ตอนที่ 1 ลูกปัดแก้ว
ตอนที่ 1 ลูกปัดแก้ว
"เสี่ยวโป ลูกไม่ต้องกังวลเรื่องที่บ้านนะ ส่งเงินมาให้ที่บ้านนิดหน่อยก็พอไม่ต้องส่งมาหมด ลูกต้องดูแลตัวเองดีๆ เดี๋ยวทางนี้แม่จะเป็นคนดูแลพ่อเอง"
"ครับแม่ แม่เองก็พูดกับพ่อหน่อยนะ ให้พ่อไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเถอะ"
หยางโปพูดกับแม่ของเขาไม่กี่ประโยคก็วางสายไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้ม พ่อของเขาเป็นมะเร็งตับแต่เป็นเพราะที่บ้านไม่มีเงินมากพอที่จะนำไปจ่ายค่าใช้จ่ายที่สูงขนาดนั้นได้ พ่อของเขาจึงทำได้เพียงแค่อดทนรักษาตัวเองอยู่ที่บ้าน
หยางโปสอบถามและปรึกษาเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคมะเร็งตับของพ่อเขา ในปีแรกต้องใช้เงิน 500,000 หยวน ในปีที่สองต้องใช้เงินอีก 350,000 หยวน ถ้าหากจะรักษาโรคนี้ให้กับพ่ออย่างน้อยๆเขาจะต้องใช้เงินถึง 850,000 หยวน สำหรับเขาแล้วตัวเลขเหล่านี้ถือเป็นจำนวนตัวเลขที่มหาศาลอย่างมาก!
แต่เพื่อพ่อของเขา เขาจะต้องหาเงินจำนวนนี้มาให้ได้!
"หยางโป! หยางโป! นี่นายทำอะไรอยู่น่ะ อย่าบอกนะว่าแอบอู้งานอีกแล้ว ? รีบยกน้ำชาชั้นดีมาเสิร์ฟให้แขกเร็วเข้า! "
เสียงตะโกนดังขึ้นจนทำให้สติของหยางโปถูกดึงกลับมาอีกครั้ง ทันทีที่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายเขาก็รีบตอบรับกลับไปทันที "ครับ มาแล้วครับ! "
หยางโปเช็ดคราบน้ำตาของเขาก่อนที่จะพยายามฝืนยิ้มพร้อมกับวิ่งออกมา "มาแล้วคร้าบ! "
หยางโปรินน้ำชาที่มาจากใบชาหลงจิ่งให้กับแขก นี่เป็นกฎของกู่เต๋อจาย เถ้าแก่จะยึดแขกจากฐานะของพวกเขาโดยมีการใช้โค้ดลับที่แตกต่างกันออกไป และหยางโปจะต้องรินน้ำชาตามโค้ดลับของเถ้าแก่
"รินน้ำชา" หากใช้คำพูดนี้จะเป็นการบ่งบอกถึงฐานะปานกลางซึ่งเขาจะใช้ชาปี้หลัวชุนในการเสิร์ฟ แต่หากใช้คำพูดว่า "รินน้ำชาชั้นดี" ก็จะหมายถึงว่าแขกผู้นั้นมีฐานะที่สูงขึ้นมาก็จะเลือกใช้ชาซิ่่นหยางเหมาเจี้ยนในการเสิร์ฟแต่หากเถ้าแก่พูดว่า "ยกน้ำชาชั้นดีมาเสิร์ฟ" นั่นหมายความว่าจะต้องใช้น้ำชาจากใบชาหลงจิ่งมาเสิร์ฟให้กับลูกค้า
ซึ่งนานๆถึงจะมีลูกค้าที่ต้องเสิร์ฟด้วยใบชาหลงจิ่ง หลังจากที่หยางโปเสิร์ฟน้ำชาและตรวจสอบอีกรอบแล้ว เขาก็พบว่าแขกผู้นี้ดูเหมือนว่าจะมีอายุ 50 กว่าปีและเขาก็กำลังพูดคุยอยู่กับเถ้าแก่ของเขา โดยที่บนโต๊ะมีแจกันทรงกระบอกลายครามวางอยู่ตรงหน้า
แจกันทรงกระบอกลายครามเป็นเครื่องลายครามเคลือบสีซีดแต่เรื่องของความชัดเจนก็ถือว่าไม่เลวเลย การที่เถ้าแก่เลือกใช้ชาหลงจิ่งเพื่อเสิร์ฟให้กับลูกค้าแขกคนนี้ก็แสดงให้เห็นว่าของชิ้นนี้มีราคาสูง
หยางโปใช้เวลาเพียงครู่เดียวในการตัดสินมูลค่าของมัน หลังจากที่เขาเรียนจบมัธยมปลายเขาก็ไม่ได้สอบเข้ามหาลัยต่อแต่เลือกที่จะฝึกงานที่ร้านขายวัตถุโบราณแห่งนี้ จนถึงวันนี้ก็เข้าสู่ปีที่สองแล้ว แม้ว่าเถ้าแก่จะไม่เต็มใจที่จะสอนงานเขาแต่เขาก็ศึกษามันอย่างลึกซึ้ง จนทำให้หยางโปมีความรู้เกี่ยวกับของโบราณอยู่ไม่น้อย
ทว่าความรู้ที่มีอยู่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะเขาในตอนนี้ไม่สามารถที่จะตัดหน้าซื้อเครื่องลายครามเพื่อนำไปขายต่อได้! การทำเช่นนั้นถือเป็นการแหกกฎและจะทำให้ถูกต่อต้านจากร้านขายวัตถุโบราณทั้งหมดและที่สำคัญก็คือเขาไม่มีเงิน!
เงินเดือนของเขาในแต่ละเดือนจะได้รับอยู่ที่ 1800 หยวน เป็นเพราะเขาต้องประหยัดเงินเพื่อส่งเงินไปรักษาพ่อ เขาจึงพักอยู่ในร้าน ในแต่ละเดือนเขาจะส่งเงินกลับไปให้ที่บ้าน 1500 หยวน แต่ก็ดูเหมือนว่าจำนวนตัวเลขนี้มันก็ยังไม่พออยู่ดี!
จำนวนเงิน 850,000 หยวนเป็นเหมือนกับหินก้อนใหญ่ที่กดทับมาที่อกของหยางโป!
หลังจากที่แขกพูดคุยกับเถ้าแก่ไปไม่กี่ประโยค คำพูดของเถ้าแก่ที่พูดกับลูกค้าก็ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อแจกันทรงกระบอกออกไปได้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่พวกเขาตกลงและจ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ทำการเซ็นต์สัญญาทันที
หลังจากลูกค้าเดินออกจากร้านไป เถ้าแก่กัวปาผีก็เดินวนไปรอบๆแจกันทรงกระบอกพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนว่าจะรู้สึกภูมิใจจนไม่สามารถที่จะมีใครแบ่งปันความรู้สึกดีใจนั้นได้ก่อนที่จะอดไม่ได้ที่จะพูดอวดกับหยางโปว่า "แจกันทรงกระบอกใบนี้อยู่ในยุคของกวังซวี่ในราชวงศ์ชิง แม้ว่ามันจะแย่กว่ารุ่นก่อนมากแต่ฉันก็ได้มันมาในราคา 50,000 หยวนแถมยังขายต่อได้ในราคาที่เพิ่มขึ้นถึงสองเท่าด้วย หึหึ! "
กัวปาผีอุ้มแจกันทรงกระบอกก่อนที่จะเดินเข้าไปด้านในเพื่อที่จะนำแจกันใบนี้ใส่เข้าไปในตู้เซฟ
หยางโปยิ้มให้กับเถ้าแก่ทว่าภายในใจของเขากลับคิดถึงจำนวนเงิน 50,000 หยวน นี่มันราคา 50,000 ...หากเขามีเงินจำนวนนี้เขาก็สามารถให้พ่อของเขานอนโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษาได้แล้ว!
หลังจากที่รอจนถึงช่วงเที่ยง หยางโปก็ออกจากร้านเพื่อเดินไปซื้อข้าวกล่อง เป็นเพราะกัวโปผีต้องการจะประหยัดเงินโดยปกติแล้วเขาก็จะให้เงินกับหยางโปแค่ 20 หยวนเท่านั้น โดยซื้อข้าวกลับมาสองกล่องในราคากล่องละ 10 หยวน เป็นเพราะหยางโปต้องการจะประหยัดเงินเขาจึงเก็บเงินส่วนของเขาไว้ครึ่งหนึ่งและนำเงิน 5 หยวนเพื่อซื้อข้าวผัดกลับมากิน หากทำเช่นนี้ในมื้อค่ำเขาก็จะมีเงินเพื่อซื้อข้าวได้อีกหนึ่งมื้อ
ช่วงเวลาเที่ยงเป็นช่วงเวลาที่แสงแดดร้อนละอุ บนท้องถนนไม่ได้มีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมามากเท่าไหร่นัก หยางโปเดินอยู่บนถนนพร้อมกับภายในใจที่ยังคงคิดเกี่ยวกับโรคของพ่อเขา ในเวลานี้เขาควรจะลาออกจากงานและไปทำงานที่ไซต์งานก่อสร้างดีไหมนะ? ถึงแม้ว่างานมันจะหนักและยากลำบากสักหน่อยแต่มันก็ทำให้เขาได้เงินเพิ่มขึ้นมาอีกสักนิด
เขาก้มลงมองดูตัวเองที่ผอมแห้งแรงน้อย ภายในใจก็เกิดอาการลังเลขึ้นมา
"น้องชาย ช่วยทำบุญทำทานหน่อยเถอะ ผมไม่ได้กินข้าวมา 3 วันแล้ว"
ทันใดนั้นหยางโปก็ได้ยินเสียงจากข้างถนนดังขึ้น เขาหันกลับไปมองก่อนที่จะพบกับชายแก่ที่สวมใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งและดูมอมแมมที่นั่งอยู่ที่บันได พร้อมกับเหงื่อที่ไหลเต็มหน้าผาก
ภายในใจของเขาเกิดความลังเลขึ้นเล็กน้อย หยางโปไม่ได้หันกลับไปมองแต่ยังคงเดินต่อไปด้านหน้า ตอนนี้ตัวเขาเองก็ลำบากมากแล้ว ในเวลาแบบนี้จะไปมีปัญญาช่วยเหลือคนอื่นได้ยังไงกัน ?
ความดีที่ทำจะทำให้เขาสามารถอธิษฐานขอพรให้โรคของพ่อหายดีขึ้นได้รึเปล่า ?
ภายในใจของหยางโปเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง จำนวนเงิน 850,000 หยวนมันห่างไกลเกินไปและเขาไม่ได้มีฐานเงินขนาดนั้น เขาคงทำได้เพียงแค่นำความหวังที่มีฝากไว้กับพระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์ หวังว่าจะได้รับความเมตตาจะพระผู้เป็นเจ้า
ตอนที่เขาเดินกลับมาอีกครั้ง ภายในมือของหยางโปก็มาพร้อมกับข้าวกล่อง เขานำข้าวผัดที่เป็นของเขาวางไปที่ด้านหน้าชายขอทานผู้นั้นโดยไม่ได้พูดอะไร
ชายขอทานเงยหน้าขึ้นมองหยางโป "ขอบคุณนะ น้องชายช่างเป็นคนที่จิตใจดีจริงๆ ! "
หยางโปพยักหน้าก่อนที่จะหันหลังเพื่อจะเดินจากไป พร้อมกับคิดในหัวว่าเขาควรจะกินมื้อค่ำดีหรือไม่
"น้องชายรอก่อน! "
ทันใดนั้นเสียงของขอทานที่อยู่ด้านหลังของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง หยางโปหันกลับไปมองก็พบว่าชายผู้นั้นยื่นลูกปัดแก้วสีเขียวให้กับเขา "น้องชาย...ฉันยกให้"
หยางโปมองไปที่ลูกปัดตรงหน้า รูปร่างของมันดูมีความผิดปกติ ท่ามกลางการกระทบกับแสงแดดทำให้เขารู้สึกได้ถึงสึกความแวววาวราวกับเม็ดหยก ทว่ามันก็เห็นได้ชัดว่าสิ่งตรงหน้านี้ไม่ได้มีราคาอะไรเลย แต่ก็คงจะแพงกว่าข้าวผัดที่เขาซื้อมา เขารีบส่ายหน้าปฎิเสธ "ผมรับไว้ไม่ได้หรอก! "
"น้องชาย รับไว้เถอะ! " มือข้างหนึ่งของชายขอทานถือข้าวผัด ส่วนอีกข้างหนึ่งก็ยื่นลูดปัดแก้วมาที่มือของหยางโป "ฉันได้มันมาโดยบังเอิญ อีกอย่างก็ไม่ได้มีใครอยากได้มัน ฉันก็เลยอยากจะมอบมันให้กับน้องชายผู้มีจิตใจเมตตา"
พูดจบชายขอทานก็เดินจากไป
หยางโปยืนอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะส่ายหน้า... น่าแปลกจริงๆเลย!
หลังจากที่ลูกปัดแก้วมาอยู่ในมือของเขา หยางโปก็รู้สึกได้ว่าภายในดวงตาของเขาเกิดความเย็นช่ำขึ้นพร้อมกับเซลล์ทุกส่วนภายในร่างกายจะรู้สึกถึงความสดชื่นราวกับได้แช่อยู่ในน้ำแข็ง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ก่อนที่ปฎิกริยาของเขาจะกลับมาอีกครั้ง และไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนที่เขาจะรู้สึกตัวจนต้องรีบถือกล่องข้าวกลับไป
หลังจากมาถึงที่ร้าน กัวปาผีก็พูดด้วยสีหน้าที่ดุร้าย "วันนี้เป็นอะไร ? ทำไมถึงได้ช้าขนาดนี้ ? นี่นายรู้รึเปล่าว่าเวลาคือชีวิตนะ นายทำแบบนี้รู้รึเปล่าว่ามันทำให้เสียเวลาชีวิตของฉัน ?"
หยางโปพยักหน้าเบาๆ "ร้านข้าววันนี้คนเยอะมากเลยเถ้าแก่ ถึงกับต้องต่อแถวซื้อแหนะ! "
"นายคงไปยุ่งอยู่กับสาวสวยมาล่ะสิ ? ดูเหมือนว่าจะไปชอบคนงามที่ร้านข้าวเข้าแล้ว ? "
หยางโปไม่ได้พูดอะไร ก่อนหน้านี้เขาเคยไปช่วยที่นั่นมาก่อนแต่ก็เพื่อจะประหยัดเงินค่าข้าวของเขาเท่านั้นไม่ได้มีวัตถุประสงค์อื่น ทว่าสิ่งที่กัวปาผีเข้าใจผิดอยู่ตลอดนั้นเขาก็ไม่คิดที่จะอธิบายอะไร
กัวปาผีส่งเสียงออกมาจากลำคอพร้อมกับรับข้าวกล่องก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปในร้าน
หยางโปหยิบข้าวผัดของเขามาก่อนที่จะหยิบตะเกียบ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงปัญหาขึ้นมา...ลูกปัดแก้วหายไปไหนแล้ว ?
หลังจากที่ชายขอทานนำลูกปัดแก้วมาไว้ในมือของเขา เขาก็ถือมันอยู่ตลอดนี่นา!
เขาเงยหน้ามองเวลาก่อนที่จะพบว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว และเขากลับมาถึงที่ร้านช้ากว่าปกติถึงครึ่งชั่วโมง แสดงว่าเขาใช้เวลายืนอยู่ที่นั่นเป็นเวลาถึงครึ่งชั่วโมง!
แต่...ทำไมบนร่างกายของเขาถึงไม่ได้มีเหงื่อไหลโชกออกมาล่ะ?
หยางโปไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ไม่คิดที่จะนึกถึงเรื่องนั้นให้นานไปกว่านี้ หลังจากที่สะบัดความคิดออกไปเขาก็รีบหยิบตะเกียบก่อนที่จะกินข้าวผัดตรงหน้าทันที