ตอนที่แล้วRe-new ตอนที่ 13  สับสน  
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปRe-new ตอนที่ 15  เครื่องปรุงที่แสนวิเศษ

Re-new ตอนที่ 14  เจ้าแกะหลอกง่าย


ตอนที่ 14  เจ้าแกะหลอกง่าย

จูไห่หยงที่เคยขี้ขลาดตาขาวได้ก่อกบฏขึ้นในยุคของทรราชย์แห่งราชวงศ์หยวน เขาเป็นนักยุทธศาสตร์ที่ฉลาดปราดเปรื่องจึงได้เป็นหัวหน้าของกลุ่มกบฏอย่างรวดเร็วและได้รับชัยชนะในการรบมากมาย ไม่ถึง 10 ปีเขาก็ได้ล้มล้างราชวงศ์หยวนลงได้และได้สถาปนาราชวงศ์หมิงขึ้น

หลังจากนั้นก็ใช้เวลาเกือบ 10 ปีในการทำให้ประเทศสงบลงจากผลของสงคราม อีกทั้งยังขับไล่ชาติที่เป็นศัตรูออกไปให้พ้นชายแดน โดยการโจมตีจนพวกเขามิกล้าสู้กลับ

นับว่าฮ่องเต้จูไห่หยงคืออัจฉริยะด้านการรบที่ปรากฏขึ้นเพียงผู้เดียวในรอบศตวรรษ แต่ความสามารถในการปกครองประเทศก็มิได้มีสิ่งใดโดดเด่น ในตอนแรกเริ่มที่สถาปนาราชวงศ์ใหม่ขึ้นนั้น มีแต่ศึกสงครามและความโกลาหลวุ่นวายไม่รู้จบ เป็นผลให้สูญเสียพืชผลและขาดแคลนพื้นที่การเกษตร ทำให้เกิดภาวะข้าวยากหมากแพงและเงินเฟ้อ ประชาชนจึงอยู่อย่างอดอยากยากจน

ฮ่องแต้องค์ปัจจุบันคือพระราชนัดดาองค์โตของฮ่องเต้องค์แรก เป็นอัจฉริยะผู้ที่นำกลุ่มผู้ชำนาญทางเรือให้สร้างเรือสำหรับเดินทางในมหาสมุทรตอนที่อายุ 12 ปี เขาได้ออกเดินทางด้วยตนเองและนำพืชผลอย่างเช่น พริก, มันฝรั่งหวาน และถั่วลิสงกลับมาด้วย นอกจากนี้เขาได้ส่งออกชา, เครื่องเคลือบดินเผา, และผ้าไหมไปยังโลกใหม่เพื่อค้าขายกับชาวพื้นเมือง

มันฝรั่งหวานที่ให้ผลผลิตสูงสามารถทำให้ประชาชนที่อดอยากอิ่มท้องได้ พวกชาวบ้านทั่วไปพยายามดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอดเพียงเท่านั้น ดังนั้นพอมีอาหารให้กินอย่างอิ่มท้องแล้ว สภาพสังคมก็ค่อย ๆ มั่นคงขึ้น

พอฮ่องเต้องค์ปัจจุบันบรรลุนิติภาวะในวัย 20 ปี ฮ่องเต้องค์แรกก็ทรงสละราชบัลลังก์และมอบบัลลังก์ต่อให้กับเขา หลังจากนั้นฮ่องเต้องค์แรกก็ได้ใช้ชีวิตเรียบง่ายสบาย ๆ เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วหล้า

หลังจากฮ่องเต้เจี้ยนเหวินขึ้นครองราชย์ ก็เกิดการปฏิรูปขึ้นหลายอย่างทั้งลดภาษี, ส่งเสริมการเกษตรและเลี้ยงไหม, และสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมและการค้า ในเวลาเพียงแค่ 5 ปีเขาก็สามารถจัดระเบียบและดูแลบ้านเมืองให้เข้าที่เข้าทางได้ และถูกบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็น ‘ ฮ่องเต้แห่งสวรรค์ ’...

หยูเสี่ยวเฉารู้สึกสับสน นางย้อนเวลามาเกิดใหม่หรือมาเกิดอีกโลกหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์คล้าย ๆ กับโลกในชาติก่อนของนางกันแน่ ?

โอ๊ย ! ประเด็นนั้นมันสำคัญตรงไหนเล่า ? ในเมื่อนางมาอยู่ที่นี่แล้ว ก็คงทำได้เพียงไหลตามน้ำ ประเด็นแรกคือนางต้องแก้ปัญหาเรื่องอาหารให้พอกินกับหาเสื้อผ้าอุ่น ๆ มาใส่เสียก่อน !

หยูเสี่ยวเฉามองไปทางโจวซือชู่ เจ้าแกะหลอกง่ายตัวนี้อาจจะเป็นก้าวแรกที่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของนางดีขึ้น

แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในช่วงสามวันที่ร้อนที่สุดในฤดูร้อน คุณชายสามแห่งตระกูลโจวก็รู้สึกหนาวยะเหยือกจนขนลุกขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขานึกสงสัยอยู่ในใจ ‘รู้สึกหนาวตอนแดดแรงถึงเพียงนี้ได้เยี่ยงไรกัน หรือว่าเราจะไม่สบาย ? ’

“เอ่อ...คุณชายโจว ท่านคือคนดูแลร้านเจินซิวใช่หรือไม่ ? ท่านอยากได้หอยเป๋าฮื้อพวกนี้หรือไม่ ?” หยูเสี่ยวเฉาถามออกมาตรง ๆ

ตอนที่โจวซือชู่กำลังเล่าประวัติศาสตร์ให้พวกเขาฟัง เขาก็ได้เสตามองไปที่ไหดินเผาในมือนางโดยไม่ได้ตั้งใจอยู่หลายครั้ง เขากำลังรอจังหวะเหมาะ ๆ เพื่อที่จะถามอยู่พอดี จึงรีบตอบทันทีว่า “ถ้าเป็นหอยเป๋าฮื้อที่มีคุณภาพสูง ร้านเจินซิวของเราจะเสนอราคาที่สมเหตุสมผลให้อย่างแน่นอน ขอ...ขอข้าดูก่อนได้หรือไม่ ?”

หอยเป๋าฮื้อที่หยูไห่จับมาครานี้เป็นของหายากอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนมันจะโตขึ้นอีกหลังจากแช่อยู่ในน้ำหินศักดิ์สิทธิ์ตลอดทั้งคืน พวกมันดูสดและฉ่ำมากขึ้นอีกด้วย

โจวซือชู่ไม่มีความรู้เรื่องอาหารทะเลมากนัก เขาจึงเชิญผู้จัดการเจียงและหัวหน้าพ่อครัวหวังมาตรวจสอบดู พอพวกเขาเห็นหอยเป๋าฮื้อพวกนั้น พวกเขาก็ชมกันใหญ่ หัวหน้าพ่อครัวหวังทำอาหารทะเลมาเกือบ 30 ปี หอยเป๋าฮื้อที่ใหญ่และสดขนาดนี้เทียบได้กับหอยเป๋าฮื้อจักรพรรดิที่เขาเคยเห็นเมื่อ 5 ปีก่อนโดยบังเอิญ นอกจากนั้นหอยเป๋าฮื้อพวกนี้ก็มีขนาดเดียวกันทั้งหมดอีกทั้งยังอ้วนท้วนสมบูรณ์และไม่มีตำหนิแม้แต่น้อย

“ร้านเจินซิวจะรับซื้อหอยเป๋าฮื้อพวกนี้ไว้ !” โจวซือชู่พูดขึ้นอย่างแน่วแน่ “พวกเจ้าต้องการราคาเท่าใด ? บอกราคามาได้เลย !”

สีหน้าและแววตาของผู้จัดการเจียงและหัวหน้าพ่อครัวหวังทำให้หยูเสี่ยวเฉารู้ว่าหอยเป๋าฮื้อพวกนี้หายากเป็นอย่างมาก หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งนางก็พูดว่า “เรามีหอยเป๋าฮื้อ 9 ตัว คิดตัวละ 1 ตำลึง  ห้ามต่อรอง !”

หยูฮังลืมตาโตอย่างตกใจพร้อมกับหันไปมองหน้าน้องสาว หอยเป๋าฮื้อตัวละ 1 ตำลึง ถ้าหากนับทั้งหมดก็จะเป็นเงินถึง 9 ตำลึง ตอนแรกเขาคิดว่าขายได้ 2 - 3 ตำลึงก็มากที่สุดที่จะขายได้แล้ว แต่ 9 ตำลึงเนี่ยนะ ! น้องสาวของเขากล้าบอกราคาสูงถึงเพียงนี้เชียวรึ !

ผู้จัดการเจียงขมวดคิ้วเล็กน้อย ถ้าเป็นในเมืองหลวงกับเขตที่ห่างไกลทะเลก็เข้าใจได้ที่หอยเป๋าฮื้อจะแพงเนื่องจากความหายากและขาดแคลน แต่เมืองถังกู่เป็นเมืองชายฝั่งเล็ก ๆ ที่ไม่ได้ขาดแคลนอาหารทะเล ดังนั้นราคา 1 ตำลึงต่อหอยเป๋าฮื้อ 1 ตัวจึงถือว่าแพงเอาเสียมาก ๆ

ขณะที่เขากำลังจะต่อรองราคา นายน้อยของเขาก็ทำการตัดสินใจและตอบตกลงทันที “ผู้จัดการเจียง จ่ายเงิน !”

หัวหน้าพ่อครัวหวังอุ้มไหดินเผาที่ใส่หอยเป๋าฮื้อออกไปอย่างกระตือรือร้น สำหรับพ่อครัวที่มีชื่อเสียง อะไรจะน่าดีใจไปกว่าการได้วัตถุดิบดี ๆ มาทำอาหารกันเล่า ?

ผู้จัดการเจียงไม่พูดอะไรอีก เขาเอาก้อนเงินเล็ก ๆ ออกมา 2 ก้อน แต่ละก้อนเท่ากับ 5 ตำลึงและนึกบ่นอยู่ในใจ “คุณชายสามมิได้เป็นคนจัดการค่าใช้จ่ายในบ้าน ถึงได้มิรู้ค่าของเงิน 1 ตำลึงต่อหอยเป๋าฮื้อ 1 ตัว ! ราคาสูงถึงเพียงนี้หาทั่วทั้งเมืองถังกู่ก็หามิได้ ! เฮ้อ...เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ”

“ผู้จัดการเจียงขอรับ เรามิมีเงินทอน...” หยูฮังมองก้อนเงินบนโต๊ะแล้วลอบกลืนน้ำลาย เขาไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อมมือไปหยิบมัน

โจวซือชู่กำลังอารมณ์ดีเพราะแก้ปัญหาเรื่องอาหารจานหลักในงานเลี้ยงตอนบ่ายวันนี้ได้ เขาจึงพูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องทอน ! ถ้าครั้งหน้าพวกเจ้ามีอาหารทะเลดี ๆ อีก ก็อย่าลืมส่งมาที่ร้านเจินซิวก่อน ข้าจะให้ราคาดีอย่างแน่นอน !”

หยูเสี่ยวเฉายิ้มจนตาหยี นางรับเงินสองก้อนไปอย่างมีความสุขและพูดว่า “ไม่มีปัญหาเจ้าคะ  ตระกูลหยูของเราเป็นชาวประมงที่เก่งมาก ครั้งหน้าถ้าเราได้ของดี ๆ มาอีกอย่างครีบปลาฉลามหรือปลิงทะเล เราจะส่งมาให้ร้านเจินซิวก่อนเป็นที่แรกแน่นอน !”

“ตระกูลหยู ? ใช่ตระกูลของหยูต้าไห่จากหมู่บ้านตงชานหรือไม่ ?” ผู้จัดการเจียงเคยได้ยินข่าวลือเรื่องการล่าฉลามของหยูไห่ สำหรับร้านอาหารใหญ่ ๆ วัตถุดิบสำหรับอาหารราคาแพงและรสเลิศทุกประเภทนั้นหายากยิ่งนัก

ดูเหมือนคุณชายสามจะมีสายตาหลักแหลมคมในการมองคน ถ้าพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลหยู เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่ขาดทุนแล้ว

หยูฮังเพิ่งได้สติจากความตกใจ เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วผ่อนลมออกเบา ๆ 10 ตำลึง ! นั่นเท่ากับรายได้หลายเดือนของครอบครัวเลยมิใช่รึ !

พอหยูฮังสงบสติได้ เขาก็ตอบคำถามของผู้จัดการเจียงว่า “ใช่ครับ หยูไห่คือท่านพ่อของข้า ท่านพ่อเป็นคนดำน้ำไปใต้หินโสโครกแล้วจับหอยเป๋าฮื้อพวกนี้มา แต่พวกสมบัติแห่งท้องทะเลอย่างครีบปลาฉลามหรือปลิงทะเลนี่หายากเป็นอย่างมากเลยขอรับ อย่าไปฟังที่น้องสาวของข้าพูดเลย !”

“หายากแต่มิใช่ว่าเป็นไปไม่ได้นี่ ! ไม่เป็นไรหรอกตราบใดที่เจ้าทำตามที่น้องสาวเจ้าสัญญาเอาไว้และคิดถึงร้านเจินซิวเป็นที่แรกเวลาได้ของคุณภาพดีมา โดยเฉพาะพวกของคุณภาพดีและมีราคาแพง !” โจวซือชู่ตบบ่าเขาและพูดยิ้ม ๆ

หยูเสี่ยวเฉายิ้มสดใสราวกับดอกไม้ผลิบาน “เจ้าค่ะ ! ข้าจะกลับไปบอกท่านพ่อให้ ขอบคุณมากนะเจ้าคะ คุณชายโจว !”

โจวซือชู่ยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อเห็นสีหน้าเด็กหญิง นางดูเหมือนคนหิวเงินก็มิปาน แค่ยังไม่ได้กัดก้อนเงินเข้าไปเท่านั้น

เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นถามผู้จัดการเจียงด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ผู้จัดการเจียงคะ ช่วยเปลี่ยนก้อนเงินพวกนี้เป็นเหรียญเงินให้หน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ ?”

ผู้จัดการเจียงรู้สึกว่าเด็กหญิงคนนี้ค่อนข้างน่าสนใจ เขาจึงจงใจแกล้งนางว่า “เจ้าแน่ใจรึ ? ถ้าเปลี่ยนเป็นเหรียญเงินเยี่ยงนั้นข้าจะให้เจ้าเพียงแค่ 9 ตำลึง”

หยูเสี่ยวเฉาไม่ใส่ใจเพราะราคาที่นางเรียกก็คือ 9 ตำลึงอยู่แล้ว ส่วนที่ได้เพิ่มก็ถือว่าเป็นโบนัสที่ไม่ได้คาดเอาไว้ แต่ถ้าไม่เปลี่ยนเป็นเหรียญเงินคาดว่าคงไม่สะดวกต่อนางสักเท่าไหร่ นางกับหยูฮังเป็นเด็กที่แต่งตัวมอมแมมทั้งคู่ ถ้าหากพวกเขาไปซื้อของตามถนนด้วยก้อนเงินสองก้อนนั้น มีหวังพวกโจรได้มองตาเป็นมันแน่ !

“9 ตำลึงก็ย่อมได้ ! ถ้ามิเป็นการรบกวนจนเกินไป จะดีมากเลยเจ้าค่ะถ้าสามารถเปลี่ยนเป็นเงินอีแปะได้ด้วย !” เงิน 1 ตำลึงสามารถซื้อข้าวขาวกับแป้งได้มากมาย ดังนั้นหยูฮังจึงไม่ค่อยเข้าใจที่หยูเสี่ยวเฉาทิ้งมันไปได้ง่าย ๆ เช่นนั้น

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด