ตอนที่แล้วRe-new ตอนที่ 25  คำชม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปRe-new ตอนที่ 27  ลูกมือ

Re-new ตอนที่ 26  ชื่อเสียง


ตอนที่ 26  ชื่อเสียง

เฒ่าหยูตักผัดมะเขือยาวกับกระเทียมเพิ่มอีกจาน ฟันของเขาเริ่มหลุดบ้างแล้ว  เขาจึงชอบกินอาหารนิ่ม ๆ อย่างผัดมะเขือยาว ไม่ทันได้รู้ตัวเขาก็กินผัดมะเขือยาวไปถึงครึ่งจานแล้ว

หลังจากได้ยินความเห็นของหยูไห่ ชายชราที่รู้สึกพอใจในอาหารมื้อนี้จึงไม่ประหยัดคำชมเลยแม้แต่น้อย “ใช่ ๆ ! อาหารอร่อยมากจริง ๆ ! เสี่ยวเฉาของเรามีพรสวรรค์ ทำอาหารได้เก่งกว่าแม่ของนางเสียอีก แม่ของเสี่ยวเฉาเลี้ยงลูกได้ดีจริง ๆ  อย่างที่ว่ากันว่าศิษย์มักเก่งกว่าอาจารย์ ลูกสาม เจ้าว่าเป็นเยี่ยงไรบ้าง ?”

เฒ่าหยูค่อนข้างภูมิใจในสำนวนที่จำได้และรู้สึกทระนงในตนเอง เขาลูบเคราพลางจิบสุรา ตระกูลหยูของเราได้อบรมสั่งสอนลูกหลานมาอย่างดี !

“ท่านพ่อพูดได้ดีมาก ๆ เลยขอรับ แต่อาหารของเสี่ยวเฉาผัดด้วยน้ำมันทั้งหมด ปกติครอบครัวของเราแค่ต้มผักกับเกลือเท่านั้น มิมีน้ำมันเลยแม้แต่น้อย มันถึงได้ไม่อร่อยเท่าผักที่ผัดกับน้ำมันเยี่ยงไรล่ะ ต่อไปเราก็น่าจะทำอาหารด้วยวิธีนี้นะขอรับ !”

พอได้กินอาหารอร่อย ๆ ที่บ้าน หยูป่อจึงอารมณ์ดี เขาจัดการเติมเหล้าให้พ่อของเขา

เฒ่าหยูส่ายหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของลูกชาย “เจ้าก็น่าจะรู้นิสัยแม่ของเจ้าดีมิใช่รึ ถ้าเราซื้อหมูทุกวันเพื่อทำน้ำมันหมู มันคงทำให้นางเจ็บเสียยิ่งกว่าเฉือนเนื้อนางตรง ๆ เสียอีก !”

ถึงตรงนี้หยูไห่ก็แทรกขึ้นว่า “เราใช้น้ำมันพืชแทนน้ำมันหมูก็ได้นี่ขอรับ ครอบครัวของเราเก็บถั่วเหลืองแห้งจากปีที่แล้วเอาไว้มิใช่รึ ? เราเอาพวกมันไปที่โรงทำน้ำมันแล้วแลกเอาน้ำมันถั่วเหลืองมาไว้ทำอาหารก็ได้นี่ขอรับ”

หากพวกเขาใช้ถั่วเหลืองแลกน้ำมันแทนเงิน ภรรยาของเขาอาจจะยอมก็เป็นได้  เฒ่าหยูประเมินความเป็นไปได้ที่ภรรยาของเขาจะยอมตกลงอย่างละเอียดถี่ถ้วน

เมื่อหยูป่อเห็นทุกคนในบ้านกินอาหารที่ทำด้วยน้ำมันอย่างมีความสุข เขาก็ได้พิจารณาถึงเรื่องนี้อีกครั้ง แล้วจึงวางตะเกียบลงแล้วพูดกระตุ้นพ่อของเขาว่า “ท่านพ่อ  ถ้าคนอื่นรู้ว่าครอบครัวของเราเห็นว่ามันเป็นภาระมากเกินไปกระทั่งจะซื้อน้ำมันถั่วเหลืองสักขวดเพื่อให้ข้าได้เรียนแล้วล่ะก็ ข้าจะยังเรียนอยู่ที่โรงเรียนต่อได้เยี่ยงไร ? จะมิมีใครเปิดโปงเรื่องนี้จริง ๆ รึ ? ท่านพ่อช่วยบอกท่านแม่ว่าอย่าได้ตระหนี่มากนักเลย เพียงแค่นี้คนที่โรงเรียนก็นินทาข้าจะแย่อยู่แล้ว...”

บัณฑิตเชิดชูชื่อเสียงมากที่สุด หยูป่อเคยได้ยินข่าวลือแย่ ๆ ของตนเอง อย่างเช่น ‘เขาอยู่บ้านหลังใหญ่ในเมือง ได้กินแต่อาหารดี ๆ ขณะที่พ่อแม่พี่น้องต้องนับว่าจะกินแผ่นแป้งได้เท่าใดในแต่ละมื้อ... ’ จุดประสงค์หลักในการกลับบ้านครานี้ของเขาก็คือเกลี้ยกล่อมท่านแม่ให้เลิกตระหนี่สักเล็กน้อยเพื่อเห็นแก่ชื่อเสียงของเขา พวกที่ชอบปล่อยข่าวลือจะได้เลิกทำลายชื่อเสียงเขาเสียที แต่ในฐานะลูกชาย เขาคุ้นเคยกับอารมณ์ของนางจางเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เอ่ยกับผู้ที่เป็นพ่อแล้วให้พ่อของตนไปคุยกับแม่อีกครา

หากสินค้าราคา 1 อีแปะหญิงชราก็อยากซื้อในราคาครึ่งอีแปะอยู่เสมอ นางตระหนี่กับทุกคนในครอบครัวรวมทั้งตัวนางเองด้วย และมักจะจำกัดอาหารที่กินได้อยู่ตลอด เหล่าลูก ๆ ของพี่รองพวกเขาอดอยากจนผอมแห้งเหลือแต่หนังกับกระดูก...แต่เพื่อการศึกษาของลูกชายคนเล็กแล้ว เฒ่าหยูมักจะทำเป็นมองไม่เห็นความตระหนี่ของภรรยาของเขาเสมอ

แต่ถ้าความตระหนี่ของนางเริ่มส่งผลกระทบกับชื่อเสียงของลูกชาย เยี่ยงนั้นก็ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปมิได้แล้ว ! ลูกชายคนเล็กของเขามีโชคชะตาจะได้เป็นขุนนางในอนาคต หากความตระหนี่ของนางจางทำให้ลูกชายของตนต้องเสียโอกาสแล้วล่ะก็คงจะมิดีเป็นแน่ เฒ่าหยูจึงตัดสินใจว่าเขาจำเป็นต้องคุยกับภรรยาในเรื่องนี้ให้ชัดเจนเสียแล้ว

คืนนั้นสองสามีภรรยาได้พูดคุยกันในเรื่องนี้ เพื่อลูกชายแล้วนางจางมิได้คัดค้านใด ๆ เลยแม้แต่น้อย วันต่อมาหญิงชราได้เดินทางไปที่โรงทำน้ำมันด้วยตนเองและได้แลกถั่วเหลืองครึ่งกระสอบกับน้ำมันถั่วเหลือง 1 ถ้วย อีกทั้งนางก็ไม่ได้จำกัดจำนวนแผ่นแป้งที่กินอีกต่อไป

เมื่อไม่มีข้อจำกัดอย่างเข้มงวด อาหารของครอบครัวที่เก็บเอาไว้ก็ได้ถูกนำมาใช้เร็วขึ้น รายจ่ายที่เพิ่มขึ้นทำให้นางจางถึงกับใจสั่นและกรีดร้องอยู่ในใจว่า ‘ใครมันปากบอนพูดจาเหลวไหล ข้าขอสาปแช่งให้หนูเข้าไปกัดลิ้นในปากมันผู้นั้นทีเถอะ ! ”

คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดกับสถานการณ์นี้ก็คือหยูเสี่ยวเฉาและครอบครัวของนาง อย่างน้อยตอนนี้ทุกคนในครอบครัวไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็สามารถกินจนอิ่มได้แล้ว อีกทั้งทุก ๆ สองถึงสามวันหยูเสี่ยวเฉาจะได้กินสัตว์ที่พ่อของนางล่ามาได้ แล้วแบ่งเอาไว้กินเองอีกด้วย คนในครอบครัวของหยูไห่จึงเริ่มมีเนื้อมีหนังขึ้นมาบ้างแล้ว

ใช่ ! หยูไห่ผู้ที่หลงลูกสาวจนโงหัวไม่ขึ้นนั้นเมื่อโดนหยูเสี่ยวเฉาอ้อนวอนขอร้องแบบชาญฉลาดเข้าไป เขาจึงทำได้แค่ยอมแพ้หลังจากอิดออดเพียงนิดหน่อยเท่านั้น ทุกครั้งที่เขากลับจากการล่าสัตว์ หยูเสี่ยวเฉามักจะไปรอเขาอยู่ที่เชิงเขาเสมอโดยที่ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยเพื่อเลือกสัตว์ที่ตัวอ้วนที่สุดเก็บเอาไว้ จากนั้นนางก็จะเอาสัตว์ตัวนั้นไปที่หุบเขาลับเพื่อย่างหรือเคี่ยวเนื้อในหม้อดินและเอามันกลับบ้านเพื่อให้คนที่บ้านได้กิน

บางครั้งจ้าวฮันก็จะแบ่งเนื้อที่เขาจับได้จากกับดักมาให้พวกเขากิน และพวกเขายังคงใช้วิธีขี้โกงจับปลาขาวในลำธารมาบ่อย ๆ อีกด้วย

สำหรับคนส่วนใหญ่ ปลาพวกนี้คล่องแคล่วว่องไวและจับยากเป็นอย่างมาก แต่หยูเสี่ยวเฉาไม่เคยมีปัญหาเรื่องจับปลาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถึงแม้จ้าวฮันจะรู้สึกว่ามันมีบางอย่างแปลก ๆ อยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่เคยคิดที่จะถามถึงวิธีจับปลาของนางเลย

เพื่อชื่อเสียงของลูกชายคนเล็กและอาชีพการงานของเขาในอนาคต นางจางจึงต้องยอมกล้ำกลืนเพิ่มปริมาณอาหารของครอบครัว หลังจากการเปลี่ยนแปลงได้เพียงสองเดือน ค่าใช้จ่ายของครอบครัวก็เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า

ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นรวมกับช่วงเข้าสู่วัยทองทำให้นางจางไม่ชอบขี้หน้าทุกคนที่นางเจอ ตอนที่พวกผู้ชายไปทะเล ถ้านางไม่ได้ด่าพวกผู้ใหญ่ นางก็จะหันไปตีเด็ก ๆ คำบ่นคำด่าไหลออกมาไม่ขาดสาย

ระหว่างกินอาหาร นางจางแทบจะไม่บ่นหรือว่าอะไรเลยด้วยความเกรงใจพวกผู้ชาย แต่ดวงตาของนางโฉบไปรอบ ๆ ราวกับใบมีด ใครที่หยิบแผ่นแป้งเพิ่มจะโดนมองด้วยสายตาเกลียดชัง ซึ่งแน่นอนว่านางอยากให้ลูกสะใภ้และหลาน ๆ กินกันน้อย ๆ

แต่สะใภ้ใหญ่ของนางก็ช่างไม่รู้จักชั้นเชิงไหวพริบเอาเสียเลย ต่อให้นางจางมองจนตาจะหลุดออกจากเบ้า แต่ตราบใดที่มีอาหารอยู่บนโต๊ะนางหลี่ก็จะกินโดยไม่สนใจสิ่งใด หลานชายคนโตก็ได้นิสัยแม่มาเต็ม ๆ เขาสวาปามอาหารบนโต๊ะราวกับคนที่ตายอดตายอยากมานาน

แม้ว่าสะใภ้รองจะมีนิสัยอ่อนแอและขี้ขลาด แต่ลูกสาวสองคนของนางกลับไม่เหมือนแม่เลยแม้แต่น้อย ถึงนางจางจะจ้องจนตาแทบถลน แต่เด็กสองคนนี้ก็ไม่ได้สนใจนางราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าพวกนางไม่เอาแผ่นแป้งอีกอันให้แม่ ก็จะเอาผักอีกจานให้พี่ชายหรือน้องชาย

ตอนนี้พวกเขาเปลี่ยนมาใช้น้ำมันทำอาหารแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทต้มหรือผัด รสชาติของอาหารทุกอย่างก็จะดีขึ้นมาก ทุกมื้อจะเกิดการแย่งชิงอาหารกันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งนำโดยครอบครัวของลูกชายคนโต คนที่ช้าที่สุดทำได้เพียงแค่เลียเศษอาหารที่เหลือในจาน

มือของเด็กหญิงสองคนโฉบไปมาอย่างว่องไวจนเห็นเพียงแต่เงา หลังจากที่พวกนางหยุดมือ ถ้วยของทุกคน ทั้งของแม่ที่ขี้ขลาดไม่เคยกล้าหยิบอาหารเอง, ของพี่ชายที่ใจเย็น, และของน้องชายตัวน้อยจะเต็มไปด้วยอาหาร หลานสาวสองคนของนางไม่เพียงแต่จะหยิบอาหารให้ครอบครัวตัวเองเท่านั้น แต่ตัวพวกนางเองก็เจริญอาหารกันมาก  ทั้งหมดนี้ทำให้นางจางรู้สึกเจ็บปวดใจเป็นที่สุด

เมื่อก่อนมีเพียงเสี่ยวเหลียนคนเดียวที่ดื้อด้าน จึงง่ายสำหรับนางจางในการควบคุม แค่ตีเด็กหญิงไปทีสองทีก็ทำให้เด็กนั่นเชื่อฟังได้แล้ว แต่ตอนนี้มีตัวยุ่งยากเพิ่มขึ้นมาอีกคนนั่นคือหยูเสี่ยวเฉา การสั่งสอนเด็กนี่ทำได้ยากเพราะสุขภาพที่อ่อนแอขี้โรคของนาง การตีนางนี่แทบจะเป็นไปมิได้เลย แม้แต่การตะโกนเสียงดังใส่นางก็อาจจะทำให้นาง ‘กลัว’ จนเป็นลมได้

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนลูกสามกับครอบครัวของเขาจะกลับไป ตอนนั้นหมั่นโถว 3 เข่งเต็ม ๆ ถูกนำขึ้นโต๊ะ พวกนางต่างก็ส่งให้แม่อันหนึ่ง และยังเอาให้พี่ชายกับน้องชายที่ยังไม่ทันนั่งลงด้วยซ้ำ พวกนางทำราวกับว่าตนเองเป็นเจ้านายของบ้านนี้ !

ตอนนั้นนางจางทนดูเฉย ๆ ไม่ได้จริง ๆ ตามนิสัยของนางไม่ใช่คนที่จะยอมนั่งอยู่เฉย ๆ ให้คนทำการสบประมาทได้เช่นนั้น ดังนั้นหญิงชราจึงตบม้านั่งอย่างแรงเสียงดังปัง  แต่ก่อนที่นางจางจะทันได้อ้าปากตะโกนด่า นังเด็กนั่นก็ทำตาเหลือกและเป็นลมล้มพับไปทันที

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด