ตอนที่ 23 หยวนเอ้อเย๋
ตอนที่ 23 หยวนเอ้อเย๋
ตอนที่ทั้งสองคนเดินทางมาถึงโรงแรม ก็พบกับเครื่องลายครามที่หล่นแตกกระจัดกระจายอยู่บนพื้น พร้อมกับร่างของเย้เหวยหลินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้านิ่งเฉย
ลัวซ่าวหัวเห็นเครื่องลายครามตรงหน้าที่ตกลงมาแตกก็เกิดอาการตกใจขึ้นมาพร้อมกับถามขึ้นมาว่า "พี่เย้ นี่พี่ถึงกับทุบแจกันเลยเหรอครับ? "
หยางโปรีบดึงแขนของอีกฝ่ายก่อนที่จะหันไปชี้โต๊ะกาแฟที่อยู่มุมห้อง
ทันใดนั้นลัวย่าวหัวก็พบกับแจกันใบเดิมที่วางอยู่ที่นั่น เขาจึงรีบพูดแก้ขึ้นมา "พี่เย้ ใครบังอาจถึงได้กล้าดีเอาเปรียบพี่ขนาดนี้ครับเนี่ย? พี่บอกผมมาเลย เดี๋ยวผมจะไปจัดการให้เอง"
เย้เหวยหลินหันมามองลัวย่าวหัวก่อนที่จะหัวเราะออกมาจากลำคอ "ไอ้คนเจ้าเลห์! เมื่อวานฉันไปเจอกับคนที่คอยลากลูกค้าและฉันก็เจอกับคนเจ้าเล่ห์นั่นแล้วมันก็ลากฉันไปเจอกับคนที่ชื่อว่าหยวนเอ้อเย๋ ที่นั่นมีเครื่องลายครามจำนวนมาก ตอนที่ฉันไปฉันก็ดันเกิดความสนใจแจกันพอร์ชเลนลายดอกไม้ 5 สีชิ้นนี้ "
ลัวย่าวหัวได้ยินคำอธิบายของเย้เหวยหลินก็เกิดอาการแปลกใจขึ้นมา "พี่เย้ พี่จ่ายเงินมัดจำไปแล้วเหรอครับ? "
"นายรู้ได้ยังไง?" เย้เหวยหลินเงยหน้าถามด้วยความสงสัย
"ก็เจ้าหยวนเอ้อเย๋นั่นขึ้นชื่ออยู่ไม่น้อยเลยน่ะสิครับ ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยไปซื้อของจากเขามาก่อน แต่ผมก็รู้กฎในการจ่ายเงินมัดจำของหยวนเอ้อเย๋นั่น" ลัวย่าวหัวพูดขึ้น
เย้เหวยหลินจ้องมองลัวย่าวหัวพร้อมกับระเบิดอารมณ์โมโหออกมา "หึ ยังไงฉันจะต้องทำให้เจ้านั่นสะกดคำว่าเสียใจให้ได้ คอยดูก็แล้วกัน! "
สีหน้าของลัวย่าวหัวเกิดอาการเจื่อนออกมาเพราะเขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกไม่พอใจ เขาจึงรีบพูดขึ้นมาว่า "พี่เย้ เรื่องนี้เดี๋ยวผมจัดการให้เอง ผมขอโทรไปถามก่อนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พี่สบายใจเถอะ ยังไงผมไม่ปล่อยให้พี่เสียเปรียบเจ้านั่นแน่ๆ"
พูดจบลัวย่าวหัวก็ปลีกตัวออกไปข้างๆ ก่อนที่จะกดโทรศัพท์ออกไปหาใครบางคน
เย้เหวยหลินหันมามองหยางโปก่อนที่จะพบว่าอีกฝ่ายยืนนิ่งโดยไม่พูดอะไรออกมา ภายในใจของเขาก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก "เสี่ยวหยางเมื่อกี้นายกลับไปจัดการธุระที่บ้านมาเหรอ? แล้วเรียบร้อยดีไหมล่ะ? "
หยางโปส่ายหน้า "จัดการไปแล้วครึ่งนึง แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังไม่เรียบร้อย ได้ยินว่าคุณเย้เจอกับปัญหา ผมก็เลยรีบตามมา"
เย้เหวยหลินพยักหน้า "ยังไงก็ขอบคุณเสี่ยวหยางด้วยนะที่รีบมาที่นี่ แต่จะว่าไปเสี่ยวหยางเองก็เป็นคนที่จินหลิงเหมือนกัน คงจะรู้จักหยวนเอ้อเย๋สินะ? "
หยางโปเพิ่งมาที่นี่ไม่นาน แต่เป็นเพราะเขาอยู่ในวงการร้านขายวัตถุโบราณเล็กๆเท่านั้น เขาจึงไม่รู้จักหยวนเอ้อเย๋ เขาจึงทำได้เพียงแค่ส่ายหน้า "ไม่รู้จักครับ"
"เหรอ" เย้เหวยหลินได้ยินเช่นนั้นก็ตอบกลับไปห้วนๆ
ในเวลาอันรวดเร็ว ลัวย่าวหัวก็เดินเข้ามา "พี่เย้ ผมโทรไปถามมาแล้ว หยวนเอ้อเย๋เป็นพวกมีอำนาจแถวนี้ เปิดบ่อนพนัน แล้วก็ขายของเก่า ของเก่าในมือของเขาเยอะมาก แต่มีของส่วนน้อยที่เป็นของแท้ อีกอย่างเขาก็ได้เปิดประมูลใต้ดินกับเหมยเหล่าซานด้วย ที่จริงผมก็รู้จักกับเหมยเหล่าซานเหมือนกันความสัมพันธ์ก็ถือว่าดีในระดับนึงด้วย พี่จะให้ผมไปเรียกตัวมาไหม? "
"เรียกตัว? เพื่ออะไร? จะให้มาขอโทษอย่างงั้นเหรอ?" เย้เหวยหลินใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความเย็นชา ทว่ามือของเขาที่จับเก้าอี้แสดงให้เห็นถึงเส้นเลือดที่ปูดขึ้นมา ตอนนี้เขาคงจะรู้สึกโกรธเต็มที่แล้วสินะ
"ใช่ครับพี่เย้ พี่สบายใจได้ ยังไงเจ้านั่นต้องมาขอโทษพี่แน่ๆ แล้วผมจะให้เขาชดใช้ด้วยของที่ดีกว่านี้ด้วย ยังไงผมก็จะไม่ยอมให้พี่เสียเปรียบเด็ดขาดเลย" ลัวย่าวหัวที่กำลังก้มหน้าอยู่จึงไม่ทันได้สังเกตอาการโกรธของอีกฝ่าย
หยางโปที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่ได้เตือนอีกฝ่ายเกี่ยวกับคำพูดของ เขา เพราะเมื่อครู่ตอนที่เขาได้ยินเกี่ยวกับหยวนเอ้อเย๋ เขาก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นตุๆขึ้นมา ตั้งแต่ที่เขามาอยู่ที่นี่เขายังไม่เคยได้ยินชื่อของคนนี้มาก่อน แต่เขากลับรู้จักอีกคนที่มีชื่อว่าหยวนเมี่ยเหมิน
หยางหลางยังแพ้พนันไปกว่า 500,000 หยวน ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายบอกเขาก็พอจะรู้ว่าเจ้านั่นคงจะแพ้พนันให้กับหยวนเมี่ยเหมินคนนั้นแน่ๆ ที่มีชื่อว่าหยวนเมี่ยเหมินก็เป็นเพราะว่าเขาเป็นว่าบ่อนคาสิโนของเขามีเรื่องเกี่ยวกับการยึดทรัพย์สินของพวกที่แพ้พนันจำนวนมาก หากไม่ใช่เพราะบ้านของหยางโปยังมีโอกาสที่จะชดใช้หนี้ได้ พวกชายฉกรรจ์ที่เจอวันนี้คงจะไม่ยอมปล่อยพวกเขาไปง่ายๆเหมือนวันนี้แน่ๆ
เย้เหวยหลินเกิดอาการโกรธขึ้นมา "ดีจริงๆเลย! เปิดบ่อนคาสิโน แถมยังหลอกขายของปลอม ยังมีหน้าเรียกตัวเองว่าเป็นคนยุติธรรมอยู่อีกเหรอ? หึ เห็นคนนอกพื้นที่เป็นเหยื่อแบบนี้เหรอที่เรียกว่ายุติธรรม? ถ้าคนแบบนี้เรียกว่ายุติธรรมยังจะมีใครในโลกใบนี้มีความยุติธรรมอีก! "
เย้เหวยหลินใช้มือขวาของเขาตบไปที่โต๊ะจนเกิดเสียงดังขึ้นมาจนทำให้แจกันที่อยู่ข้างๆกลิ้งหล่นไปที่พื้นจนแตก
ลัวย่าวหัวเกิดอาการตกใจขึ้นมาก่อนที่จะสังเกตเห็นอาการโกรธของอีกฝ่ายเขาจึงรีบพูดขึ้นมาว่า "พี่เย้ งั้นเราไม่จำเป็นต้องฟังคำโทษจากเจ้านั่นแล้วก็ได้ครับ ผมจะให้คนไปจัดการเจ้านั่นให้เร็วที่สุด! "
พูดจบ ลัวย่าวหัวก็หมุนตัวเตรียมจะออกไป ทว่าทันใดนั้นเย้เหวยหลินก็หัวเราะออกมา "พาคนไป? นายจะพาใครไป? "
"พาพวกของผมไปน่ะสิครับ! ผมจะไปทลายบ่อนคาสิโนของมัน เผาให้เป็นจุลเลย!" ลัวย่าวหัวพูด
"รอก่อน" ระหว่างที่พูดเย้เหวยหลินก็เลิกคิ้วขึ้นก่อนที่จะมองไปที่หยางโป "เสี่ยวหยางเป็นคนฉลาด มีความเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม? มีอะไรจะแนะนำรึเปล่าว่าควรจะจัดการยังไงกับเรื่องนี้? "
หยางโปไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเอาปัญหาเหล่านี้มาไว้ที่เขา และเขาเองก็รู้ดีว่าลัวย่าวหัวคงจะใช้ความฉลาดอันน้อยนิดจัดการกับหยวนเหล่าซาน อีกอย่างเย้เหวยหลินเองก็ไม่ยอมที่จะปล่อยเรื่องนี้ให้จบไปง่ายๆ เขาไม่รู้หรอกว่าก่อนหน้านี้ลัวย่าวหัวจะรู้จักกับหยวนเหล่าซานเป็นการส่วนตัวหรือไม่ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออารมณ์ของเขาในตอนนี้
หยางโปไม่ยอมที่จะใช้มือของเขารับปัญหาที่เกิดขึ้นนี้แน่ๆ "คุณเย้ครับ เรื่องนี้ยังไงก็ต้องทำตามที่คุณคิดไว้นั่นแหละครับ"
"ไม่ ฉันอยากฟังความเห็นของนาย" เย้เหวยหลินยังคงยืนยันคำเดิม
หยางโปเงยหน้าก่อนที่จะเห็นสายตาของลัวย่าวหัวที่จ้องมองมา เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้นว่า "คุณเย้เป็นคนตรงไปตรงมา ในเมื่อถูกคนอื่นหลอก งั้นคุณเย้ก็ควรจะเดินตามเส้นทางที่ตรงไปตรงมาเหมือนกัน"
เย้เหวยหลินยิ้มออกมา "เสี่ยวหยางนี่พูดตรงใจฉันจริงๆ จริงด้วยสินะ ยังไงเส้นทางที่เดินก็ต้องเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง ฉันจะไปกลัวคนพวกนั้นเพื่ออะไรล่ะ?"
ลัวย่าวหัวเห็นว่าความกดดันของเย้เหวยหลินลดลงแล้วเขาก็พูดขึ้น "พี่เย้ ผมขอไปโทรศัพท์แปบนึงนะครับ พรุ่งนี้เช้าพี่รอฟังข่าวดีได้เลย"
พูดจบ ลัวย่าวหัวก็เดินออกไป
หยางโปเองก็เดินออกไปพร้อมกับเขาเช่นกัน ลัวย่าวหัวส่ายหน้า "นายเอาปัญหาใหญ่มาให้ฉันแล้วนะเนี่ย"
"ก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไรนี่ ฉันว่าคำพูดของคุณเย้เองก็มีเหตุผลนะ ยังไงเส้นทางที่เดินก็ต้องเป็นเส้นทางที่ถูกต้องถูกศีลธรรมไม่ใช่เหรอ? " หยางโปมองไปที่อีกฝ่ายพร้อมกับพูด
ลัวย่าวหัวเงียบไปก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
เช้าวันรุ่งขึ้น หยางโปก็ถูกปลุกโดยลัวย่าวหัว หลังจากที่ทั้งสองคนมาเจอกันแล้ว ลัวย่าวหัวก็ขับรถออกไปท่ามกลางความมืด
"จะไปไหนน่ะ? " หยางโปถามด้วยความแปลกใจ แม้ว่าภายในใจของเขาจะพอเดาอะไรขึ้นมาด้วยตัวเองได้แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี
"ไม่ต้องถาม ถึงแล้วเดี๋ยวนายก็รู้เองนั่นแหละ" ลัวย่าวหัวขับรถโดยไม่ได้พูดอธิบายอะไรต่อจากนั้น
ท่ามกลางความมืด แสงจันทร์สาดส่องลงมาพลิ้วไปมาดั่งสายน้ำ ยามค่ำคืนในเดือนสิงหาคมช่างหนาวเหน็บจริงๆ