ตอนที่แล้วตอนที่ 5 ข้อตกลงการซื้อขาย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 7 บรรลุเป้าหมาย

ตอนที่ 6 ฝนชะล้างเชิงเขา


ตอนที่ 6 ฝนชะล้างเชิงเขา

หยางโปถือบัตรกดเงินของเขาด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น 50,000 หยวนเทียบเท่ากับ 1 ใน 10 ของจำนวนเงิน 850,000 หยวน แต่มันถือว่าเป็นก้าวเดินแรกของเขาแล้ว การที่เขามีเงินจำนวน 50,000 หยวนนี้มันทำให้เขามีโอกาสเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม แถมยังทำให้เขาเก็บเงินได้มากพอ

หลังจากนี้เขาจะต้องใช้ประโยชน์จาก 50,000 หยวนนี้เพื่อที่จะหาของชิ้นใหม่ เป็นเพราะตอนนี้เขามีเงินลงทุนแล้วความเร็วในการที่เขาจะได้รับเงินก้อนต่อไปจะต้องเร็วมากขึ้นแน่ๆ อีกอย่างเขาก็สามารถที่จะทำให้พ่อของเขาได้รับการรักษาได้เร็วขึ้นด้วย แต่แค่เขาไม่สามารถจะอธิบายได้ว่าเงินเหล่านี้มาจากไหน อาจจะโกหกว่าได้มาเพราะเขาถูกหวยก็ดูเหมือนว่าจะเพียงพอแล้วสำหรับเหตุผล แต่หลังจากนี้มันจะยังมีเงินเข้ามาอีกไม่น้อยและเขาคิดว่าการโกหกแบบนั้นก็คงจะไม่ได้ผลแล้ว

ตอนนี้ยังเช้าเกินไป หยางโปเองก็ไม่อยากจะโทรศัพท์ไปรบกวนที่บ้านด้วย เขานอนลงบนเตียงพับหลังจากที่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่นานเขาก็ผลอยหลับไป

....

หยางโปตื่นขึ้นเพราะเสียงตะโกน ด้านนอกหน้าต่างในเวลานี้สว่างจ้าแล้วพร้อมกับร่างอ้วนๆที่ปรากฎขึ้นมาตรงหน้าเขาจนทำให้เขาตะใจจนสะดุ้งโหยงก่อนที่จะรีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็วว่า "เถ้าแก่สวัสดีครับ! "

กัวปาผีเกิดอาการโกรธเพราะเมื่อวานเขาดีใจจนเกินไปจนทำให้เผลอดื่มไปถึงสองแก้ว วันนี้เขาก็เลยตื่นสายกว่าปกติ แต่ก็ไม่คิดว่า 9 โมงแล้วแต่เด็กในร้านของเขายังไม่มาเปิดประตูร้านอีก จนอดไม่ได้ที่จะตำหนิหยางโป "หยางโป เมื่อคืนไปทำอะไรมา? ทำไมวันนี้ถึงได้ตื่นสายขนาดนี้ห้ะ ? แกไม่อยากจะทำงานแล้วใช่ไหม ? งานนี้มีคนอยากจะทำตั้งเยอะแยะ ถ้าแกไม่อยากจะทำ......."

"ต้องตื่นเช้าทุกวัน เก็บกวาดภายในร้าน ต้มน้ำร้อนให้เรียบร้อย เช็ดกระจกให้แวววับ......."

หยางโปรีบเก็บเตียงนอนของเขาอย่างรวดเร็ว บรรยากาศแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเจอ ถ้าหากไม่ใช่เพราะอยากให้พ่อแม่สบายใจเขาคงจะออกจากงานนี้ไปตั้งนานแล้ว ได้ยินเถ้าแก่พูดเช่นนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรปล่อยให้เถ้าแก่พูดให้เหนื่อยแล้วให้เขาหยุดพูดไปเอง

"เอาล่ะ ฉันไม่อยากจะพูดอะไรมากแล้ว แกไปซื้อโจ๊กมาให้ฉันหน่อย เอาโจ๊กขาวก็พอแล้ว" ในที่สุดกัวปาผีก็หยุดบ่น ก่อนที่จะยื่นเงิน 10 หยวนให้เขาเพื่อไปซื้ออาหารเช้า

หยางโปหยิบเงินมาก่อนที่จะเดินออกจากร้านไป

เขากลับมาพร้อมกับอาหารเช้าสองชุด เขานำโจ๊กขาวยื่นให้กับกัวปาผี ทว่ากัวปาผีก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองหยางโปเพราะเขาเห็นว่าหยางโปเองก็ซื้อโจ๊กมาถ้วยหนึ่งเช่นเดียวกันแถมยังมีปาท่องโก่อีกคู่นึงอีก ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ผิดปกติจากนิสัยของหยางโปมาก จนทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเกิดอาการสงสัยขึ้น "เสี่ยวหยาง ทำไมวันนี้แกถึงกินข้าวเช้าได้ล่ะเนี่ย ?"

หยางโปเงยหน้าขึ้น "เพื่อร่างกายที่แข็งแรงก็ต้องหาอะไรใส่ท้องเสียหน่อย "

กัวปาผีมองไปหยางโปที่กำลังกินโจ๊กและกินปาท่องโก๋ไปพร้อม ๆกัน "อ่อ...งั้นก็รีบกินซะ กินเสร็จก็ทำความสะอาดร้านด้วยนะ"

หยางโปตอบรับกลับไปก่อนที่จะรีบกินอาหารตรงหน้า พร้อมกับนึกในใจว่าจะหาเหตุผลอะไรเพื่อโทรไปบอกพ่อแม่ของเขาดี

กัวปาผีจ้องไปที่หยางโปพร้อมกับรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดแผกไปจากเดิม เพราะโจ๊กขาวของหยางโปดูเหมือนว่าจะใส่อะไรบางอย่างอยู่ภายในนั้นด้วย ในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามขึ้น "นี่เสี่ยวหยาง ที่นายกินไม่ใช่โจ๊กขาวใช่ไหม ?"

หยางโปที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด หลังจากที่ได้ยินอีกฝ่ายถามเขาก็เกิดอาการชะงัก "ผมกินโจ๊กไข่เยี่ยวม้า"

ทันใดนั้นดวงตาของกัวปาผีก็เบิกกกว้างขึ้น "โจ๊กไข่เยี่ยวม้า! "

ราวกับว่าเขารู้ว่าน้ำเสียงของตัวเองดูมีปัญหา กัวปาผีก็รีบพูดขึ้นมาว่า "เสี่ยวหยาง...นายเคยพูดไม่ใช่หรอว่าพ่อสุขภาพไม่ค่อยดี ฉันว่านายควรจะเก็บเงินเยอะๆนะจะได้เอาไปรักษาพ่อ"

หยางโปพยักหน้า "ผมรู้ครับ"

กัวปาผีมองไปที่โจ๊กของหยางโปก่อนที่จะก้มหน้ามองโจ๊กในมือของตัวเองด้วยท่าทางเบื่อหน่าย ความเหนือกว่าที่เกิดขึ้นจากอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกได้ถึงความสูญเสียจนทำให้เขาไม่มีกระจิตกระใจจะกินมันต่อ

หลังจากที่หยางโปกินข้าวเช้าเสร็จแล้วเขาก็รีบจัดการเก็บกวาดและทำความสะอาดร้านทันที ในเวลานี้ก็เริ่มมีลูกค้าเข้ามาในร้านแล้ว

จินหลิงมีชื่อเสียงในเรื่องของเตาเผา ตอนนี้เข้าสู่เดือนสิงหาคมอีกแล้วอากาศในเวลานี้ร้อนละอุมาก ทว่าเป็นเพราะว่าที่นี่อยู่ใกล้กับพระราชวังฉาวเทียนจึงทำให้มีผู้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์จินหลิงเดินผ่านร้านค้าและแวะเข้ามาเยี่ยมชมสินค้าภายในร้าน หยางโปหยิบหนังสือขึ้นมาก่อนที่จะกางเก้าอี้ตัวเล็กเพื่อไปนั่งที่หน้าประตูร้าน หลังจากที่ลูกค้าเข้ามาเขาก็ไม่ได้สนใจที่จะทักทายซักเท่าไหร่นัก ซึ่งมันเป็นเพราะว่าเขารู้ดีว่าคนส่วนใหญ่ก็แค่เข้ามาดูไม่ได้ต้องการที่จะซื้อ

ก่อนหน้านี้ หยางโปเองก็ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุโบราณอยู่ทุกวัน แต่มันก็เป็นช่วงที่เขาว่างจนไม่มีอะไรทำนั่นแหละเขาก็เลยต้องหาเรื่องทำแก้เซ็ง ตอนนี้เขารู้แล้วว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษ จึงทำให้หยางโปกระตือรือร้นที่จะหาความรู้ใหม่ให้มากขึ้น

กัวปาผีค่อนข้างจะมีความตระหนี่แต่เป็นเพราะมันเป็นงานสายนี้ของเขาจึงทำให้ภายในร้านมีหนังสือเฉพาะเกี่ยวกับวัตถุโบราณอยู่ไม่น้อย ก่อนหน้านี้หยางโปเองก็อ่านมันไปจนเกือบหมดแล้ว แต่เขาสามารถจดจำได้เพียงแค่หนึ่งในสามของเนื้อหาเหล่านั้นเท่านั้น แต่ตอนนี้ความทรงจำของเขาน่าทึ่งมากเพราะเขาอ่านเพียงแค่สองครั้งก็สามารถที่จะจดจำมันได้แล้ว โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องเอาหนังสือกลับมาอ่านอีกต่อไป

เวลาผ่านไปเรื่อย ๆระหว่างที่หยางโปยังคงตั้งใจอยู่กับการเรียนรู้ของเขา เป็นเพราะความตั้งใจที่มีจึงทำให้เขาไม่ได้สังเกตเลยว่าตอนนี้เป็นช่วงเที่ยงแล้ว หลังจากที่ได้ยินเสียงของกัวปาผีตระโกนขึ้นมาจากห้องโถง เขาก็เพิ่งจะรู้สึกตัวและนึกขึ้นได้ว่าถึงเวลาออกไปซื้ออาหารเที่ยงอีกแล้ว

หลังจากรับเงินมาจากเถ้าแก่ เขาก็เดินไปซื้อข้าวที่ร้านอาหารด้วยความเคยชิน หลังจากที่เดินผ่านประตูเดิมที่เขาผ่านมาเมื่อวาน หยางโปก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่จุดนั้นก่อนที่จะพบว่าชายขอทานคนนั้นไม่อยู่ที่นี่แล้ว อีกอย่างลูกปัดเม็ดนั้นก็หายไปแล้วเช่นเดียวกัน แต่มันก็เหมือนว่าจะแลกมาพร้อมกับโชคของเขาหรือบางทีก็อาจจะเป็นเพราะคนดีผีคุ้มครอง นึกถึงอาการป่วยของพ่อที่ไม่ได้รับการรักษา ก่อนหน้านี้เขาเองก็เอาแต่ฝันว่าจะมีพระเจ้าลอยลงมาจากฟ้าและมอบเงินจำนวน 850,000 หยวนให้กับเขาหรืออาจจะมีหมอเทวดาที่จะสามารถรักษาโรคของพ่อเขาให้หายได้มั้ย

หลังจากได้สติขึ้นมาเขาก็เพิ่งจะเข้าใจว่าใครก็ตามที่พึ่งพาตัวเองถึงจะสามารถสร้างอนาคตได้ ถึงจะสามารถเปลี่ยนโชคชะตาของตัวเองได้ แม้ว่าเขาจะได้รับพลังพิเศษมาแล้วแต่เขาก็ยังต้องขยันอยู่ดีไม่ใช่เหรอ ? หากไม่ทำเช่นนั้นมันก็คงจะกลายเป็นสมบัติที่ว่างเปล่าโดยไม่รู้ตัวแถมยังเสียมันไปโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย

หลังจากที่ซื้อข้าวเที่ยงกลับมาแล้ว หยางโปก็พบว่าภายในร้านกู่เต๋อจายมีลูกค้า เขามองเห็นชายวัยกลางคนที่กำลังอุ้มกล่องยาวๆกล่องหนึ่งอยู่ในร้าน เขาสวมใส่เสื้อผ้าขาดหลุดรุ่ยและดูน่าเวทนาพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า "เถ้าแก่ ภาพวาดนี้เป็นของที่ได้มาจากบรรพบุรุษ เป็นผลงานของคุณฉาน ถ้าไม่ใช่เพราะว่าลูกป่วยเป็นลูคีเมียผมคงไม่เอารูปวาดนี้มา คุณเองก็รู้ว่าภาพนี้เป็นภาพที่ได้ต่อๆกันมาจากบรรพบุรุษรุ่นสู่รุ่น หลังจากนี้มันจะมีราคาที่สูงมากขึ้นเรื่อยๆ "

ชายวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงต่ำและดูโศกเศร้าจนทำให้หยางโปนึกถึงชะตากรรมของตัวเอง พ่อของเขาเองก็เป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ ? แต่เขากลับไม่สามารถเป็นลูกที่กตัญญูได้ถ้าหากว่าเขาไม่สามารถช่วยพ่อได้ ถึงเขาจะมีเงินเยอะกว่านี้มันจะไปมีประโยชน์อะไร ?

ชายวัยกลางคนวางกล่องลงข้างๆ ขณะที่หยางโปเดินเข้าไปในร้านพร้อมกับดูภาพวาดที่กัวปาผีกำลังดูอยู่ ภาพวาดนี้เป็นภาพหินและไม้สน อีกทั้งยังมีศาลาและเรือทำประมงที่ล่องอยู่ในแม่น้ำ บรรยากาศมีเมฆขาวที่ลอยอยู่ พร้อมกับยอดภูเขาที่ซ้อนกัน วิสัยทัศน์เต็มไปด้วยความสงบและมีเส้นทางที่คดเคี้ยว นอกจากนี้ภาพวาดยังแสดงให้เห็นถึงความสะอาดและสันโดษของภูเขาและแม่น้ำหลังจากฝนตก

ก่อนที่จะเห็นข้อความที่จารึกอยู่บนนั้นว่า 'ภาพวาดฝนชะล้างเชิงเขา' พร้อมกับมีบทกวีที่อยู่บนนั้น 'ฝนชะล้างเชิงเขาจนขาวผุดผ่อง สะอาดราวกับที่ราบที่หนาวเหน็บ ตรงจุดที่อยู่ท่ามกลางสายหมอก ยอดเขาตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ... '

พร้อมกับตราประทับที่เขียนด้วยตัวอักษรสองพยางค์ว่า "สือซี" ทุกอย่างบนภาพวาดมีความสะอาดและดูเงียบสงบ

ภายในใจของหยางโปผุดคำว่า 'ดี' ขึ้นมา ทันใดนั้นตรงหน้าของเขาก็เกิดแสงสว่างขึ้นพร้อมกับม่านแสงที่ทะลุออกมาจากภาพวาดนั้นก่อนที่จะค่อยๆรวมกันอยู่ตรงกลางของภาพ แสงที่เกิดขึ้นนั้นหมุนไปรอบ ๆผลงาน ก่อนที่ม่านแสงจะค่อยๆลอยออกมาและเข้ามาในดวงตาของเขาจนทำให้หยางโปเกิดอาการดีใจขึ้นมา แสงที่หมุนอยู่รอบ ๆภาพวาดนี้หนากว่าตอนที่เขาเห็นเครื่องลายครามหยีโหล่วจวินเสียอีก!

5 1 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด