Re-new ตอนที่ 27 ลูกมือ
ตอนที่ 27 ลูกมือ
หลังจากนั้นก็เกิดความวุ่นวายโกลาหลขึ้นมาทันที คนหนึ่งไปเรียกหมอ อีกคนก็วิ่งไปซื้อยา เงินปลิวออกจากกระเป๋านางจางเป็นที่เรียบร้อย เสียเงินก็แย่มากพอแล้ว แต่สามีของนางก็ยังเรียกนางไปด่าสาดเสียเทเสียมากมาย ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงวันที่ครอบครัวของลูกสามกลับเข้าเมือง ลูกสะใภ้คนเล็กของนางก็ได้มองนางอย่างดูถูกดูแคลน
หลังจากนั้นนางจางก็ได้จมอยู่กับความหดหู่มืดมนจนเกือบจะล้มป่วย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นางก็จะแกล้งทำเป็นว่านังเด็กเสี่ยวเฉานั่นไม่มีตัวตน ไม่ว่าเด็กนั่นจะทำอะไร หญิงชราก็จะไม่สนใจราวกับว่ามองไม่เห็นนาง โชคดีที่นอกจากเวลาอาหารแล้ว เสี่ยวเฉาจะยุ่งแต่กับเรื่องของตนเองและไม่ก่อปัญหาอื่นที่ทำให้นางจางรู้สึกทนไม่ได้ หญิงชรายอมทนได้ทุกอย่างเพื่อรักษาเงินเอาไว้ !
“ท่านแม่ ท่านแม่ !” นางหลี่วิ่งเข้ามาจากนอกบ้านและเข้าบ้านมาอย่างเร่งรีบจนเกือบจะสะดุดล้มขณะที่ก้าวข้ามธรณีประตู
นางมองไปรอบ ๆ บ้านอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ เหมือนพวกย่องเบา ก่อนจะดึงนางจางเข้าไปในห้องใกล้ ๆ และพูดว่า “ท่านแม่ ช่วงนี้เราใช้เงินไปเยอะเลยมิใช่รึ ? ข้ารู้สึกแย่เป็นอย่างมาก ! พวกบ้านสองกินกันเยอะมากจริง ๆ เด็ก 4 คนกินกันเกือบเท่ากับผู้ใหญ่ 3 คนรวมกัน !”
นางจางอารมณ์ดีขึ้นอีกครั้งและบ่นอย่างเห็นด้วย “ใช่ ! แค่ไม่กี่วันพวกธัญพืชก็หายเรียบทั้งกระสอบ เงินก็ไหลออกจากกระเป๋าเหมือนเทน้ำ ข้าจะบ้าตายอยู่แล้ว เมียของลูกรองทำตัวเป็นคนซื่อสัตย์ แต่ข้าไม่เห็นว่านางจะแบ่งเบาภาระที่บ้านเลยแม้แต่น้อย”
นางจางบ่นไปก็ตบต้นขาตัวเองไป ใบหน้าหงิกงออย่างไม่พอใจ
นางหลี่ตอบด้วยน้ำเสียงเห็นใจว่า “ก็ใช่สิเจ้าคะ ! เมียของน้องรองแกล้งทำเป็นยุ่ง อีกทั้งยังเที่ยวบอกคนนอกด้วยว่านางเป็นคนทำงานบ้านคนเดียว แล้วเยี่ยงนี้ใครจะไม่มองว่านางเป็นเมียที่ดีบ้างเล่า ? แต่คนนอกกลับเรียกข้าว่าคนเกียจคร้าน แล้วก็ท่านแม่อีก ท่านแม่กลายเป็นแม่สามีใจร้ายที่ทำกับลูกสะใภ้ได้แย่มาก ๆ ในสายตาคนอื่น ๆ อีกด้วยนะเจ้าคะ !”
นางจางกัดฟันด้วยความโกรธและด่าอย่างเกรี้ยวกราดว่า “นังสารเลว ความจริงก็เป็นคนต่ำช้าเช่นนี้นี่เอง ! ข้ามองคนผิดไปจริง ๆ”
เมื่อนางหลี่เห็นว่าเป้าหมายของตนเองบรรลุแล้ว นางจึงเผยจุดประสงค์ที่แท้จริงออกมา “ท่านแม่ ที่นางทำเช่นนี้ก็เพราะว่านางมีลูกเยอะนั่นแหละเจ้าค่ะ วันข้างหน้านางจะได้มีคนคอยสนับสนุนนางเยอะ ๆ ไงเจ้าคะ แต่ข้ามีวิธีที่จะลดความมั่นใจของนางได้ !”
“เรื่องที่นางมีลูกเยอะก็เพราะนางมีปัญญาทำได้ ไม่เหมือนเจ้านี่มีได้แค่คนเดียวก็หมดปัญญาเสียแล้ว !” นางจางรู้สึกขมขื่นอยู่เสมอที่สะใภ้ใหญ่ให้กำเนิดไห่สือแค่คนเดียว แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาพูดเรื่องนี้ หญิงชราถามต่อว่า “ว่าแต่วิธีการที่เจ้าเอ่ยมานั้นมันอะไร ? ไหนเจ้าลองกล่าวมาสิ”
“พี่ชายของข้าบอกว่าร้านไม้ในเมืองกำลังมองหาเด็กฝึกงานอยู่ เสี่ยวชาก็มิใช่เด็กแล้ว อีกทั้งพอเป็นเด็กฝึกงานเขาก็จะได้กินและอยู่ห่าง ๆ จากท่านแม่ด้วย ทีนี้ก็จะหมดตัวแบ่งอาหารไปตั้ง 1 คน และวันข้างหน้าเสี่ยวชาก็จะสามารถหาเงินได้ในฐานะช่างอีกด้วยเจ้าค่ะ !” นางหลี่พูดจนน้ำลายกระเด็นไปทั่ว
นางจางขมวดคิ้ว “ร้านไม้รึ ? ใช่ร้านของจางจี้หรือไม่ ? ข้าเคยได้ยินว่าเจ้าของร้านจางจี้โหดร้ายมากเลยมิใช่รึ เด็กฝึกงานในร้านนั้นเปลี่ยนคนอยู่ตลอด บางคนก็พิการไปเลย ถ้า...”
นางหลี่โบกมือปัดคำพูดนั้น “มันก็แค่ข่าวลือเท่าแหละเจ้าค่ะ พี่ชายของข้ารู้จักเจ้าของร้านจางเป็นอย่างดี เขายังบอกอีกว่าเจ้าของร้านเป็นมิตรมาก เยี่ยงนั้นกิจการของเขาจะก้าวหน้าได้เยี่ยงไร ? เขาเพียงแค่คาดหวังกับเด็กฝึกงานของเขาสูงมากก็เพียงเท่านั้น ใครจะไม่อยากได้เด็กฝึกงานที่เก่ง ๆ แล้วยังขยันอีกล่ะเจ้าคะ ?”
นางจางคิดนิดนึงแล้วก็ต้องยอมรับว่าเสี่ยวชามิใช่เด็กที่เกียจคร้าน การส่งเขาไปเป็นเด็กฝึกงานก็เป็นความคิดที่ไม่เลว ยังไงเสียอีกหลายปีข้างหน้า เจ้าเด็กนี่ก็จะได้ทำงานช่างและจะทำเงินได้มากเสียทีเดียว
ในระหว่างเวลาอาหารค่ำนั้น นางจางได้บอกข่าวนี้กับทุกคน “เสี่ยวชาเป็นเด็กขยันแล้วก็ฉลาดเรียนรู้เร็ว ใครจะรู้ อีกสัก 2 ปีเขาอาจจะฝึกงานสำเร็จและหาเงินเองได้ งานที่ใช้ทักษะฝีมือเช่นนี้จะทำให้เขามีอนาคตที่มั่นคงกว่าการพึ่งพาลมกับน้ำเพื่อหาเงิน เสียดายร้านช่างไม้หาเด็กฝึกงานเพียงแค่คนเดียว เยี่ยงนั้นข้าคงจะให้ไห่สือไปด้วย ในอนาคตสองคนพี่น้องจะได้เปิดร้านด้วยกัน ข้าว่าดีจะตายไป”
คนที่เหลือในบ้านมิมีความเห็นอะไร แต่หยูไห่ลังเลเล็กน้อย “ท่านแม่ ข้าได้ยินมาว่าเด็กฝึกงานร้านไม้ต้องทำงานหนักเป็นเวลานาน ๆ เสี่ยวชายังเด็ก ข้าเกรงว่าเขาจะไม่มีแรงยกหรือทำงานไม้หนัก ๆ ได้”
สีหน้าของหญิงชราบึ้งตึงขึ้นมาทันที นางกระแทกถ้วยลงบนโต๊ะเสียงดัง “เขาอายุตั้ง 11 ปีแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังคิดว่าเขาเป็นเด็กเล็ก ๆ อยู่อีก ? อีก 2 ปีเขาก็สามารถแต่งงานได้แล้ว ! เจ้าจะโอ๋ลูกจนเสียคนมิได้นะ ! ข้าพยายามทำดีกับพวกเจ้าแล้ว ช่างไม้หวังที่บ้านเกิดของข้ามีงานสร้างพวกของใช้ในบ้านทุกปี เขามีกินเหลือเฟือ มีเสื้อผ้าดี ๆ ใส่ เทียบกับครอบครัวเราแล้วชีวิตเขาดีกว่าตั้งเยอะ !”
หยูเสี่ยวเฉามองพี่ชายอย่างกระวนกระวายพร้อมกับสบถด่าอยู่ในใจ ‘ไม่ใช่แค่ช่างไม้หวังหรอกที่มีชีวิตที่ดีกว่าพวกเรา ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็กินดีอยู่ดีกว่าพวกเราทั้งสิ้น พวกเราไม่ได้มีชีวิตเยี่ยงนี้เพราะเราไม่มีเงิน แต่เป็นเพราะท่านย่าตระหนี่เกินไปมิใช่หรอกรึ ท่านย่าห่วงแต่อาสามเพียงคนเดียวเท่านั้น คิดจะส่งเด็กอายุน้อยเพียงนี้ไปเป็นเด็กฝึกงาน จะไม่ใจร้ายเกินไปหน่อยรึ ! ’
นางเงยหน้าขึ้นจากถ้วยซุปถั่วแล้วพึมพำว่า “ถ้านี่เป็นโอกาสที่ดีถึงเพียงนั้น แล้วเหตุใดพวกเรามิส่งท่านพี่ไห่สือไปก่อนเล่า ? เขาอายุมากกว่าพี่ใหญ่ตั้ง 3 ปี อีกทั้งเขาตัวโตเกือบเท่าผู้ใหญ่แล้ว ยังเที่ยวเล่นไปรอบหมู่บ้านแกล้งหมาแกล้งแมวทั้งวัน ไม่ให้เขาออกไปเรียนรู้อะไรบ้างล่ะเจ้าคะ ?”
นางหลี่ลุกพรวดขึ้นด่าเสี่ยวหลี่ทันที “ผู้ใหญ่คุยกันอยู่ เด็กอย่างเจ้าอย่ามาสอด น้องรอง เจ้าตามใจลูกจนเสียคนถึงเพียงนี้ได้เยี่ยงไรกัน ?”
นางจางอยากตะโกนออกมาแต่ก็ระงับความโมโหไว้และกลืนมันกลับลงไป นางพูดขึ้นว่า “ไห่สือนิสัยแย่เยี่ยงนั้นจะไปทำสิ่งใดได้ ? ถ้าส่งเขาไปก็คงถูกส่งกลับภายใน 2 วัน ถ้าหากพูดถึงความสามารถ ต้าไห่เองก็เก่งมาตั้งแต่เด็ก ตอนที่คนอื่นสานตะกร้ากัน เขาดูแค่เพียงนิดเดียวก็สามารถทำได้แล้ว เสี่ยวชามีนิสัยเหมือนพ่อ คงเรียนรู้ได้เร็วเหมือนกันมิใช่รึ ?”
“ท่านแม่ ข้ามิได้บอกว่าไม่อยากให้เขาไป ข้าเพียงแค่อยากให้รออีกสัก 2 ปี ให้เขาโตกว่านี้แล้วค่อยให้เขาไป...” หยูไห่พูด เขาเป็นห่วงลูกชายตัวน้อยที่ยังเด็กเหลือเกินในสายตาของเขา
นางจางพูดขัดขึ้นทันที “คิดว่าข้าเป็นเจ้าของร้านไม้รึไง ? คิดว่าจะส่งลูกไปตอนไหนก็ได้ตามใจเจ้างั้นรึ ? ครอบครัวอื่นที่ส่งลูกไปเป็นเด็กฝึกงานก็ส่งไปตอนเด็ก ๆ ทั้งนั้น ถ้าโตกว่านี้เขาก็จะเรียนรู้ได้ช้าแล้ว ตอนนั้นใครจะอยากได้ตัวเขากัน ?”
หยูไห่กำลังจะตอบ หยูฮังที่เงียบมาตลอดก็ได้พูดขัดขึ้นมาว่า “ท่านพ่อ ท่านย่าพูดถูกนะขอรับ ข้ามิใช่เด็กเล็ก ๆ แล้ว อีกทั้งการเรียนงานช่างก็มิใช่สิ่งที่แย่สำหรับข้า นี่ เอ้อร์ชวนหมู่บ้านข้าง ๆ ก็เคยเป็นเด็กฝึกงาน เขาบอกกับข้าว่าถ้าหากฉลาด ว่องไว และขยันก็ไม่มีสิ่งใดหนักหนาเกินทนหรอก ข้าอยากไปขอรับ !”
หยูไห่รู้ว่าลูกชายคนโตของเขาที่มักจะเงียบอยู่เสมอ มีปณิธานและความคิดที่ยิ่งใหญ่ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งและตัดสินใจว่าจะปล่อยให้ลูกของเขาได้ลอง ถ้าหากไม่เข้าท่าขึ้นมา เขาก็ค่อยไปพาตัวลูกชายกลับบ้านก็ยังไม่สายเกินไป หยูเสี่ยวเฉาเห็นป้าใหญ่กระตือรือร้นผลักดันให้พี่ชายของนางไปเป็นเด็กฝึกงานมากถึงเพียงนี้จึงรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่แปลก ๆ แต่นางก็ไม่รู้ว่าคืออะไร นางทำได้แค่มองดูพี่ชายเก็บข้าวของและถูกส่งตัวไปที่ร้านไม้ในเมือง
ฤดูร้อนผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ฤดูใบไม้ผลิที่อากาศเย็นและสดชื่นก็มาถึง ตอนนี้คือเวลาเก็บเกี่ยวถั่วเหลืองและข้าวฟ่าง ทุกคนต่างมีความสุขจากฤดูกาลเก็บเกี่ยว
ครอบครัวหยูเป็นตัวอย่างของครอบครัวชาวประมง พวกเขาเน้นความสนใจไปที่การหาปลาและล่าสัตว์ และมีที่ดินอยู่เพียงแค่ 3 หมู่ซึ่งเป็นดินทรายเอาไว้ปลูกมันเทศที่ให้ผลผลิตสูง อีกประมาณ 1 เดือนถึงจะได้เวลาเก็บเกี่ยวมันเทศ
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงคือฤดูกาลของการล่าสัตว์ ในช่วงนี้ทุก ๆ ปีครอบครัวหยูจะไม่ให้หยูไห่ออกเรือหาปลา แต่จะให้เขาอยู่ล่าสัตว์บนภูเขาแทน หยูไห่ขึ้นเขาเพื่อไปล่าสัตว์เกือบทุกวัน บางครั้งเขาก็จะไปกับพรานจ้าว แต่ส่วนใหญ่เขาจะไปเพียงคนเดียว
หยูเสี่ยวเฉาพยายามใช้ประโยชน์จากการเป็นลูกรักของพ่อเกลี้ยกล่อมให้เขาพานางไปด้วย แต่หลังจากที่คิดถึงอันตรายจากสัตว์ป่าที่เขาเคยเจอมาและร่างกายที่อ่อนแอของลูกสาวแล้ว หยูไห่ก็ได้ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เขาทำได้แค่ปลอบใจนางด้วยการสัญญาว่าจะเก็บสัตว์ที่ล่าได้เอาไว้ให้นาง 1 ตัว
กินของเดิม ๆ ทุก ๆ วันต่อให้เป็นเนื้อสัตว์ป่ามันก็ทำให้เอียนได้เช่นกัน ตอนนี้ครอบครัวของนางมีอาหารพอกินในทุกวัน หยูเสี่ยวเฉาจึงไม่หมกมุ่นกับเรื่องกินอีกต่อไป ตอนนี้นางต้องการเงิน ตราบใดที่มีเงินนางก็ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว โชคร้ายที่ตอนนี้นางได้แต่หลบ ๆ ซ่อน ๆ หาเงิน ถ้าหากพวกเขาแยกบ้านกันได้เมื่อไหร่ นางคงหาเงินได้ง่ายกว่านี้มากนัก โชคร้ายที่ครอบครัวส่วนใหญ่ในยุคโบราณไม่นิยมแยกบ้านกัน ดังนั้นความหวังในเรื่องนี้จึงริบหรี่เป็นอย่างมาก
นอกจากนั้น หยูเสี่ยวเฉาก็เป็นเพียงแค่เด็ก 8 ขวบ ทางเลือกในการหาเงินของนางจึงมีจำกัด ยิ่งรวมกับการที่ต้องเก็บเป็นความลับด้วยแล้ว เส้นทางข้างหน้าจึงยิ่งลำบากเข้าไปอีก เมื่อสิ้นหวังนางจึงหันเหความสนใจไปที่หินสีรุ้งบนข้อมือของนาง หินศักดิ์สิทธิ์สังเกตเห็นบางอย่างจากสายตาของนางจึงกระโจนออกมาเผชิญหน้าด้วยทันที [อย่าคิดจะใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อปลาเชียวนะ ข้าคือหินวิเศษที่เคยปิดท้องฟ้าบนสรวงสวรรค์ จะเอาข้าไปใช้แบบต่ำต้อยเช่นนั้นได้เยี่ยงไรกัน ? ]
หยูเสี่ยวเฉาตอบด้วยท่าทีเขินอายเล็กน้อย “ทังหยวนน้อยจ๋า เจ้าคิดว่าข้ามีทางเลือกอื่นรึไง ? เจ้าเคยพูดนี่ว่าทุกครั้งที่ช่วยข้า ความเร็วและความบริสุทธิ์ในการดูดซับพลังวิญญาณจะเพิ่มขึ้น ถูกใช้เป็นเหยื่อปลาก็คือการช่วยข้าเหมือนกันมิใช่รึ ! ไม่อย่างนั้นตอนนี้ครอบครัวของข้าจะมีร่างกายที่แข็งแรงและสุขภาพดีถึงเพียงนี้ได้เยี่ยงไร ? เจ้าจะหาโอกาสแสดงพลังได้ที่ใดอีกกัน ?”
หินศักดิ์สิทธิ์เคยโกรธมากที่เจ้านายผู้อ่อนแอของมันตั้งชื่อเล่นให้มันว่า ‘ทังหยวน’ (ขนมบัวลอย) มันไม่ยอมขานตอบหยูเสี่ยวเฉาอยู่หลายวัน แต่เมื่อเด็กหญิงไม่ยอมสำนึกผิด หินศักดิ์สิทธิ์ก็ทำได้แค่เพียงปล่อยให้ตัวเองถูกเรียกอยู่เยี่ยงนั้น ผลที่ออกมาทำให้มันรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก
หยูเสี่ยวเฉาเกลี้ยกล่อมจนหินศักดิ์สิทธิ์เริ่มลังเล ทุกครั้งที่มันช่วยเจ้านาย มันรู้สึกได้ว่าการควบคุมของเทพีแห่งวิญญาณค่อย ๆ คลายออกทีละนิด ความบริสุทธิ์และปริมาณพลังที่มันสามารถดูดซับได้ก็เพิ่มขึ้นด้วย ถ้ามันอยากทลายโซ่ตรวนของเทพีแห่งวิญญาณและกลับไปอยู่เคียงข้างเจ้าแม่หนี่วา มันต้องช่วยเจ้านายของมันทำเรื่องดี ๆ มากกว่านี้
สภาพของมันในตอนนี้ทำให้มันมีโอกาสช่วยเจ้านายได้น้อยมาก การทำตัวเป็นเหยื่อล่อปลาให้เสี่ยวเฉานั้นได้ทำลายศักดิ์ศรีของมันในฐานะหินศักดิ์สิทธิ์มากจริง ๆ แต่เพื่อให้มันได้พลังกลับมาเร็วขึ้นและจะได้กลับไปอยู่กับเจ้าแม่หนี่วา มันก็ต้องยอมเป็นเหยื่อล่อปลา
ขณะที่หินศักดิ์สิทธิ์กำลังตัดสินใจ หยูเสี่ยวเฉาก็ได้เตรียมเชือกเรียบร้อยแล้ว พี่ฮันสัญญาว่าวันนี้เขาจะสอนนางวางกับดัก ถ้านางมีทังหยวนคอยช่วย นางจะไม่กลับบ้านมือเป็นเปล่าเป็นแน่ [ มีข้าคอยช่วย...มิใช่คำขอที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ] หินศักดิ์สิทธิ์ในร่างวิญญาณที่เป็นลูกแมวสีทองลอยขึ้นมา หูเล็ก ๆ ของมันชี้ไปทางด้านหลังพร้อมกับทำสีหน้าไม่เต็มใจ [ แต่เจ้าต้องเอาข้าไปแช่น้ำในลำธารที่หุบเขานั้นทุกวัน น้ำที่นั่นบริสุทธิ์กว่าที่อื่นมาก ]
“ย่อมได้ ! ข้าตกลง !” เสี่ยวเฉายื่นมือออกมาเพื่อจะลูบมัน ลูกแมวสีทองตัวเท่าลูกปิงปองน่ารักเกินห้ามใจ แต่หินศักดิ์สิทธิ์ใช้ปีกแสงของมันกันมือนางเอาไว้ แสงนั่นวูบวาบไปมาขณะหลบมือของนาง
“พี่สาม เหตุใดท่านไม่เรียกข้า ? ข้าเกือบนอนเพลินเสียแล้ว !” เสื้อผ้าของฉีโตวยับยู่ยี่ เด็กน้อยเช็ดหน้าแบบลวก ๆ ขณะวิ่งมา ระหว่างทางเขาหยิบตะกร้ามาด้วยและเดินตามหยูเสี่ยวเฉาออกไป