ตอนที่ 10 ตลาดมืดขนาดเล็ก
ตอนที่ 10 ตลาดมืดขนาดเล็ก
ช่วงบ่ายมีลูกค้าเข้าร้านมาน้อย หยางโปจึงใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือตรงหน้าพร้อมกับเป็นการพักผ่อนไปในตัว เมื่อเช้าเขาตื่นเช้าไปหน่อย ตอนที่ใช้พลังพิเศษก็ใช้พลังงานจากจิตวิญญาณไปเยอะพอสมควรแถมระหว่างวันยังต้องมาเจอเรื่องที่กระทบจิตใจอีกทำให้เขาไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงอาการเซื่องซึมนี้ไปได้
ระหว่างที่กำลังอ่านหนังสือเขาก็เผลอหลับไป รู้ตัวอีกทีก็มืดซะแล้ว ภายในร้านไม่มีคนอยู่แถมไม่มีลูกค้าแวะเวียนมาที่ร้านด้วย หยางโปกวาดตามองไปรอบ ๆเพราะให้แน่ใจว่าไม่มีของอะไรภายในร้านหายไป เขาก็รีบปิดร้านออกไปซื้อข้าวกินแล้วรีบกลับมาอาบน้ำนอนทันที
....
เช้ามืดในวันรุ่งขึ้น หยางโปลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยอาการสะลึมสะลือ ตอนนี้เป็นเวลาที่ตลาดมืดเปิดตลาดแล้ว อันที่จริงไม่ใช่ว่าจะมีทุกวัน โดยปกติแล้วทุกเดือนจะมีตลาดมืดเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น ทว่าหลังจากที่มันกลายเป็นธุรกิจ อีกทั้งยังมีตัวแทนจำหน่ายของมือสองส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นและเป็นเพราะต้องการหลีกเลี่ยงที่จะออกตามหาวัตถุโบราณในช่วงเช้าจึงทำให้เกิดตลาดมืดขนาดเล็กขึ้นและมีการเปิดตลาดทุกวัน
ตลาดมืดขนาดเล็กมีพื้นที่เล็กสมชื่อซึ่งภายในตลาดนี้มีของปลอมเยอะมากเช่นเดียวกัน หยางโปรู้ดีว่าเขามีโอกาสแค่ครั้งเดียวและเขาไม่สามารถที่จะปล่อยมันไปได้!
เขาเดินผ่านแผงลอยไปเรื่อย ๆ เมื่อวานเขาเดินตามหลังผู้ดูแลชวีปรากฏว่าสิ่งที่ได้มาก็ไม่เลวเลย แต่ตลาดมืดขนาดเล็กนี้คงเป็นเรื่องยากที่จะเจอคนที่มีชื่อเสียง อีกอย่างเป็นเพราะเรื่องเมื่อวานที่เกิดขึ้นจึงทำให้เขารู้สึกไม่มีความสุขเท่าไหร่นัก หยางโปจึงล้มเลิกการเดินตามเหมือนก่อนหน้านี้ไป
ของที่อยู่ภายในตลาดมืดขนาดเล็กแห่งนี้เป็นของเล็ก ๆ หยางโปเห็นใครบางคนหยิบกระเป๋าหนังงูออกมาซึ่งด้านในนั้นมีหินฝนดอกไม้อยู่ในนั้น หินฝนดอกไม้ชนิดนี้จะถูกวางขายอยู่ภายในสถานที่ท่องเที่ยว ไม่ค่อยมีราคาเท่าไหร่ มีเงิน 5 -10 หยวนก็สามารถซื้อมาได้กำนึงแล้ว สำหรับเงินทุนไม่กี่สิบหยวนสำหรับหินครึ่งกิโลเหล่านี้มันก็ถือว่าเป็นวิธีการซื้อขายที่ได้กำไรจำนวนมาก
อิฐกำแพงเมืองหมิงเองก็มีวางขายอยู่ที่แผงลอยด้วย แต่เพียงแค่มองแวบเดียวหยางโปก็รู้ทันทีว่ามันเป็นของปลอม ถ้าหากมันเป็นของจริง คงจะถูกตำรวจจับไปนานแล้วล่ะ
หลังจากหยางโปหาอยู่ครู่หนึ่งและพลิกดูของต่าง ๆตรงหน้าเขาไปไม่น้อย อยู่ๆเขาก็เกิดอาการวิงเวียนขึ้นมา ตอนนี้เขายังไม่ได้อะไรเลยและมันทำให้เขารู้สึกร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว ตอนนี้เงินที่เขามีเข้าใกล้จำนวนเงิน 850,000 หยวนมากขึ้นทุกทีแล้ว และเขายังมีความหวังอยู่!
แต่...ทุกอย่างมันไม่ได้ราบรื่นอย่างที่หยางโปคิดไว้น่ะสิ...หลังจากที่เขาเดินมาถึงแผงลอยสุดท้าย เขาก็ยังไม่พบกับของที่มีราคาแม้แต่ชิ้นเดียว ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกผิดหวังอย่างมาก
ระหว่างที่เขากำลังเดินกลับ หยางโปก็รู้สึกถึงความมืดมิดภายในหัวของเขาตลอดทาง ระหว่างที่เดินผ่านร้านจี๋หย่าถางเขาก็สังเกตเห็นว่าร้านยังไม่เปิดแต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าบางทีร้านจี๋หย่าถางอาจจะเปิดแค่ช่วงที่มีตลาดมืดเท่านั้น หากไม่มีก็คงจะเปิดแค่ช่วงเช้านู้นแหละ
ตั้งแต่ที่เขามาอยู่ที่จินหลิงเป็นเวลา 2 ปี เป็นเพราะเงินเดือนที่โคตรจะน้อยนิดหรือบางทีอาจจะเป็นเพราะว่าหยางโปไม่ได้มีอารมณ์เที่ยวเล่นเหมือนคนอื่น ๆจึงทำให้เขาไม่เคยออกไปเที่ยวด้านนอกมาก่อน ตอนนี้เขาอยากจะหาตลาดมืดที่อื่นนอกจากที่นี่ แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความว่างเปล่า เขาคิดอยู่นานและในที่สุดเขาก็นึกถึงสถานที่ที่เป็นตลาดโบราณอีกแห่งหนึ่งขึ้นมา...วัดฟูจื่อ!
วัดฟูจื่ออยู่ห่างจากราชวังฉาวเทียนไม่ไกล หยางโปหันหลังกลับไปก่อนที่จะดึงแขนเจ้าของแผงลอยคนหนึ่งก่อนที่จะถามว่า "ที่วัดฟูจื่อมีตลาดโบราณหรือเปล่าครับ ? "
"มีสิ มีอยู่แล้ว ที่นั่นมีตลาดฮวาเหนี่ยวด้วย" เจ้าของแผงลอยที่ดูเหมือนว่าจะขายไม่ค่อยดีตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเอื่อย ๆ
"แล้วมีตลาดมืดรึเปล่า ? " หยางโปยังคงถามด้วยความกระตือรือร้น
"ตลาดมืด ? " เจ้าของแผงเปล่งเสียงหึออกมาจากลำคอ "มันก็มีอยู่แล้วสิ ตลาดที่นั่นใหญ่กว่าที่นี่ตั้งเยอะ"
"พี่ชาย ถ้าไปที่นั่นต้องไปยังไงเหรอ ?" หยางโปไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายแต่ยังคงถามกลับไปด้วยความอยากรู้
"นายเดินตรงไปด้านหน้าพอไปถึงปากทางนั้นก็ไปทางทิศตะวันออก ถึงไฟแดงที่สามแล้วเลี้ยวซ้าย ......"
....
หลังจากที่ได้ข้อมูลจากเจ้าของร้านขายแผงลอยแล้ว หยางโปก็รีบเดินไปทันที เขาอยู่ที่ร้านขายวัตถุโบราณมาตลอดแต่เขาก็ยังไม่มีรถเพื่อเดินทางเวลาไปไหนมาไหนและแน่นอนว่าเขาก็ไม่คิดที่จะเอาเงินที่ไว้ใช้สำหรับกินข้าวไปจ่ายให้กับค่ารถหรอก ในเมื่อเป็นแบบนี้เขาก็ทำได้อย่างเดียวคือใช้ขาทั้งสองข้างของเขาวิ่งไปที่นั่น จากที่เจ้าของร้านคนนั้นพูดก็ดูเหมือนว่าจะห่างจากที่นี่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก
ทุก ๆเช้าหยางโปจะออกกำลังกายอยู่ตลอดแต่เป็นเพราะว่ามีเรื่องในชีวิตเกิดขึ้นมาแทรกซะก่อน เขาก็เลยไม่ได้ออกกำลังกายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ถึงจะต้องวิ่งมันก็ไม่ได้ทำให้เขาเสียแรงอะไร
หลังจากวิ่งไปได้ 20 กว่านาทีเขาก็ยังไม่เห็นเงาของวัดฟูจื่อสักนิด จนทำให้หยางโปเกิดอาการร้อนใจขึ้นมา ตอนนี้ทั้งมืดแถมบนถนนก็ไม่มีใครด้วย...เขาปลอบใจตัวเองว่าอีกเดี๋ยวก็คงจะถึงแล้ว เมื่อคิดเช่นนั้นเขาก็วิ่งต่อไป
หลังจากวิ่งมาได้ 10 กว่านาที หยางโปก็ถามคนที่เดินผ่านมาแถวนั้น ในที่สุดเขาก็เจอวัดฟูจื่อสักที แต่...ตอนนี้ท้องฟ้าดันสว่างซะแล้ว
หยางโปเดินไปรอบ ๆวัดฟูจื่อ ในที่สุดก็เจอแผงลอยที่ขายเครปผลไม้ เขาวิ่งไปที่ร้านนั้นก่อนที่จะถามขึ้นว่า "สวัสดีครับ ที่นี่มีตลาดมืดรึเปล่าครับ ? ทำไมผมถึงหาไม่เจอเลยล่ะ ?"
"ตลาดมืด ? ตลาดมืดคืออะไร ? ผีหลอกเหรอ? "
หยางโปชะงักไป "เอ่อ...ตลาดที่มีแผงลอยขายของเก่าอ่ะป้า"
"อ๋อ...รู้สึกว่าจะไม่มีนะ แต่ที่นี่ตลาดกลางคืนคึกคักมาก ในตลาดมีถนนขายของเก่าด้วย เปิดจนถึงตี 1 ตี 2 นู้นแหละ ร้านพวกนั้นถือว่าเป็นตลาดมืดรึเปล่าล่ะ ? "
....
ตอนนี้หยางโปทั้งหิวทั้งกระหายน้ำ เขาจึงใช้เงินของเขาซื้อเครปพร้อมกับน้ำเต้าหู้อีกหนึ่ง ระหว่างที่กินไปเขาก็กวาดตามองไปที่วัดฟูจื่อไปพลาง
ตอนเช้า ๆแบบนี้มีแค่ร้านอาหารเช้าเท่านั้นที่เปิดร้าน ร้านค้าที่อยู่ในวัดฟูจื่อมีกลิ่นอายที่เข้มข้นมากแต่มันไม่ได้มีกลิ่นอายเก่าแก่เหมือนที่เขาจิตนาการไว้ซักเท่าไหร่ ร้านค้าจำนวนมากนำเสื้อผ้าสมัยใหม่มาขายซึ่งนั่นทำให้หยางโปไม่ได้รู้สึกสนใจเท่าไหร่นัก
ในที่สุดหยางโปก็เจอกับเมืองโบราณของถนนจานเหยียน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเช้าเกินไปหน่อยก็เลยยังไม่เปิดให้เข้าไปดู แต่เขาเองก็เกรงว่าจะไม่สามารถรอต่อไปได้แล้วเหมือนกัน
หลังจากผ่านถนนจานเหยียน เขาก็พบว่ามีร้านขายของเก่าจำนวนไม่น้อยตลอดสองข้างทาง ห่างออกไปหยางโปก็เห็นแผงลอยที่ตั้งอยู่ร้านหนึ่ง
เขาเดินไปด้านหน้าร้านก่อนที่จะเห็นว่ามีข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆอยู่ตรงหน้า ซึ่งมีตราประทับหินสีเหลืองทองด้วยแต่มันเป็นของสมัยใหม่ไม่ใช่ของโบราณ หยางโปก็เลยไม่ได้สนใจของชิ้นนั้น พลังงานของเขามีอยู่อย่างจำกัดจนเขารู้สึกได้ว่าเป็นเพราะการใช้พลังพิเศษก่อนหน้านี้จึงทำให้มันดูดพลังงานของเขาไปเยอะมากและเขาก็เกรงว่านี่จะสามารถช่วยเขาได้อีกแค่ครั้งเดียวแล้ว
ชามพอร์ซเลนที่เป็นเซรามิคสีพาสเทลสีเหลืองสดใส ความเงางามจากด้านนอกนั้นดูสว่างไสวเกินไปแถมยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของไฟอยู่ ดูเหมือนว่ามันอาจจะถูกสร้างมาเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อเห็นเช่นนั้นหยางโปก็ล้มเลิกที่จะสนใจของสิ่งนี้ไป
ส่วนที่เหลือก็เป็นของสัพเพเหระซึ่งหยางโปไม่ได้ใส่ใจกับของพวกนั้น ในที่สุดสายตาของเขาก็จับจ้องมองไปที่ภาชนะสำริดสามขาสำหรับใส่เหล้าชิ้นหนึ่ง ของชิ้นนี้ดูธรรมดามากแต่หยางโปกลับรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่แข็งแกร่งจากของชิ้นนี้
ตรงหน้าเขาเกิดแสงประกายออกมาก่อนที่จะกลายเป็นแสงที่ปกคลุมไปรอบๆภาชนะชิ้นนี้ ซึ่งมันมีความหนากว่าแสงที่เขาเคยเห็นก่อนหน้านี้มากจนทำให้หยางโปอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึงขึ้นมา
หยางโปชี้ไปที่ภาชนะสำริดสามขาก่อนที่จะถามขึ้น "ชิ้นนี้เท่าไหร่เหรอครับ ?"
เจ้าของแผงสวมชุดสีเทาเงยหน้ามองหยางโป "50 หยวน"
หยางโปหยิบเงินออกมาโดยไม่ต่อรองราคาก่อนที่จะหยิบภาชนะชิ้นนั้นมา หลังจากที่เดินทั้งคืนในที่สุดก็ได้ของสักที
ภาชนะสามขาชิ้นนี้ด้านนอกดูเหมือนกับถูกคลุมด้วยสนิมสีเขียวๆหนึ่งชั้น แต่โชคดีที่รูปร่างหน้าตาของมันยังคงสมบูรณ์อยู่ หากยึดจากการประเมินของหยางโปแล้วมันควรจะเป็นของที่อยู่ในช่วงราชวงศ์ซางและโจวแต่ก็ยังเป็นการยากที่จะระบุเฉพาะเจาะจงว่าอยู่ในช่วงไหน
แต่ถึงแม้ว่าจะได้ของชิ้นนี้มาหยางโปก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรเท่าไหร่นัก เป็นเพราะว่าในประเทศนี้ตลาดของพวกสำริดไม่ค่อยใหญ่เท่าไหร่นัก การแลกเปลี่ยนซื้อขายวัตถุสำริดในยุคโบราณจึงมีอยู่อย่างจำกัดจึงทำให้ไม่ค่อยมีใครเก็บสะสมเครื่องสำริดและราคาจึงไม่สูงมากนัก
ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่การที่สามารถซื้อของชิ้นนี้มาได้ก็ยังทำให้หยางโปรู้สึกตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย ในเมื่อมีของแล้วมันก็เพียงพอที่จะทำให้เขามั่นใจที่จะเดินหน้าต่อไปได้
ขากลับหยางโปตัดสินใจที่จะเรียกรถเพราะตอนนี้ขาของเขาไม่มีแรงที่จะเดินกลับไปได้อีกแล้ว......