บทที่ 1 เจ้าสวรรค์ร่วงหล่นและการพังทลายของยุทธภัณฑ์ศักดิ์สิทธิ์
ดินแดนสวรรค์ ณ ตำหนักสวรรค์
ในราตรีอันมืดมิดราวกับน้ำหมึกสีดำซึ่งไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของแสงสว่าง บรรยากาศถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบงันอันน่าขนลุก
ในฐานะที่เป็นห้วงมิติที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาห้วงมิติหลายร้อยล้าน
ตำหนักสวรรค์ในยามนี้กลับไร้ซึ่งเสียงเจื้อยแจ้ว มันจะเป็นไปได้เยี่ยงไรที่ตำหนักสวรรค์ซึ่งเป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์และงดงามจะเงียบเชียบเช่นนี้?
ทันใดนั้นเอง บนพื้นที่อันว่างเปล่าทางเหนือของตำหนักก็ปรากฏรอยแยกอันแปลกประหลาด ในเวลาเดียวกัน มือโครงกระดูกยื่นออกมาจากรอยแยกและแหวกให้มันกว้างขึ้น
เมื่อรอยแยกกว้างขึ้น มือกระดูกทั้งสองข้างก็เหยียดออกมาอย่างช้าๆและเผยให้เห็นร่างของมัน
แสงสีแดงอันน่าขนลุกส่องประกายออกมาจากโพรงของหัวกะโหลก ทั่วทั้งร่างของมันคือโครงกระดูกซึ่งถูกปกคลุมด้วยอักขระสีเทาจำนวนนับไม่ถ้วน
กลิ่นอายแห่งความตายที่ถูกปล่อยออกมาทำให้บรรยากาศโดยรอบราวกับถูกแช่แข็ง
ครื้นน ครื้นนน!!
ในไม่ช้าความปั่นป่วนก็ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น รอยแยกด้านบนของตำหนักขยายวงกว้างพร้อมกับผีดิบจำนวนมากที่ปรากฏตัวออกมา ไม่ว่าจะในรูปแบบมนุษย์หรือสัตว์
ร่างกายของพวกมันล้วนแต่ถูกปกคลุมไปด้วยเลือดและเนื้อที่เปื่อยเน่า อีกทั้งพวกมันยังถูกห่อหุ้มด้วยสัญลักษณ์อักขระสีเทา
นอกจากนั้นแล้วยังมีเหล่าทหารหยินเกราะดำที่มีดวงตาสีแดงสด พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวและเข้าโอบล้อมตำหนักสวรรค์อย่างรวดเร็ว
โครงกระดูกยักษ์นับไม่ถ้วน ผีดิบ ผีดิบสัตว์และเหล่าทหารหยินกำลังยึดครองพื้นที่ทั่วทั้งน่านฟ้าบดบังหมู่เมฆและดวงจันทร์
รูปแบบอักขระสีเทาส่องประกายของมาจากร่างของพวกมันอย่างต่อเนื่อง
“ฮ่าๆๆ…”
เสียงหัวเราะที่ชวนให้ขนหัวลุกดังขึ้นทำลายบรรยากาศอันเงียบงัน
ร่างชราที่สวมชุดคลุมสีแดงดำปรากฏตัวออกมาจากรอยแยก ใบหน้าของเขาซีดขาวราวกับไร้ซึ่งโลหิตและเต็มไปด้วยริ้วรอย
เขามีคิ้วยาวจนถึงปลายหูและดวงตาอันแหลมคมซึ่งส่องประกายแสงสีแดงโลหิตออกมา
“ราชาอเวจีอมตะ!”
เมื่อชายชราในชุดคลุมแดงปรากฏตัวขึ้น เหล่าทหารหยิน โครงกระดูกยักษ์ ผีดิบทั้งหลายต่างก็โค้งคำนับด้วยความเคารพสูงสุดและตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียง
แต่ราชาอเวจีอมตะหาได้สนใจไม่ สายตาของเขาจ้องมองไปยังเบื้องหน้าด้วยดวงตาที่น่ากลัว
หกพันหกร้อยปี!
เขาวางแผนตลอดทั้งหกพันหกร้อยปีก็เพื่อวันนี้ วันที่เขาได้มาเยือนตำหนักสวรรค์!
หกพันหกร้อยปีกับการรอคอยอันแสนขมขื่นเพื่อชายที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงสุด!
เจ้าสวรรค์เก้าหยาง!
ผมสีเทายาวของราชาอเวจีอมตะกระพือขึ้นแม้จะไม่มีกระแสลม แสงสีแดงแวบผ่านม่านตาของเขาและไม่อาจปกปิดอารมณ์อันซับซ้อนที่ไหลผ่านออกมาจากหัวใจของเขาได้
ทันใดนั้นเอง จิตสังหารอันไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกมาจากร่างชราของราชาอเวจีอมตะ นิ้วของเขายกขึ้นและชี้ไปยังทิศของตำหนักสวรรค์
“โฮกกก!!”
“ตึงๆๆ!!”
ด้วยคำสั่งของราชาอเวจีอมตะ โครงกระดูกยักษ์ ผีดิบ ผีดิบสัตว์และเหล่าอมนุษย์ทั้งหลายต่างก็เคลื่อนพลไปข้างหน้าพร้อมทั้งกู่คำรามด้วยเสียงอันบ้าคลั่งและน่าสยดสยอง
กลิ่นอายที่รุนแรงและชั่วร้ายระเบิดออกมาปกคลุมไปทั่วทั้งชั้นบรรยากาศ
ในขณะเดียวกันสวรรค์และปฐพีกู่ร้อง พายุโหมกระหน่ำ หมู่เมฆเปลี่ยนสี ปรากฏการณ์ราวกับวันโลกาวินาศเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ปัง! ปัง! ปัง!”
โครงกระดูกยักษ์ก้าวตรงไปยังตำหนักสวรรค์ ด้วยร่างกายที่มีขนาดไม่ต่างอะไรไปจากภูเขา
ทุกย่างก้าวของมันทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนและเกิดเสียงดังสนั่นคล้ายกับกลองสงคราม
“วืดด!! วืดด!!”
เหล่าทหารหยินเกราะดำและผีดิบวิ่งออกไปอย่างกระหายเลือด ลวดลายของอักขระสีเท่าส่องแสงออกมาจนทำให้เกิดคลื่นแสงหลากสี
หากมองจากอีกมุม กองทัพอมนุษย์เหล่านี้ดูคล้ายกับกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากซึ่งมุ่งไปยังตำหนักสวรรค์
“วูบบ!! ปังง!!”
การเคลื่อนไหวของผีดิบสัตว์นั้นน่ากลัวมาก ไม่ว่าจะคลาน บินหรือกระโดดราวกับตั๊กแตน ตลอดเส้นทางของพวกมัน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนถูกทำลายทั้งสิ้น!
อย่างไรก็ตามเมื่อกองทัพผู้รุกรานเหล่านี้ห่างจากตำหนักสวรรค์เพียงสามเมตร
“วื้อออ!!”
ทันใดนั้นเองตำหนักสวรรค์ที่ราวกับเมืองผีสิงก่อนหน้านี้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง!
กำแพงตำหนักสูงตระหง่าน ด้านในของตำหนักอันน่าเกรงขาม ทั่วทุกหัวมุมถนนของตำหนักส่องสว่าง รูปแบบอักขระมากมายหลากสีก็ปรากฏขึ้นมาทันที
สัญลักษณ์อักขระปรากฏขึ้นมาจากทั่วทุกทิศและสว่างจ้าเสียจนทำให้มองแทบไม่เห็น
ในเวลาเดียวกัน รูปสลักดอกไม้นับพัน ต้นไม้ใบหญ้า หมู่มัจฉา สิ่งมีชีวิตทั้งบนฟ้าและบนบกจากตำหนักสวรรค์ต่างก็กลับมามีชีวิต
พวกมันเคลื่อนที่ไปรอบๆและปลดปล่อยกลิ่นอายที่คล้ายคลึงกับตำหนักสวรรค์ออกมา
ภายใต้แสงสว่างอันเจิดจ้าของอักขระ ม่านพลังอันแวววาวก่อตัวขึ้นกลางเวหาและคลุมทั่วทั้งตำหนักสวรรค์เอาไว้
ปังง!!
โครงกระดูกยักษ์พุ่งเข้าใส่ม่านพลังอย่างเต็มแรงด้วยน้ำหนักที่เทียบได้กับเก้าแสนจิน หลังจากที่ฝุ่นควันเริ่มจางหาย ม่านพลังกลับไม่ขยับหรือปรากฏรอยร้าวตามที่คาดไว้
ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกคือมันไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน!
กลิ่นอายซากศพที่ทำให้แทบจะหายใจไม่ออกยังคงคละคลุ้งไปทั่วม่านพลัง แต่เพียงไม่นาน ดูเหมือนว่ากลิ่นอายเหล่านี้ได้กระตุ้นบางอย่างในม่านพลัง
ทันใดนั้น ตำหนักสวรรค์ก็ปลดปล่อยแสงสว่างสีขาวหิมะออกมาทั้งภายในและภายนอกพร้อมทั้งกำจัดกลิ่นอายซากศพในรัศมีสามสิบกิโลเมตร
“ค่ายกลกักดารา!!” นักรบในชุดเกราะชั้นสูงจากอเวจีคำรามด้วยความโกรธเคือง
เขาหันไปทางราชาอเวจีที่อยู่ด้านข้างและกล่าว
“ฝ่าบาท, ค่ายกลกักดารานี้จะดูดซับพลังงานจากเก้าดาราสวรรค์ที่กระจายตัวอยู่ทั่วทุกมุมของตำหนักสวรรค์ พลังงานของมันนั้นแทบจะไร้ขีดจำกัด”
“ข้าเกรงว่าพวกเราจะไม่สามารถทะลวงเข้าไปในม่านพลังได้จนกว่าพลังของมันจะหมดลง”
“ฮึ่ม!”
โดยไม่แม้แต่จะเหลือบตามองแม่ทัพอเวจีผู้นั้น ราชาอเวจีอมตะเพียงแค่เค้นเสียงอย่างเย็นชา
ในเวลาเดียวกันร่างของแม่ทัพอเวจีผู้นั้นก็ถูกส่งลอยขึ้นไปในอากาศ พริบตาเดียวร่างของเขาก็ระเบิดออกและกลายเป็นหมอกเลือดไปในที่สุด
“นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากบังอาจทำให้ขวัญกำลังใจของกองทัพลดลง!”
ราชาอเวจีอมตะกวาดตามองเหล่าแม่ทัพอเวจีที่อยู่รอบกายด้วยความเย็นชา
เมื่อเห็นเช่นนั้น เหล่าแม่ทัพอเวจีที่เคยเต็มไปด้วยความเหี้ยมหาญและดุร้ายต่างก็ก้มหน้าลงด้วยความหวาดกลัว
จากนั้นราชาอเวจีอมตะก็กล่าวต่อ
“ค่ายกลกักดาราเป็นเพียงค่ายกลที่ไอ้แก่เก้าหยางคิดค้นขึ้นเมื่อสามพันกว่าปีก่อน”
“มันใช้เวลาอีกสองพันปีในการจัดวาง นับตั้งแต่จัดวางสำเร็จ ก็เพียงแค่พันหกร้อยปีเท่านั้น มันจะสามารถดูดซับพลังจากดวงดาราเหล่านั้นได้เท่าไหร่กันเชียว?”
“ตอนนี้ไอ้แก่เก้าหยางเป็นเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ข้างในตำหนักสวรรค์ พวกเจ้ามีเวลาแค่ยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่านั้นในการทำลายม่านพลังนี่!”
“ข้าไม่สนใจว่าจะต้องสูญเสียทรัพยากรหรือกำลังพลเท่าไหร่ แต่ไม่ว่ายังไงพวกเจ้าก็จะต้องทำลายมันให้จงได้!!”
“ขอรับ!”
บรรดาแม่ทัพอเวจีทั้งหมดคุกเข่าลงและตอบกลับอย่างพร้อมเพรียง
หนึ่งในแม่ทัพที่มีรูปร่างเป็นโครงกระดูกซึ่งมีความสูงเกือบสามร้อยเมตรลุกขึ้นยืนเป็นผู้แรก
ร่างโครงกระดูกของเขาส่องแสงของอักขระสีเทาออกมาในขณะที่ระเบิดรัศมีสีดำพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เขาแผดเสียงอันแหบแห้งไปทั่วทั้งท้องฟ้า
“กองทัพทั้งหมดโจมตี!!”
แม่ทัพคนอื่นไม่กล้าที่จะเสียเวลา พวกเขาเริ่มออกคำสั่งกับเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาในทันที
ไม่นานนัก เหล่าผีดิบ ผีดิบสัตว์และทหารหยินต่างก็เริ่มโจมตีด้วยกำลังทั้งหมด
“ไม่จำเป็นต้องทำให้มันยุ่งยากเช่นนี้”
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย จู่น้ำเสียงนิ่งสงบสายหนึ่งก็ดังกระทบหูของทุกคน
เสียงที่ราวกับแฝงไว้ด้วยมนต์เสน่ห์ทำให้กองทัพอเวจีนับร้อยล้านถึงกับหยุดเคลื่อนไหว
หลังจากคำพูดนั้นสิ้นสุดลง ม่านพลังอันแพรวพราวที่ปกป้องบริเวณโดยรอบของตำหนักสวรรค์ค่อยๆหม่นสีลงทีละน้อยก่อนที่จะจางหายไปในที่สุด
รูปสลักดอกไม้และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายหยุดเคลื่อนไหวรวมทั้งอักขระสีรุ้งจากทั้งภายในและภายนอกของสิ่งปลูกสร้างในตำหนักสวรรค์
ตำหนักสวรรค์กลับคืนสู่สภาพเดิมและดูมืดมิด ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือทางเข้าทางทิศใต้ของตำหนักสวรรค์ ร่างๆหนึ่งปรากฏตัวออกมา
ชายชราสวมเสื้อคลุมยาวธรรมดา ในมือของเขาถือดาบยาวหลากสีและกำลังนั่งอยู่ที่บันไดหินด้วยท่าทางสบายๆ
ในที่สุดชายผู้นั้นก็ปรากฏตัวออกมา!
เหล่าผู้รุกรานนับล้านจากอเวจียังคงอยู่ในความตกตะลึง แม้ว่าเขาจะดูไม่เหมือนผู้อาวุโสที่ดูน่าเกรงขามแต่ก็ยังเห็นได้ว่าเขาเป็นชายชราที่มีอายุมาอย่างยืนยาวและมากด้วยประสบการณ์
แก้มของชายชรามีเจือสีแดงเล็กน้อย คิ้วสีขาวที่ยาวตรงเหมือนดาบและดวงตาที่คล้ายกับหมู่ดาวซึ่งล่องลอยอยู่ในห้วงอวกาศ
แม้ว่าผิวหนังจะเหี่ยวย่นและแก่ชราอย่างมาก แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าพลังของชายผู้นี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าราชาอเวจีอมตะเลยแม้แต่น้อย
ไม่มีใครรู้ชื่อที่แท้จริงของเขา ในช่วงปีแรกๆสหายของเขาเคยเรียกเขาว่า อู๋หมิง ซึ่งมีความหมายว่าไร้ชื่อ
ชายชราผู้นี้ใช้เวลาเพียงสามพันปีในการครองบัลลังก์ เขากลายเป็นตัวตนอันยิ่งใหญ่ด้วยเวลาที่สั้นที่สุดในประวัติศาสตร์และในเวลาเดียวกัน เขาก็คือเจ้าสวรรค์ที่มีสติปัญญาการต่อสู้ที่สุดยอดที่สุด
เขาคือผู้กุมอำนาจทั้งหมดของตำหนักสวรรค์ ปกครองโลกต่างๆมานานถึงเจ็ดพันปี
ในขณะที่เป็นเจ้าสวรรค์ไร้ชื่อ ผู้คนต่างก็เรียกขานเขาว่าเจ้าสวรรค์เก้าหยางเนื่องจากเขาได้สำเร็จขอบเขตวรยุทธ์หยาง
ในตอนนี้เป้าหมายหลักของกองทัพอเวจี, เจ้าสวรรค์เก้าหยางก็ปรากฏตัวออกมาแล้ว!
“เจ้าแก่ผายลมอมตะ ดูเหมือนว่าเจ้าแทบจะทนไม่ไหวที่จะส่งข้าไปสู่ความตายสินะ?” อู๋หมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“คงเป็นเพราะเจ้ารู้ว่าข้าจะมีชีวิตอยู่อีกได้ไม่นานใช่หรือไม่?”
“หึ่ม! ไอ้เฒ่าเก้าหยาง ข้าไม่ได้เจอเจ้าเพียงไม่กี่พันปี เจ้ายังคงน่ารังเกียจและไร้สาระเช่นเดิม!” ราชาอเวจีอมตะกล่าวตอบอย่างเย็นชา
“กองทัพจักรพรรดิทั้งสี่ถูกส่งไปยังที่ห่างไกล นอกจากนี้ พวกมันแต่ละคนยังมีแผนชั่วร้าย กองกำลังหลายล้านคนของตำหนักสวรรค์จะต้องพังพินาศ หรือไม่พวกมันก็จะต้องสูญเสียความมุ่งมั่นเนื่องจากสงครามอันยาวนาน”
“เจ้าก็แค่ชายชราที่เหลือเพียงตัวคนเดียวในช่วงสุดท้ายของชีวิต เจ้ายังคิดที่จะดิ้นรนอีกหรือ? หึ ทำไมเจ้าไม่ร้องขอความตากจากข้าเสียล่ะ?”
“เจ้านี่ช่างเข้าใจข้าเสียจริงๆ เจ้าเฒ่าผายลมอมตะ เจ้ารู้ว่าข้ามีบางอย่างที่จะพูด…” อู๋หมิงถอนหายใจ
“หากเจ้าต้องการที่จะสู้ เจ้าก็อาจจะที่จะต้องสูญเสียกองกำลังครึ่งหนึ่งจากอเวจีของเจ้าก่อนที่จะสามารถทำลายการป้องกันชั้นที่สามของตำหนักสวรรค์”
“เจ้าจะสามารถต้านทานค่ายกลได้นานแค่ไหน? สิบวัน? ครึ่งเดือน? แม้ว่าเจ้าจะสามารถทำลายมันได้ แต่เจ้าก็จะประสบความสำเร็จเพียงแค่การกำจัดข้า”
“หลังจากนั้นเจ้าใช้โลหิตจำนวนเท่าใดในการฟื้นฟูพละกำลังรวมถึงกองทัพของเจ้า ข้าล่ะเป็นห่วงเจ้าเสียจริงๆ ฮ่าๆๆ”
“หึ่ม! เจ้ายังคงปากดีเช่นเดิมเจ้าแก่เก้าหยาง แม้ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้ แต่สุดท้ายเจ้าก็ล้มเหลวในการกลายเป็นอมตะเพียงเพราะเจตนารมณ์อันไร้จุดหมาย!”
“เหมือนดั่งมนุษย์ธรรมดาที่เป็นเพียงแค่สุนัขในโลกใบนี้!”
“หากเจ้าไม่อาจที่จะมองข้ามสิ่งเหล่านี้ก็อย่าได้หวังที่จะเพลิดเพลินไปกับอายุไขที่เทียบเท่ากับโลกทั้งใบและก้าวสู่ระดับอมตะ? คำพูดขยะเหล่านี้คือสิ่งที่เจ้าพ่นออกมาจากปากของเจ้า?”
“เช่นนั้นข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะฟังต่อไป นำดาบมังกรเพลิงของเจ้าออกมา ข้าจะส่งเจ้าไปยังที่ๆควรไป!”
อาวุธยาวคล้ายเคียวปรากฏขึ้นในอากาศและลอยมาอยู่ในมือของราชาอเวจี ด้วยการสะบัดมือ กลิ่นอายแห่งความตายก็แผ่กระจายออกมาในทันทีและกลายเป็นคลื่นพลังพุ่งออกไป
อู๋หมิงถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าข้าจะไม่สามารถเอาชนะเจ้าในสงครามน้ำลายได้! ตอนนี้ความสงบของข้าอยู่ที่ปากประตูนรก ข้าไม่มีอารมณ์ที่จะสู้…”
โดยไม่สนใจการโจมตีที่น่ากลัวของราชาอเวจี อู๋หมิงยังคงนั่งอยู่ท่าเดิม
อย่างไรก็ตาม… ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่ จู่ๆเปลวเพลิงอันน่าหวาดหวั่นก็พวยพุ่งออกมาจากร่างชราของเขา
เปลวไฟลุกไหม้ไปทั่วทั้งร่างของชายชรารวมไปถึงดาบในมือของเขา
มันคือดาบมังกรเพลิงที่ต่อสู้ด้วยกันกับเขามาตลอดทั้งชีวิต!
ดาบที่มีอำนาจสูงสุด!
ปึงง!
ทันใดนั้นเองเสียงระเบิดดังกึกก้องออกมาจากกลุ่มไฟที่ลุกโชนอยู่บนตัวดาบพร้อมกับเศษโลหะอันแหลมคมขนาดเล็กถูกยิงออกไปทั่วทุกทิศทาง
เศษโลหะสีแดงพุ่งผ่านกองทัพอเวจีโดยไม่คิดที่จะกำจัดพวกมัน
เคียวในมือราชาอเวจีสั่นเล็กน้อย แต่เขาเลือกที่จะไม่โจมตีในทันที นี่เป็นเพราะเขารู้ถึงความตั้งใจของอู๋หมิงดี
หากเขาคิดที่จะขัดขวางเส้นทางของเศษชิ้นส่วนโลหะเหล่านั้น อู๋หมิงจะโจมตีเขาด้วยการโจมตีครั้งสุดท้ายซึ่งจะทำให้เขาต้องจ่ายออกด้วยราคาที่น่าเศร้า
“เพื่อนยาก” อู๋หมิงพึมพำ “ข้าขอโทษที่ข้าไม่สามารถพาเจ้าไปสู่ขอบเขตนิรันดร์ได้ในชีวิตนี้…”
อู๋หมิงที่ลุกท่วมไปด้วยเปลวไฟจ้องมองไปยังเศษชิ้นส่วนของดาบมังกรเพลิงที่กำลังห่างไกลออกไปอย่างเงียบๆ จากนั้นเขาก็หันไปทางราชาอเวจีอมตะและกล่าว
“ไอ้เฒ่าอมตะ ไม่สงสัยเลยว่าเจ้ามีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยม แต่สุดท้ายเจ้าก็ไม่อาจที่จะกลายเป็นอมตะได้เช่นกัน หวังว่าเจ้าจะไม่รีบยอมแพ้ไปเสียก่อน”
“ถึงแม้ว่าเราทั้งคู่จะเคยเป็นสมาชิกของมหาเต๋า แต่พวกเราก็ยังคงมีอารมณ์และความรู้สึกไม่ต่างไปจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ จงหมั่นทำความดีให้มาก บางทีมันอาจจะช่วยให้เจ้าหลุดพ้นจากวัฏจักรนี้ในวันหนึ่งผ่านการสะสมในเต๋าสวรรค์ของเจ้า”
“บางทีโอกาสที่ขาดหายไปของข้าเพื่อบรรลุความเป็นอมตะในชีวิตนี้อาจจะอยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ด้วยเช่นกัน…”
“ตำหนักสวรรค์อยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าสวรรค์มาเก้าชั่วอายุคน มันคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ที่จะปล่อยให้เจ้าทำลายมัน คงจะดีกว่าถ้าปล่อยให้มันมีผู้สืบทอดในอนาคต...”
ในขณะที่กล่าว ร่างกายของเจ้าสวรรค์ก็เริ่มสูญสลายไป
และเมื่ออุณหภูมิของเปลวไฟมาถึงจุดสูงสุด มันกลับกลายเป็นภาพที่ดูพล่ามัว ไม่นานนักทั้งเจ้าสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่และเปลวไฟก็จางหายไปจากโลกอย่างสมบูรณ์
บนบันไดหินของประตูทางทิศใต้ของตำหนักสวรรค์ ไม่ปรากฏวี่แววการดำรงอยู่ของเจ้าสวรรค์เก้าหยางอีกต่อไป
มันดูราวกับว่าเขาไม่เคยได้ก้าวเข้ามาในห้วงจักรวาลนี้
ตำหนักสวรรค์กลับคืนสู่ความสงบและเงียบงัน
หลังจากนั้นไม่นาน แม่ทัพอเวจีผู้หนึ่งที่อยู่ในรูปของมนุษย์หมูที่ประมาณสามถึงสี่เมตรอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา
“ฝ่าบาท พวกเรายังต้องโจมตีต่อไปหรือไม่ขอรับ?”
“แล้วแต่เจ้าเถอะไอ้โง่!!”
ราชาอเวจีอมตะสบถออกมาโดยไม่สนใจฐานะเจ้าแห่งอเวจีของตนเอง หลังจากนั้นเขาก็ฉีกห้วงอากาศและออกจากดินแดนสวรรค์ไป
“เอ่อออ…”
แม่ทัพร่างหมูยืนนิ่งด้วยความโง่งม หลังจากครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่พักหนึ่งเขาก็ตัดสินใจได้
ขณะที่เขากำลังมุ่งหน้าไปยังตำหนักสวรรค์ที่ยังคงอยู่ในสภาวะเงียบสงบ
จู่ๆเข้าก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรง ร่างอันใหญ่โตของเขาแทบจะล้มลงกับพื้น
ในเวลาเดียวกันตำหนักสวรรค์ทั้งหมดก็เริ่มสั่นคลอน อักขระนับไม่ถ้วนโผล่ออกมาจากสิ่งปลูกสร้างภายในตำหนักสวรรค์และสาดแสงที่ส่องสว่างออกมา
ทำให้ในตอนนี้ตำหนักสวรรค์ทั้งตำหนักดูเหมือนว่าถูกปกคลุมไปด้วยชุดคลุมสีทอง
เพียงเวลาไม่นาน ตำหนักสวรรค์ก็เริ่มเปล่งแสงท่ามกลางแสงสีทองของอักขระ…
รูปแบบอักขระสีทองคงอยู่เพียงครึ่งก้านธูปเท่านั้นก่อนที่จะหายไป
สิ่งที่ทำให้กองทัพอเวจีประสบกับความล้มเหลวมากที่สุดก็คือตำหนักสวรรค์ที่มีขนาดมหึมาซึ่งทอดยาวหลายร้อยกิโลเมตรจู่ๆก็อันตรธานหายไป หลงเหลือไว้เพียงแค่ความว่าเปล่า
มีเพียงแค่ร่องรอยของหลุดยักษ์ที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเท่านั้น
ตำนานของยอดคนหนึ่งยุค เจ้าสวรรค์เก้าหยางผู้ไร้เทียมทานได้สิ้นสุดลงแล้ว
สังสารวัฏได้เปิดม่านของการเริ่มต้นครั้งใหม่อย่างช้าๆ…