สงครามดาวศักดิ์สิทธิ์ : ตอนที่8 หัวหน้าระดับสาม
ตอนที่8 หัวหน้าระดับสาม
ฮวงเว่ย รู้สึกหวั่นเกรงเล็กน้อยเมื่อหลี่มู่เดินมาจ้องที่เขา
เขาไม่เคยเจอผู้พิพากษาที่ทำตัวแบบนี้มาก่อน
“ดี เยี่ยม” ฮวงเว่ย ฝืนยิ้มไม่กล้าขัดขืนอะไร “ตราบใดที่คุณใหญ่สุดในเมืองไต๋ไบ๋นี้ ผมก็จะทำตามที่คุณบอก”
ขณะที่ฮวงเว่ยพูดจบ หลี่มู่ก็หันหลังเดินกลับ
ฮวงเว่ยก็พูดขึ้นมาอีกว่า “บางทีนะครับ ท่านผู้พิพากษาเหมือนว่าคุณจะยังไม่รู้ว่าร้านขายยาเวทมนต์ของเรายิ่งใหญ่มาได้ยังไง คุณพึ่งจะมารับตำแหน่งที่นี่ แต่เดี๋ยวคุณก็คงจะเข้าใจเอง”
หลังจากนั้นฮวงเว่ยก็เดินออกไป
เมื่อหลี่มู่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่คิดในใจว่า ‘นี่ข้ากำลังโดนขู่งั้นหรอ? หลังจากที่หมกตัวมากว่า 20วันแล้วก็ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้สินะ หรือว่าบางทีเขาควรจะต้องโชว์พลังที่แท้จริงของเขาได้แล้ว?’
“ยังไงก็เถอะ คุณมีเวลาสามวัน จะทำไรก็รีบทำ!”
หลี่มู่พูดอย่างชัดเจน หลังจากนั้นก็หันมาคุยกับเหล่าทหาร “ไปส่งคุณนายหลีและลูก ที่โรงพยาบาลหน่อยสิ”
หลังจากนั้นทหารก็ช่วยกันอุ้มหญิงสาวและลูกไป
“ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะรีบตัดสินแน่นอนหลังจากสามวันนี้!”
ในที่สุดพวกเขาก็พบความยุติธรรมในเมืองนี้แล้ว นี่เป็นความหวังเดียวที่พึ่งเคยเกิดขึ้นในเมืองนี้
“ว่าแต่ทำไมมีแค่พวกคุณหกคนในห้องพิจารณานี้?” หลี่มู่กลับมานั่งที่โต๊ะ แล้วก็มองไปยังทหาร เพราะก่อนหน้านี้ชิงเฟงเคยบอกว่า มีทหารกว่า 100 นายที่นี่ แต่ทำไมวันนี้ถึงมีแค่ 6?
“โอ้..”
“อืม...”
ยามสี่คนที่เหลือก็ลังเลไม่รู้จะตอบยังไง
“บอกผม” หลี่มู่ชี้ไปยังทหาร “คุณชื่อว่าอะไร?”
นายทหารคนนี้ยังหนุ่ม อายุ20ต้นๆ “ผมชื่อ ชู่รู ... บางทีคนอื่นอาจจะถูกส่งไปทำภารกิจข้างนอก ผมเองก็ไม่แน่ใจ”
จากลักษณะการตอบ หลี่มู่เองก็รู้ทันทีว่านี่คงไม่ใช่ความจริง แต่หลี่มู่ก็ไม่ทำอะไร โบกมือบอกให้ทหารออกไป
“อาจารย์หนุ่ม มีใครบางคนกำลังพยายามใช้คุณเป็นหุ่นเชิด” หมิงยื่อพูดขึ้นมา
ชิงเฟงเองที่บันทึกการพิจารณาเสร็จแล้ว ก็วางแปรงลงและพูดขึ้น “หมิงยื่อพูดถูกนะ ผมเองก็ว่ามันแปลกๆ”
“อะไรน้ะ? หมายความว่าครั้งอื่นชั้นพูดผิดมาตลอดเลยงั้นหรอ?”
ขิงเฟงถึงกับนิ่งไม่รู้จะพูดอะไร
“เอ่อ.. ผมพึ่งนึกออก ผมยังไม่ได้ซักกางเกงในให้ท่านอาจารย์หนุ่มนี่หน่า ไปก่อนนะ..” ชิงเฟงรีบหนีทันที
แต่หมิงยื่อก็ไม่ยอม “ไม่ๆ มาพูดให้เคลียร์ก่อน!”
หลี่มูนถึงกับกุมหัวตัวเอง
หลี่มู่ไม่รู้ตัวเองเลยว่าการที่ได้เด็กสองคนนี้มาอยู่ข้างกายมันเป็นเรื่องที่ดีหรือไม่
นี่เป็นครั้งแรกของหลี่มู่ที่มาทำการว่าคดี แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ดีสักเท่าไหร่ ไม่เป็นของที่เขาคิด
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว หลี่มู่จึงเดินกลับไปยังหลังออฟฟิศเพื่อฝึกฝนต่อ
...
เช้าวันที่สอง หลี่มู่สั่งให้ หม๋า จุนวูมาเข้าพบ
“สวัสดีครับ ท่านผู้พิพากษา”
หม๋าจุนวู เป็นชายที่สูงแข็งแรงไว้หนวดหน้าเหลี่ยม เขาสวมชุดเกราะสีดำอ่อน ผ้าความและหมวก พร้อมกับมีดเหล็กเหน็บไว้ที่เอว ซึ่งเป็น 1ใน3ของผู้บริหารที่ยิ่งใหญ่ของเมืองไต๋ไบ๋
“นั่งลงก่อนสิ คุณหม๋า” หลี่มู่ชี้ไปยังเก้าอี้และพูด “ผมชวนคุณมานี่ก็เพื่อคุยเรื่องใต้ดิน”
“เรื่องใต้ดิน?” เมื่อหม๋าจุนวูได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกหวั่นๆ ไม่คิดว่าหลี่มู่จะถามเขาเรื่องนี้
หลี่มู่พยักหน้าและถามว่า “ผมได้ยินว่าคุณมาจากแก๊ง ใช่ไหม?”
หม๋าจุนวูเป็นคุณที่มีศิลปะการต่อสู้และบุคลิกเงียบๆ “ผมมาจากกลุ่มไต๋ไบ๋”
“กลุ่มไต๋ไบ๋คืออะไร?”
“แน่นอนว่ามันตั้งอยู่ในเขาไต๋ไบ๋ และมีกลุ่มทั้งหมด 100กลุ่ม ซึ่งกลุ่มไต๋ไบ๋นี้อยู่ในอันดับที่ 99 โดยสิบปีที่แล้วผมโชคดีที่มีอาจารย์จากกลุ่มนี้ช่วยฝึกสอนให้” หม๋าจุนวูพูดอย่างจริงใจ
“อันดับกลุ่ม? มีการแบ่งระดับกลุ่มด้วยงั้นหรอ?”
“ใช่ครับ จักรวรรดิใหญ่ทั้งสาม และเก้ากลุ่มใหญ่จะบริหารงานประเทศด้วยกัน และยังมีกลุ่มเล็กๆอีกนับพันที่คอยรับใช้ 9กลุ่มใหญ่ พันปีก่อนมีปรมาจารย์ท่านนึงได้ทำระบบแบ่งแบกตามระดับแบบนี้ขึ้นมา ก็เพื่อที่จะได้ควบคุมกันอย่างมีระบบ”
หลี่มู่ไม่พูดไรมาก ตั้งใจฟังหม๋าจุนวูอย่างเงียบๆ
เขารู้ดีว่าที่ดาวนี้มันไม่เหมือนที่โลกเพราะฉะนั้นจึงต้องตั้งใจฟัง
พลังศิลปะการต่อสู้ได้ควบคุมและเป็นตัวตัดสินอำนาจของดาวดวงนี้ มีกลุ่มมากมายนับพันทั่วทุกมุมโลก และยังมีสามจักรพรรดิ ฉินทางตะวันตก ซงทางตะวันตก และฉูทางตอนใต้ ซึ่งทั้งสามจักรพรรดินี้ก็มีกลุ่มมากมายอยู่ใต้คำสั่งที่คอยรับใช้ ซึ่งแต่ละกลุ่มหัวตัวจักรพรรดิเองนั้นก็มีศิลปะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก
“แล้วกลุ่มใหญ่ทั้ง 9นั้นคืออะไร?” หลี่มู่ถามอีกครั้บ
“ไม่รู้หรอครับท่าน?” หม๋าจุนวูตกใจเล็กมาก ที่ผู้พิพากษาไม่รู้เรื่องของระบบอำนาจที่ดาวนี้
หลี่มู่ตอบอย่างจริงจัง “ก็นะ ผมพึ่งตกเขามานะ สงสัยความจำลบเลือนหมดแล้ว”
หม๋าจุนวูทำท่าสงสัย แต่เขาก็ยังตอบกลับอยู่ดี “9กลุ่มใหญ่ที่มีอยู่นั้นคือ หัวแซงเทมเปิ้ล, ชิงเชง เต๋า เทมเปิ้ล, เมจิคซันเทมเปิ้ล, เดวิล เทมเปิ้ล, เกวนเดา อคาดามี่, เดียนคาง, แพรรี่ วูฟ เทมเปิ้ล, โพล่า เซ้าท์, กวนฉาน”
หลี่มู่พยักหน้าและไม่ได้ถามอะไรต่อ เพราะกลัวหม๋าจุนวูสงสัย หลังจากนั้นก็ลองถามเปลี่ยนเรื่องดู “ผมไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้เลย คุณช่วยบอกได้ไหมว่าเขาจัดระดับกันยังไง?”
ครั้งนี้หม๋าจุนวูก็ไม่ได้สงสัยอะไร และตั้งใจอธิบาย “การจัดระดับนั้นแบ่งแยกได้จากการต่อสู้ สำหรับคนที่ฝึกฝนตนเองจนมีพละกำลังที่แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป ซึ่งสามารถจัดการกับคนธรรมดาโหลนึงด้วยมือเปล่า ผสมกับศิลปะการตจ่อสู้นิดหน่อย จะถูกเรียกว่า จ้อย ฟอส และเราสามารถจัดคนพวกนี้ได้เลยว่าเป็นระดับอาจารย์ในโลกใต้ดิน ส่วนระดับที่สูงขึ้นมาก็คือ จ้อย ฉี คือคนที่สามารถเปิดความสามารถภายในร่างกายตัวเองได้โดยจะเรียกว่าอาจารย์ระดับสาม ส่วนจ้อยมายคือผู้ที่สามารถใช้พละกำลังและความสามารถภายในร่างกายได้หรือเรียกอีกอย่างว่าระดับสอง และนอกจากนั้นพวกเขาก็ยังสามารถพัฒนาต่อไปได้อีก..”
หม๋าจุนวูพูดเพียงเท่านี้แล้วก็ไม่พูดอะไรต่อ
หลี่มู่เองก็สนใจเรื่องนี้อย่างมาก “แล้วมันมีระดับที่สูงกว่าจ้อยมายมั้ย? แล้วอาจารย์ที่สามารถเป็นระดับ 1ได้หล่ะ?”
หม๋าจุนวูยิ้มและตอบกลับ “ผมเองก็เรียนรู้มาเท่านี้ ส่วนระดับที่เหลือกว่านี้บางทีอาจจะยังไม่เคยมีปรากฏในเมืองไต๋ไบ๋ก็เป็นได้”
“แล้ว ผมสามารถรู้ระดับของคุณได้รึเปล่า คุณหม๋า?”
หม๋าจุนวูตอบกลับทันทีโดยไม่ปกปิดใดๆ “ผมเองก็ไม่สูงนักหรอก อยู่แค่ระดับ จ้อย ฉีเอง ขนาดฝึกมา 10กว่าปีแล้วนะเนี่ย”
“ว้าว นั่นสุดยอดเลยนะ”
หม๋าจุนวูพยักหน้าและยิ้ม
หลี่มู่มั่นใจมากว่าเขายังสามารถจัดการคนระดับหม๋าจุนวูได้ในการโจมตีเดียว
หรือกล่าวคือพลังของเขาปัจจุบันนั้นแข็งแกร่งกว่าระดับจ้อยฉี ที่เป็นระดับสามได้