอจ้าวฮันหันหลังไป หยูเสี่ยวเฉาก็อาศัยจังหวะนี้เปิดถุงน้ำแล้วพรมน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ไปรอบ ๆ กับดัก หลังจากนั้นนางก็ได้ไล่ตามเด็กชายทั้งสองไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
[ เสี่ยวเฉา เจ้าคนนิสัยไม่ดี ! เจ้าคือมารร้าย ! ไม่รู้รึเยี่ยงไรว่าเจ้าได้ทำของล้ำค่าเสียไปเปล่า ๆ น่ะ นี่คือน้ำที่ข้าหินศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ลงไปแช่ มันมีพลังที่ช่วยฟื้นฟูบำรุงร่างกายมากกว่าโสมแก่ ๆ เสียอีก ! ฮึ่ม ! แล้วเจ้าเอามันมาใช้ล่อกระต่ายป่าเนี่ยนะ ! ]
วิญญาณของหินศักดิ์สิทธิ์ลอยออกมาในร่างของลูกแมวน้อยสีทอง มันปีนขึ้นไปบนหัวของหยูเสี่ยวเฉา นอกจากเจ้านายของมันแล้ว คนอื่นไม่มีใครมองเห็นมัน
เสี่ยวเฉาปลอบใจมันว่า [ เอาน่า ทังหยวนน้อย หากข้าจับสัตว์ได้ ข้าจะให้รางวัลเจ้าเป็นน้ำที่เอามาจากรากไม้ไผ่ที่ขึ้นในภูเขาลึก เจ้าเคยพูดมิใช่รึว่าน้ำจากที่นั่นช่วยให้พลังวิญญาณของเจ้าฟื้นกลับมาได้เร็วขึ้น ? ]
ความจริงแล้ววิธีที่ดีที่สุดในการฟื้นพลังของมันก็คือการช่วยเหลือเจ้านายและได้รับความรู้สึกขอบคุณจากเจ้านายของมัน แต่หินศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เคยพูดออกไปเนื่องจากมันกลัวว่าเจ้านายของมันจะให้มันทำภารกิจที่ทำให้มันรู้สึกเสียศักดิ์ศรีมากไปกว่านี้
เมื่อเห็นว่าทังหยวนน้อยจอมหยิ่งสงบลงแล้ว ฝีเท้าของหยูเสี่ยวเฉาก็เริ่มเบาลง ในที่สุดนางก็ตั้งสมาธิกับการเรียนวิธีวางกับดักได้เสียที